ตอนที่ 97-2 ประมุขตระกูลหานคนใหม่

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีตัดสินใจที่จะไม่พูดต่อ แต่ม่อซิวเหยากลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ตระกูลไป๋ เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของซีหลิง ในประวัติศาสตร์แคว้นซีหลิง ฮองเฮาหรือกุ้ยเฟยโดยมากมักแซ่ไป๋ทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นรวมถึงฮองเฮาแคว้นซีหลิงในขณะนี้ด้วย ไป๋หลงถวายตัวเข้าวังไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ในยามนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหรงเฟย เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แคว้นซีหลิงเป็นอย่างมาก ภายหลังที่ฮองเฮาสวรรคต จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นชิงหรงกุ้ยเฟย หากก่อนฮองเฮาจะเสด็จสวรรคตมิได้ขอร้องให้ฮ่องเต้แต่งตั้งฮุ่ยกุ้ยเฟยที่มีแซ่ไป๋เช่นเดียวกันขึ้นเป็นฮองเฮา ยามนี้นางคงได้ขึ้นเป็นฮองเฮาของแคว้นซีหลิงแล้ว”

 

 

           เยี่ยหลีนิ่งเงียบ ในช่วงเวลาไม่ถึงสิบปี จากคู่หมั้นของคุณชายรองตำหนักติ้งอ๋อง เป็นกุ้ยเฟยแห่งแคว้นซีหลิง และเกือบได้เป็นฮองเฮาของแคว้นซีหลิน มิอาจไม่กล่าวว่า ชีวิตของคุณหนูซูท่านนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวนัก

 

 

เมื่อเห็นสีหน้ารู้แต่ไม่พูดของม่อซิวเหยาแล้ว เยี่ยหลีนึกลังเลใจอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านมารู้ที่หลังว่านางยังไม่ตาย หรือว่าท่านรู้มาโดยตลอดหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “ในตอนนั้นบาดแผลของข้ายังไม่หายดี มารู้ก็ตอนที่หานหมิงเย่ว์กำลังจะรับตัวนางออกจากเมืองหลวงแล้ว”

 

 

           “ท่านมิได้ทำอันใดเลยหรือ” เยี่ยหลีนึกสงสัย ด้วยนิสัยเดิมของม่อซิวเหยา ต่อให้ไม่ฆ่าหานหมิงเย่ว์และซูจุ้ยเตี๋ยในทันที ก็คงมิให้พวกเขาออกไปจากเมืองหลวงโดยไม่ทำอันใดเลย หรือว่า หากม่อซิวเหยามีใจรักใคร่ซูจุ้ยเตี๋ยจริงๆ ยิ่งไม่น่าให้นางไปจากเมืองหลวงได้

 

 

ม่อซิวเหยาปรายตามองนาง “ในตอนนั้นสภาพจิตใจข้าเลวร้ายมาก และเคยคิดอยากจะฆ่าพวกเขาจริงๆ เพียงแต่…ท่านผู้อาวุโสซูตามมาทัน และคุกเข่าขอร้องข้าด้วยตนเอง ผู้อาวุโสซูเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า บิดาของซูจุ้ยเตี๋ยก็เป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตพี่ใหญ่ไว้ พี่ชายของนางก็ต้องเสียชีวิตในการศึกครานั้นเพราะช่วยข้า พอข้าสงบลงจึงปล่อยพวกเขาไป”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้าเงียบๆ หากมีผู้ใดมาบอกนางอีกว่าม่อซิวเหยารักซูจุ้ยเตี๋ยสุดขั้วหัวใจ นางจะจับคนผู้นั้นโยนลงน้ำไปล้างตาเสียใหม่ น้ำเสียงของเขาเวลาพูดถึงสตรีผู้นั้นราบเรียบไม่ต่างกับพูดถึงคนแปลกหน้า แต่ทว่า หญิงสาวที่งดงามเช่นซูจุ้ยเตี๋ยยังทำให้จิตใจม่อซิวเหยาสั่นไหวมิได้เลยหรือ

 

 

“ท่าน…เคยชอบซูจุ้ยเตี๋ยหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยความประหลาดใจ ก่อนยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า “แน่นอนว่าข้าเคยชอบนาง”

 

 

คิ้วเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นในใจ “เช่นนั้นเหตุใดตอนนี้…”

 

 

           ม่อซิวเหยาเอ่ยขัดนางว่า “นางเป็นคู่หมั้นของข้า พวกเราโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ในอนาคตยังเป็นไปได้ว่านางจะมาเป็นภรรยาข้า อีกทั้งนางยังมีรูปโฉมงดงาม ความสามารถก็ไม่เลว นิสัยก็ดีไม่น้อย แล้วเหตุใดข้าถึงจะไม่นึกชอบนาง เพียงแต่…ดูเหมือนนางจะคิดเสมอว่าข้าดีกับนางไม่พอ หลังจากที่ข้าบาดเจ็บ นางอยากปลอมการตายเพื่อหนีไปจากข้า เพราะความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับพี่ชายของเขากับข้า ทำให้ข้าปล่อยนางให้เป็นอิสระ จากนั้นพวกเราก็ไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันอีกมิใช่หรือ”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า สรุปคำพูดของม่อซิวเหยาออกมาได้ว่า ในอดีตม่อซิวเหยาเคยคิดว่าซูจุ้ยเตี๋ยเป็นคู่หมั้นที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง บุรุษในตำหนักติ้งอ๋องต่างเป็นคนมีใจเดียว ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องรักหรือไม่รัก ขอเพียงได้ชื่อว่าจะเป็นภรรยา ก็จะดีกับสตรีผู้นั้น ดังนั้นนี่จึงเป็นที่มาของเรื่องราวที่ทั้งสองต่างมีใจสิเน่หาต่อกันจนลือไปทั่วเมืองหลวง ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วซูจุ้ยเตี๋ยเลือกที่จะจากไป จึงย่อมไม่เกี่ยวอันใดกับม่อซิวเหยาอีก ดังนั้นสำหรับม่อซิวเหยาในตอนนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นเพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น ตอนนี้อาจถึงขั้นว่า…กลายเป็นศัตรูไปแล้วก็เป็นได้

 

 

           เดิมทีที่เมืองกว่างหลิงก็ไม่มีธุระอันใดให้ต้องจัดการมากนักอยู่แล้ว ส่วนหานหมิงซีก็ทำทุกอย่างได้ว่องไวนัก ในวันนั้นเอง มีข่าวแพร่ไปทั่วเมืองกว่างหลิงว่า หานหมิงเย่ว์ถูกขับออกจากตระกูลหาน และตระกูลหาน และยกให้คุณชายรองขึ้นเป็นประมุขตระกูล

 

 

เรื่องของหานหมิงซีนี้ ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านในเมืองกว่างหลิง แต่ก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาไม่มากนัก รู้แต่เพียงว่าตระกูลหานมีคุณชายรองอยู่คนหนึ่งเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ต่างไม่มีผู้ใดรู้เลย มาตอนนี้เมื่อตระกูลหานเปลี่ยนประมุขตระกูลใหม่ ขุนนางและพ่อค้าน้อยใหญ่ในเมืองหลวงย่อมต้องให้ความสนใจเขาพอสมควร

 

 

ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีต่างเดินทางออกจากกว่างหลิงมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงแห่งแคว้นต้าฉู่อย่างเงียบๆ

 

 

           เดินทางมาถึงเมืองหลวงได้ไม่เท่าไร ม่อซิวเหยาก็ถูกฮ่องเต้เรียกให้เข้าเฝ้าเพื่อหารือเรื่องราวต่างๆ เยี่ยหลียังมิทันได้สนใจว่าม่อซิวเหยาจะอธิบายเรื่องที่ก่อนหน้านี้ตนหายตัวไปและไปอยู่ที่เมืองหย่งหลินว่าอย่างไร ก็ถูกคนในตำหนักติ้งอ๋องกรูกันเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงจนมิอาจปลีกตัวออกมาได้ จนเมื่อเอ่ยปลอบแม่นมและหลินหมัวมัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และฟังรายงานเรื่องภายในตำหนักติ้งอ๋องจากหัวหน้าพ่อบ้านม่อและซุนหมัวมัวจนจบแล้ว เยี่ยหลีจึงคิดจะไปเยี่ยมเยียนชิงหลวนและชิงอวี้ที่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ แต่ก็มีบ่าวเข้ามารายงานว่า ใต้เท้าเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามาขอเข้าเฝ้า

 

 

           เมื่อเปรียบกับปีก่อนที่เป็นยุคทองของตระกูลเยี่ยแล้ว มาปีนี้จะว่าเจ้ากรมเยี่ยมีเมฆดำปกคลุมเลยก็ว่าได้ ช่วงต้นปีบุตรสาวคนที่สามที่มีฐานะเป็นชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากวังหลวงยังไม่เท่าไร บุตรสาวคนที่สองที่มีฐานะเป็นเจาอี๋และหลานชายตัวน้อยก็ถูกไฟคลอกตายไปอีก นี่ผ่านมายังไม่ถึงสองเดือนดี ตระกูลเยี่ยยังไม่ทันฟื้นตัว จู่ๆ บุตรเขยคนที่สี่ก็เคลื่อนพลก่อกบฏขึ้นมาอีก ถึงแม้ฮ่องเต้ยังไม่พาลมาลงกับตระกูลเยี่ยด้วยเรื่องนี้ แต่ชีวิตของเจ้ากรมเยี่ยก็ใช่ว่าจะผ่านไปด้วยดีสักเท่าใด เจ้ากรมเยี่ยเองทนวางท่าเป็นบิดารอให้เยี่ยหลีกลับบ้านไปทำความเคารพไม่ไหว จึงได้พาเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางมาหาด้วยตนเอง

 

 

           เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในศาลาดอกไม้ ก็เห็นเจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูชราและผ่ายผอมลงไปมาก จึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ “ท่านพ่อ ท่านย่า”

 

 

           “หลีเอ๋อร์ เจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว ย่าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจับมือเยี่ยหลีพร้อมน้ำตาที่ไหลเป็นทาง

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ทำให้ท่านย่าต้องเป็นห่วง เพราะหลีเอ๋อร์ไม่ดีเอง”

 

 

           เจ้ากรมเยี่ยมองสำรวจลูกสาวของตนด้วยสายตาแปลกๆ เขามักรู้สึกว่ามีอันใดไม่ถูกต้อง ถึงแม้ตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตไป เขาก็มิค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุตรสาวผู้นี้นัก แต่นั่นก็มิใช่อุปสรรคที่จะทำให้เขาไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับบุตรสาวผู้นี้

 

 

บุตรสาวคนที่สามของเขาผู้นี้เป็นคนเงียบๆ ไม่ช่างพูดมาตั้งแต่เล็กๆ ซ้ำยังมีความคล้ายคลึงกับภรรยาของเขาที่มีท่าทางและความสง่างามดังเช่นคุณหนูชนชั้นสูงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ครานี้เมื่อได้พบนางอีกครั้ง เจ้ากรมเยี่ยกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า สีหน้าท่าทางของนางดูมีบางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้นมา ถึงแม้เพียงนั่งอมยิ้มอยู่เงียบๆ ปล่อยให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจับไม้จับมือนาง แต่เจ้ากรมเยี่ยกลับรับรู้ได้ถึงความเฉียบแหลมและความกดดันที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงนึกถึงข่าวลือที่ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาโดยไม่รู้ตัว ที่ว่าจู่ๆ ชายาติ้งอ๋องก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขตหย่งโจว ซ้ำยังช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพมู่หรงในการรักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้ ถึงแม้คนที่รู้ข่าวนี้จะมีไม่มากนัก แต่เจ้ากรมเยี่ยที่เป็นพ่อตาของทั้งฮ่องเต้ หลีอ๋องและติ้งอ๋องแล้ว ย่อมมีสายข่าวที่ผู้อื่นไม่รู้อยู่บ้าง ความน่าเชื่อถือของข่าวที่ได้รับย่อมมากกว่าข่าวที่ลือกันอยู่ด้านนอกเป็นธรรมดา เมื่อเห็นหญิงสาวผู้อ่อนหวานซึ่งกำลังนั่งอมยิ้มอยู่นี้ ในใจเจ้ากรมเยี่ยเกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นอย่างประหลาด เขามีบุตรสาวที่แสนจะลึกลับซับซ้อนอยู่หนึ่งคน บุตรสาวผู้นี้แม้กับเขาผู้เป็นบิดายังมีเรื่องปิดบัง แต่เขากลับใช้นางให้เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น