ในยุคสมัยนี้ แผนที่ระบุเขตอำนาจขององค์กรต่างๆ ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะชน คนทั่วไปจึงไม่มีมโนทัศน์ของภูมิประเทศชัดเจนนัก ปกติแล้วคนจะระบุที่อยู่ของป้อมปราการถัดไปด้วยการพูดว่าอยู่ข้างหน้า ข้างหลัง ทางซ้าย ทางขวา ไปทางเหนือ ลงทางใต้ ส่วนที่ว่าอยู่ตรงไหนแบบแน่ชัดนั้นก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าแม้ป้อมปราการต่างๆ จะจับมือเป็นพันธมิตรอันใหญ่โต แต่ก็ไม่มีใครคิดทำแผนที่ของทั้งแผ่นดินอยู่ดี องค์กรต่างๆ ระวังกันเองอย่างกับระวังหัวขโมย แต่แน่ล่ะเขามีความรู้สึกว่าองค์ต่างๆ คงมีแผนที่ลับรายละเอียดสูงเก็บไว้อยู่

นี่ทำให้…เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกขายหน้ามากที่ตนเองเสนอให้ไปป้อมปราการ 88 แต่ไม่รู้เลยว่ามันตั้งอยู่ตรงไหน

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพิจารณาอยู่พักหนึ่ง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ คงอยู่ทางเหนือสักที่แหละ เดินสักหน่อยน่าจะเจอแล้ว”

“พี่ ทำไมผมรู้สึกว่าพี่พูดเองแต่ตัวเองไม่มั่นใจเลยล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนเอ่ย เขาหันไปถามเจียงอู๋ที่อยู่ด้านข้าง แต่เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าป้อมปราการ 88 อยู่ตรงไหน

จากที่หยางเสียวจิ่นว่าไว้ ป้อมปราการ 88 ห่างจากป้อมปราการ 109 แค่สองป้อมเท่านั้น ระยะทางน่าจะอยู่ที่ห้าร้อยถึงหนึ่งพันกิโลเมตร จะเดินเท้าอย่างเดียวคงยากมาก

ถ้าคนธรรมดาจะเดินทางไปป้อมปราการอื่น ส่วนใหญ่จะเดินทางไปที่ป้อมปราการใกล้ๆ จะเดินทางไปป้อมปราการไกลๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลย มีแค่ตัวองค์กรต่างๆ เท่านั้นที่มีความสามารถมากพอจะเดินทางข้ามแดนรกร้าง

ดังนั้นที่เจียงอู๋ไม่รู้ว่าป้อมปราการ 88 อยู่ไหนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

“พี่ พวกเราจะขี่จักรยานเป็นพันกิโลเมตรเลยเหรอ” แค่เหยียนลิ่วหยวนคิดก็หน้าเหยเกแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “พอถึงป้อมหน้าแล้วหารถสักคันเป็นไง จากนั้นก็ขับไปป้อม 88 โลด!”

“หารถสักคัน? พี่ จะขโมยก็พูดมาเลยเถอะ ไม่ต้องเล่นลิ้นก็ได้” เหยียนลิ่วหยวนพูด “ตอนนี้ป้อม 111 ของสมาคมตระกูลชิ่งอยู่ใกล้เราสุด ถ้าคิดจะขโมยรถผมว่าก็ไปขโมยที่นั่นเถอะ”

“ชิ่งเจิ่นกับหลัวหลานน่าจะอยู่ระหว่างทางกลับป้อม 111” เริ่นเสี่ยวซู่คิดก่อนจะพูดว่า “ฉันว่าพยายามเลี่ยงที่นั่นจะดีกว่า สองคนนั้นพร้อมต่อยตีจะตาย อย่าไปยุ่งกับพวกเขามากเป็นดี”

“พี่ เห็นพี่ยังไงก็จะไปป้อม 88 ให้ได้แบบงี้ เพื่อนของพี่ที่ว่าคือหยางเสียวจิ่นใช่ไหมเนี่ย” เหยียนลิ่วหยวนถามโพล่งขึ้นมา

“พูดเยอะวุ้ย” เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาตาขวาง “รีบพักเลยไป พรุ่งนี้เราจะเร่งเดินทางแต่เช้า ถ้าเจอป้อมปราการอื่นระหว่างทางก็จะพักที่เมืองนอกป้อมสักพักหนึ่ง พอรู้ว่าป้อม 88 อยู่ไหนแล้วค่อยเดินทางต่อ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าอยู่ให้ห่างป้อมปราการ 111 ของสมาคมตระกูลชิ่งรวมไปถึงสมาคมตระกูลหลี่ด้วยน่าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนลูกหลงเพลิงแค้นของหลี่เสินถานไปด้วย พอคิดถึงหลี่เสินถานที่ไร ก็รู้สึกได้ว่าหลังออกจากโรงพยาบาลจิตเวชมาแล้ว ชายผู้นั้นมุ่งมาดการล้างแค้นลูกเดียว

แต่ทันใดนั้นเองเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหอนขนานใหญ่ดังโพล่งในแดนรกร้างอันเงียบสงัดทำให้เอาผู้คนต่างหวาดผวา

ผู้หลบหนีบางรายที่หลับไปแล้วสะดุ้งตื่น หันขวับมองซ้ายขวาอย่าตื่นตระหนก ใจสงสัยนักว่าทำไมเพิ่งหนีจากตัวทดลองมาได้ถึงต้องเจอกับหมาป่าทันทีเลยอีก แดนรกร้างอันตรายเช่นนี้เองหรือ!

มีคนกระซิบ “ทุกคนมองที่เนินนั่นสิ!”

ทุกคนหันไปมองและเห็นหมาป่าขนขาวตัวใหญ่ราวกระทิงหลายร้อยตัวตระหง่านบนเนินเขา สายตาจ้องลงมาอย่างเงียบงัน ขนาดตัวหมาป่าขาวนี้ใหญ่กว่าที่คนในป้อมปราการเคยเรียนมา หมาป่าในหนังสือเรียนไม่ได้ตัวใหญ่แบบนี้!

ถ้าหมาป่าพวกนี้โจมตีเข้ามาในแคมป์ คืนนี้ต้องมีคนตายหรือบาดเจ็บเกินครึ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ผู้รอดชีวิตที่เหลืออีกครึ่งก็คงยากจะหนีรอดการไล่ล่าของพวกหมาป่าอยู่ดี

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะรู้ดีว่าพวกหมาป่าไม่ต้องโจมตีแคมป์ของผู้หลบหนีหรอก เพราะถ้าพวกหมาป่าคิดจะโจมตีมาล่ะก็ กลุ่มของเขาคงไม่รอดตั้งแต่หนีจากป้อมปราการ 113 แล้ว

แต่เขาไม่เข้าใจเลยทำไมพวกหมาป่าถึงตามพวกตนมาไม่หยุด เริ่นเสี่ยวซู่มีลางสังหรณ์ว่าที่หมาป่าโผล่หน้ามาเพราะกลุ่มเล็กๆ ของพวกตน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผู้หลบหนีคนอื่นๆ เลย แต่เรื่องนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจเต็มร้อยอยู่ดี

แต่ผู้หลบหนีคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องนี้ พอพวกเขาเห็นหมาป่ามาถึง ก็สะดุ้งตัวขึ้นมาและหนีขึ้นเหนือในพลัน พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าผู้หลบหนีเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาก็พูด “ตามกลุ่มใหญ่ไปก่อนแล้วกัน!”

สิ้นเสียงของเริ่นเสี่ยวซู่ เจียงอู๋ก็ไปปลุกพวกนักเรียนที่หลับอยู่ พวกเขาไม่ถามอะไร ไม่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะไปทางไหน พวกเขาก็จะไปทางนั้น

คนขี่จักรยานกลุ่มหนุ่มขี่อยู่ฝั่งขวาของกลุ่มผู้หลบหนี ถนนไม่ได้ขรุขระนัก ขี่จักรยานหนีจึงง่ายกว่าการวิ่งมาก เรี่ยวแรงที่ใช้ไประหว่างสองกลุ่มนั้นเรียกว่าเป็นคนละระดับอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ต้องขี่เร็วมาก เอาแค่ให้ตามคนอื่นให้ทันพอ” เสียงสั่งการจากเริ่นเสี่ยวซู่ดังขึ้น

เหยียนลิ่วหยวนหันมามองพอดี และเห็นเริ่นเสี่ยวซู่นั่งซ้อนท้ายเฉินอู๋ตี๋พร้อมกับอ้าปากสั่งการอย่างกระตือรือร้น

“พี่ พี่ยังขี่จักรยานไม่เป็นอีกเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนถาม

เริ่นเสี่ยวซู่ตอบหน้าตาย “ฉันขี่เป็นแล้วเหอะ แต่ทำจักรยานหายไปแล้ว”

“พี่มาขี่จักรยานผมมา ละขอผมซ้อนท้ายพี่” เหยียนลิ่วหยวนพูด

เริ่นเสี่ยวซู่พูดขวานผ่าซาก “ลิ่วหยวน นายโตแล้วนะ ควรขี่จักรยานตัวเองได้แล้ว”

เหยียนลิ่วหยวนยิ้มเยาะ “พี่เป็นคนที่ไร้ยางอายที่สุดที่ผมเคยเจอเลย ไม่มีใครเทียบเทียมได้”

เจียงอู๋กับพวกนักเรียนถีบจักรยานอยู่หลังกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ ระหว่างที่ขี่ไปนั้นก็รู้สึกว่าแค่ตามเริ่นเสี่ยวซู่ไปพวกตนก็รอดแน่นอน

ทันใดนั้นเองผู้หลบหนีสองคนเห็นนักเรียน ก็รุดตัวเข้ามาพยายามแย่งชิงจักรยานไป!

ทุกคนในกลุ่มผู้หลบหนีรู้ดีว่าถ้ามีพาหนะดีๆ ก็จะหนีได้ไวขึ้น แถมนักเรียนของเจียงอู๋ดูรังแกง่าย เลยมีคนเกิดความคิดจะลงมือชิงจักรยานขึ้นมา!

ผู้หลบหนีสองคนคว้าเสื้อของนักเรียนไว้และตะโกน “ถอยไป!” จากนั้นก็พยายามพลักนักเรียนออกจากจักรยาน

เฉินอู๋ตี๋กระโดดลงจากจักรยานและทะยานไปหาผู้หลบหนีสองคนนั้นด้วยการกระโจนครั้งเดียว “บังอาจอวดดีต่อหน้าฉีเทียนต้าเซิ่ง ช่างกล้านัก!”

เฉินอู๋ตี๋ส่งหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าก็ส่งสองคนนั้นปลิวออกไป มีคนหนึ่งถึงกับขาบิดผิดรูป!

เฉินอู๋ตี๋ยกจักรยานขึ้นมาส่งให้นักเรียน “ระวังตัวด้วย ถ้ามีใครกล้าเข้ามาขโมยจักรยานอีกก็ตะโกนเรียกได้เลย!”

นักเรียนหญิงทั้งสองคนมองที่เฉินอู๋ตี๋ด้วยสายตาเหม่อลอย “ขะ…ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ขอบคุณอาจารย์ของข้าดีกว่า!” เฉินอู๋ตี๋โบกมือ

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่คือผู้ที่เศร้าที่สุดแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่เลือกนั่งซ้อนท้ายเฉินอู๋ตี๋เพราะคิดว่าเขาแข็งแกร่งมาก มีตนนั่งซ้อนคงไม่กินแรงนัก ใครจะไปคิดว่าเฉินอู๋ตี๋ถีบจักรยานอยู่ดีๆ ก็กระโดดพรวดออกไปแบบนั้น

เกิดเสียงดังตึง เริ่นเสี่ยวซู่ล้มลงกับพื้นไปพร้อมจักรยาน!