ตอนที่ 159 ไม่ได้ช่วยคนยากจนแบบนั้น

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งจึงลงจากรถ ชาวบ้านที่เดิมทีเตรียมพร้อมจะบุกลงมือยังมีความระแวงต่อจิ่งเหยียนหลายส่วน เมื่อพลันเห็นฟางเจิ้งสวมจีวร หัวโล้นมันวาวสะท้อนแสงยิ่งกว่าหิมะ ดวงตากลับเปล่งประกายไม่น้อย ก่อนจะมีคนเดินเข้ามา…

จิ่งเหยียนเห็นก็ถอนหายใจโล่งอก พูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ อยากหยิบอะไรก็เอาไป แต่อย่าเอาไปคนเดียวเยอะ  หลักๆ แล้วฉันมีเครื่องเขียน แล้วก็เสื้อผ้าบ้าง เจ้าหนูมานี่สิ อันนี้ฉันให้”

จิ่งเหยียนพูดพลางหยิบกล่องเครื่องเขียนส่งให้เด็กหญิงที่เข้ามาใกล้เพราะความอยากรู้อยากเห็นคนหนึ่ง เสื้อผ้าเด็กหญิงเก่าเล็กน้อย ใบหน้ามอมแมมอยู่บ้าง ดวงตาโตสีดำขลับ ทำหน้าอยากได้ แต่ลังเลไม่กล้าเข้ามา

จิ่งเหยียนขมวดคิ้ว “พี่ไม่ใช่คนโกหกนะ เอาไปเลย ให้”

ฟางเจิ้งมองจิ่งเหยียนแล้วมองเด็กหญิงน้อย ก่อนคิ้วขมวดเช่นกัน เขาเดินไปหนึ่งก้าว แย่งกล่องเครื่องเขียนมา จากนั้นวางกลับไปในท้ายกระโปรงรถภายใต้สายตาประหลาดใจของจิ่งเหยียน

เด็กหญิงตัวน้อยตกใจจนถอยไปหลายก้าว ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้ว นัยน์ตามีความระแวงอีกครั้ง

จิ่งเหยียนถามด้วยความไม่เข้าใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านทำอะไรน่ะ?”

ฟางเจิ้งถามกลับด้วยความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “แล้วสีกาล่ะทำอะไร?”

“ฉะ…ฉันทำไม? ฉันก็บริจาคไง?” เดิมทีจิ่งเหยียนเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว ฟางเจิ้งถามแบบนี้ก็โกรธ เธอมาบริจาคตั้งไกลด้วยจิตใจเมตตา ให้กล่องเครื่องเขียนแล้วยังถูกตะคอกอีก? นี่มันสังคมแบบไหนกันเนี่ย เธออยากรู้แล้วว่าหลวงจีนนี่จะทำอะไรกันแน่!

ฟางเจิ้งก็รู้ตัวว่าตนใช้น้ำเสียงหนักเกินไปหน่อย จึงประนมสองมือสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ สีกา สิ่งที่สีกาทำไม่เรียกว่าบริจาคด้วยใจเมตตา แต่เป็นการให้พวกเขาถูกฝังอยู่ในเหวลึกที่สร้างขึ้นจากจิตใจเมตตาธรรม นี่ไม่ใช่จิตใจเมตตา แต่เป็นความผิด”

“ท่าน…หมายความว่ายังไง?! ฉันมีเจตนาดีนะ เอาของมาให้ตั้งไกล ท่านว่าฉันผิดเหรอ? ฟางเจิ้ง ถ้าวันนี้ไม่พูดให้กระจ่าง ท่านก็กลับภูเขาเอกดรรชนีเองแล้วกัน!” กลีบปอดจิ่งเหยียนแทบจะระเบิดแล้ว

ฟางเจิ้งได้ยินแล้วก็ไม่โกรธ แต่ยิ้มบางๆ “สีกา ให้อาตมาจัดการของพวกนี้เองได้ไหม?”

“อะไรนะ? ฉันให้ผิด ท่านให้ไม่ผิดเหรอ?” จิ่งเหยียนแค่นเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจมาก

ฟางเจิ้งยิ้มแต่ไม่ตอบ บางเรื่องก็ไม่ควรพูด อย่างน้อยก็พูดต่อหน้าชาวบ้านและเด็กๆ ตรงนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยเลือกเงียบ มองจิ่งเหยียนอย่างสงบนิ่ง เขาเชื่อว่าจิ่งเหยียนไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงไม่ช่วยเขาในช่วงสำคัญตอนสุดท้าย และวันนี้คงไม่มาบริจาคของให้คนในเขตภูเขา

จิ่งเหยียนที่มองแววตาระยิบระยับดั่งดวงตะวันของฟางเจิ้งจนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวมองค้อน “ได้ ท่านจัดการเลย! แต่ว่าถ้าจัดการไม่ดี หึๆ…เชิญกลับเอง! ฉันพูดคำไหนคำนั้น!”

ฟางเจิ้งยิ้ม ก่อนเดินมาอยู่ตรงท้ายกระโปรงรถ มองข้าวของข้างใน รถ SUV ของจิ่งเหยียนเป็นรถข้ามทุ่ง เบาะหลังวางนาบลงไปแล้ว ในนั้นมีกล่องใหญ่สี่ใบ กล่องเล็กสี่ใบ ในกล่องใหญ่เป็นเสื้อผ้า ในกล่องเล็กเป็นเครื่องเขียน

ฟางเจิ้งพลันเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงหมุนตัวมาประนมสองมือให้กับชาวบ้านรอบๆ แสดงความเคารพพร้อมบอก “ทุกท่าน อาตมามาไกล เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมาก บนรถมีของอยู่ ต้องขอให้คนช่วยหยิบลงมาหน่อย โยมคนไหนอยากช่วยอาตมาบ้าง?”

ทุกคนเห็นสิ่งที่ฟางเจิ้งทำเมื่อครู่แล้ว บอกว่าไม่ให้จิ่งเหยียนให้ของลูกๆ ของพวกเขา ตอนนี้กลับจะให้พวกเขาช่วย? จึงพากันขมวดคิ้ว

แต่ว่าก็ยังมีคนเดินออกมา เป็นชายร่างเตี้ย ผิวดำ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ทว่าดูกำยำเล็กน้อย เขามาไม่พูดอะไร แต่มาถึงหน้าฟางเจิ้งแล้วหยิบกล่องเล็กลงมา ชั่วขณะที่จะหยิบกล่องที่สองนั้น

ฟางเจิ้งพลันกล่าว “ขอบคุณประสกมากนะ กล่องเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องยกเยอะ”

ชายร่างเตี้ยมองฟางเจิ้งด้วยแววตามึนงง เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ากล่องเบาขนาดนี้ทำไมยังต้องให้คนช่วย หลวงจีนนี่คิดว่าสูงศักดิ์แค่ไหนเชียว? เขากลอกตามองบน เตรียมจะเดินไป

จิ่งเหยียนไม่เข้าใจเหมือนกัน เธอเคยเห็นพละกำลังของฟางเจิ้งมาแล้ว แต่ยกกล่องเดียวไม่ไหว? เป็นไปได้เหรอ? เธอเป็นคนขนกล่องพวกนี้มาเอง หนักแค่ไหนเธอรู้ดีที่สุด

ระหว่างที่ทุกคนมีสีหน้าฉงน ฟางเจิ้งเรียกชายที่จะเดินไปเมื่อครู่ไว้ “เดี๋ยวก่อนประสก”

ชายคนนั้นหันมามองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย ไม่พูดอะไรเช่นกัน

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ก่อนหยิบเสื้อขนเป็ดตัวหนึ่งมาจากในกล่องบนรถ ยิ้มเอ่ยว่า “อมิตาพุทธ ขอบคุณประสกมากนะที่ช่วย อาตมาจนมาก ไม่มีเงินตอบแทน เสื้อนี่ถือว่าเป็นค่าตอบแทนให้ประสกแล้วกัน”

ชายคนนั้นอึ้งไปโดยพลัน มองฟางเจิ้งด้วยความตกใจระคนงงงัน จากนี้นมองเสื้อแล้วมองฟางเจิ้งอีกที ทำแบบนี้ต่อเนื่องหลายครั้ง ใบหน้าแข็งทื่อกับมุมปากพลันขยับไหวเล็กน้อย ดวงตาเย็นชามีประกายเพิ่มมาหลายส่วน และยังมีรอยยิ้มเล็กน้อย เขารับเสื้อไป ยิ้มพูดว่า “ไต้ซือ อยากให้ช่วยอีกไหม? ผมแรงเยอะมากนะ”

จิ่งเหยียนเห็นดังนั้นก็อึ้งทึ่ง เธอไม่ใช่คนโง่ เป็นนักข่าวย่อมมีสายตาแพรวพราว ถึงเธอจะไม่เคยมาหมู่บ้านสะพานบูรพา แต่ก็เคยไปหมู่บ้านคล้ายๆ แบบนี้มา อีกทั้งต้องมีครอบครัวเศรษฐีมาบริจาคด้วยใจเมตตากันที่นี่ไม่น้อยแน่ๆ ชาวบ้านเหล่านี้ไม่ควรเย็นชาถึงจะถูก หรือว่าจะเป็นดั่งคำเล่าลือจริงๆ ว่าเกิดเรื่องนั้นขึ้น? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงก็สิ้นมโนธรรม ควรประหารด้วยการยิงเป้าแล้ว!

พอเห็นพวกชาวบ้านที่เย็นชากับเธออย่างยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าฟางเจิ้งกลับเผยยิ้มให้ จิ่งเหยียนจึงรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ‘ของก็ของฉัน! เข้าใจแล้วอะไรเรียกว่ายืมดอกไม้มาถวายพระ…’

ถึงจะบ่นในใจ แต่ส่วนลึกข้างในกลับดีใจ เพียงแต่ไม่เข้าใจเล็กน้อย ฟางเจิ้งแค่ส่งเสื้อผ้าให้ตัวเดียว เธอกลับเห็นความตกตะลึงในแววตาชาวบ้าน จากนั้นกลายเป็นความตื่นเต้น ตื่นเต้นจนบรรยายไม่ได้! ขณะเดียวกันตัวอีกฝ่ายยืดตรงขึ้นไม่น้อย กำลังวังชาต่างออกไป เหมือนขอทานที่ทุกคนก้มหน้ามองกลายเป็นคนงานที่อาศัยตัวเองหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ เป็นการรับของไปอย่างชอบธรรม…

‘นี่คือ…ความเคารพ…’ จิ่งเหยียนพลันเข้าใจคำตอบ! โบราณมีคำกล่าวไว้ว่าให้ทานอย่างดูแคลน และสิ่งที่เธอทำก่อนหน้านี้ต่างอะไรกับการให้ทานอย่างดูแคลน? เธอมองฟางเจิ้งอีกครั้ง เขาไม่ได้มาให้ทานอะไร แต่ให้ทุกคนใช้แรงงานแลกสิ่งของ ถึงการทำแบบนี้จะเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง ค่าตอบแทนก็น้อยจนไม่มีค่า ทว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ใช้แรงงานแลกกับค่าตอบแทนอย่างเท่าเทียมนับตั้งแต่หมู่บ้านสะพานบูรพาได้รับบริจาคมา! เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้รับความเห็นใจ แต่เป็นให้เกียรติ!

วินาทีที่จิ่งเหยียนมองฟางเจิ้งอีกครั้ง ความไม่พอใจในแววตาหายไปนานแล้ว เหลือเพียงความเลื่อมใส เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าฟางเจิ้งอายุแค่นี้ ซ้ำยังหยุดเรียนกลางคัน บนเขาก็ไม่มีหนังสือตำราขายให้เขา ถ้ามีเดาว่าคงเป็นคัมภีร์สักม้วนสองม้วน เขาตระหนักถึงเรื่องพวกนี้ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนั้นได้ยังไง?

……………