บทที่ 208 ยุแยง

ต้องเป็นเพราะคุณชายฉินพูดแบบนี้แน่ ๆ จนจางซิ่วเอ๋อจำใส่ใจ ถึงพูดออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ

คิดไปคิดมา หลีฮวาก็เบิกบานใจขึ้นมา

ดูสิ นางรู้อยู่แล้วว่านางเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านชิงสือแห่งนี้ ขนาดคุณชายฉินยังพูดเลยว่านางสวย

หลีฮวามีความสุข แต่จางอวี่หมินกลับไม่สบอารมณ์

จางอวี่หมินแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าเลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว คุณชายฉินจะไปชอบหลีฮวาได้อย่างไร?”

หลีฮวาชักสีหน้าขึ้นมา จางอวี่หมินหมายความว่าอย่างไร? ทำไมคุณชายฉินถึงจะชอบตนไม่ได้?

ครั้นจางซิ่วเอ๋อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนางเริ่มร้าวฉานแล้ว นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่คุณชายฉินจะชอบใครนั้นข้าตัดสินไม่ได้หรอก ต้องดูว่าระหว่างพวกเจ้าใครมีความสามารถมากกว่ากันต่างหาก”

ขณะนั้นทั้งหลีฮวาและจางอวี่หมินต่างลืมหมดสิ้นแล้วว่าจางซิ่วเอ๋อคือคนที่ใกล้ชิดกับคุณชายฉินที่สุด ชั่วพริบตานั้น ทั้งสองต่างเล็งเป้าไปที่อีกฝ่าย

แม้ว่าคล้อยหลังจางซิ่วเอ๋อไปแล้วทั้งสองถึงค่อยรู้สึกตัว และกระจ่างใจว่าจางซิ่วเอ๋อกำลังยุแยงตะแคงรั่ว แต่ก็สายไปเสียแล้ว

เดิมทีสองคนนั้นก็ไร้มิตรภาพเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว บัดนี้ความสัมพันธ์จึงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง

จางอวี่หมินมองหลีฮวาด้วยสายตาเย็นเยียบ พูดอย่างไม่เกรงใจ “คิดไม่ถึงว่าเห็นเจ้าเงียบ ๆ แบบนี้ กลับเลียนแบบนังชั้นต่ำจางซิ่วเอ๋อไปให้ท่าคุณชายฉินได้!”

“ข้าไม่ได้ให้ท่าคุณชายฉินแต่อย่างใด ไม่เหมือนคนบางคนหรอก ที่มีใจให้คุณชายฉินแล้วพยายามเสนอหน้า แต่คุณชายฉินสิไม่คิดจะชายตามองเลยด้วยซ้ำ!” หลีฮวาถากถางกลับ

เวลานี้หลีฮวาก็รู้แล้วว่าระหว่างจางอวี่หมินและคุณชายฉินนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไร

นางไม่อาจยืมมือจากจางอวี่หมินเพื่อเข้าใกล้คุณชายฉินได้อีก ส่งผลให้ท่าทางที่มีต่อจางอวี่หมินเลวร้ายตามไปด้วย

จางอวี่หมินในตอนนี้รู้สึกว่าหลีฮวากำลังให้ท่าคุณชายฉินแน่ ๆ จึงพูดจาเสียดสีอีกฝ่าย

ทั้งสองพูดกันไปพูดกันมาก็เกิดการทะเลาะกัน

“นังชั้นต่ำ! หน้าไม่อาย!”

“เจ้าสิหน้าไม่อาย! ขนาดพี่ชายเจ้าเองยังไม่ต้องการเจ้า! อย่าว่าแต่คุณชายฉินเลย!”

“เจ้าเอาแต่เรียกว่าคุณชายฉิน ๆ คิดจริง ๆ หรือว่าคุณชายฉินเป็นอะไรกับเจ้า? เจ้าก็แค่นังแพศยาตัวขาดทุนที่เสนอหน้าเข้าหาเขาเท่านั้นแหละ!”

“นังชั้นต่ำ! ต่อให้คุณชายฉินชอบเจ้า เจ้าก็ยังเป็นหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นสะใภ้ของตระกูลสวี่! ชาตินี้เจ้าเลิกหวังว่าจะพลิกชีวิตได้เลย! ต่อให้สวี่อวิ๋นซานไม่เอาเจ้า เจ้าก็ยังต้องดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ที่บ้านของสวี่อวิ๋นซานต่อไป!”

จางซิ่วเอ๋อได้แต่ฟังเสียงก่นด่าของทั้งคู่ขณะเดินทางกลับ อย่าให้พูดเลยว่าอารมณ์ดีขนาดไหน นางเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองแค่ยุแยงไปประโยคเดียวกลับทำให้ทั้งสองมีปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงเพียงนี้

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อมายืนอยู่ใต้ต้นหวายฉู่ใหญ่

พริบตาเดียวที่บรรดาคนรอรถของเฒ่าหลี่ใต้ต้นหวายฉู่เห็นจางซิ่วเอ๋อ พวกเขาต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ

แต่คนที่ได้สติเร็วที่สุดคือจวี๋ฮวา

จวี๋ฮวาก้าวฉับไวเข้ามา “ซิ่วเอ๋อ! เจ้ากลับมาแล้วเหรอ!”

ตอนที่จวี๋ฮวาพูดแบบนี้ออกมา สีหน้าของนางฉายแววยินดีอย่างยากจะบรรยาย

สายตาของจางซิ่วเอ๋ออ่อนโยนขึ้น “ต้องทำให้เจ้าเป็นห่วงเสียแล้ว”

เวลานี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าตกลงตระกูลเนี่ยมีท่าทางอย่างไรต่อนาง พวกประจบประแจงจึงไม่แสดงท่าทางชิดเชื้อกับนางมากในขณะที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร

แต่จวี๋ฮวาไม่เป็นแบบนั้น

แม้จางซิ่วเอ๋อจะดูออกว่าจวี๋ฮวาก็มีความกังวลเหมือนกัน แต่จางซิ่วเอ๋อกลับรู้สึกว่าการที่จวี๋ฮวายอมสนิทชิดเชื้อกับตัวเองถึงเพียงนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว มันเป็นเพราะว่านางเห็นตนเป็นสหายจริง ๆ

พอคิดได้ดังนี้ จางซิ่วเอ๋อจึงมองจวี๋ฮวาและเอ่ย “ต้องลำบากเจ้าแล้ว”

“เรื่องของตระกูลเนี่ย….” จวี๋ฮวามองจางซิ่วเอ๋อ คิดจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด นางอยากถามจางซิ่วเอ๋อว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองถามต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้คงไม่ดีเท่าใด

จางซิ่วเอ๋อยิ้มพลางกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาก็แค่สั่งให้ข้าบูชาคุณชายเนี่ยให้ตรงเวลา”

เรื่องมันจบเช่นนี้จริง ๆ

แม้ว่าระหว่างนั้นมีอุปสรรคบ้าง แต่สุดท้ายแล้วคำขอของเนี่ยเฟิ่งหลินก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ

“แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงพาตัวเจ้าไปล่ะ?” กู๋อวี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

จางซิ่วเอ๋อและกู๋อวี่ไม่ได้สนิทอะไรเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยก็พอคุยกันได้บ้าง จางซิ่วเอ๋อตอบทันที “ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น ตอนนี้จัดการหมดแล้วล่ะ”

“ข้าเห็นตอนนั้นคนตระกูลเนี่ยมีท่าทางดุดันเพียงนั้น จะเป็นการเข้าใจผิดได้อย่างไร?” แม่ม่ายหลิวเสริมอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่หวังดี

คราวนี้ไม่รอให้จางซิ่วเอ๋อพูดอะไร จวี๋ฮวาก็เอ่ยขึ้น “บอกว่าเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดสิ หากไม่ใช่การเข้าใจผิด คนตระกูลเนี่ยจะปล่อยซิ่วเอ๋อกลับมาดี ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”

“พูดแบบนี้ก็ถูก หากจางซิ่วเอ๋อทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินตระกูลเนี่ยจริง ๆ นางคงไม่ได้กลับมาแบบนี้หรอก”

“ใช่แล้ว”

คนพวกนี้เคยกินอาหารที่จางซิ่วเอ๋อให้ ตอนนี้รู้สึกว่าที่จวี๋ฮวาพูดมีเหตุผล จึงพากันกล่าวสมทบพร้อมรอยยิ้ม

อย่างไรเสียก็แค่กล่าวประโยคสองประโยค ต่อให้มีปัญหาอะไรก็มาไม่ถึงตัวเองหรอก

แม่ม่ายหลิวมองจางซิ่วเอ๋ออย่างโกรธแค้น ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี!

หลังจากที่จางซิ่วเอ๋อเข้ามาถึงในเมือง นางก็ซื้อของจำเป็นที่ตัวเองต้องใช้ ก่อนจะไปหาเถ้าแก่เฉียน

เถ้าแก่เฉียนเห็นว่าจางซิ่วเอ๋อมาก็ตื่นเต้นนิดหน่อย “แม่นางเถาฮวา เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

จางซิ่วเอ๋อยิ้ม “ตอนนี้ท่านน่าจะรู้แล้วนะเจ้าคะว่าข้าไม่ได้ชื่อเถาฮวา”

เถ้าแก่เฉียนหัวเราะ “รู้แล้วล่ะ แต่ก็ยังชินกับการเรียกเจ้าว่าแม่นางเถาฮวาอยู่”

จางซิ่วเอ๋อโค้งคำนับเถ้าแก่เฉียน

“แม่นางเถา….แม่นางซิ่วเอ๋อ นี่เจ้าทำอะไร?” เถ้าแก่เฉียนตึงเครียดขึ้นมา

จางซิ่วเอ๋อปริปากพูดขึ้น “ขอบคุณเถ้าแก่เฉียนมากที่ดูแลน้องสาวของข้า”

เถ้าแก่เฉียนสั่งลูกน้องให้ไปส่งจางชุนเถาถึงในหมู่บ้าน บางทีที่เขาทำเช่นนี้อาจจะเพราะมีเป้าหมายบางอย่าง แต่นางก็ขอบคุณเถ้าแก่เฉียนจากใจจริง

หากไม่ได้เถ้าแก่เฉียน ข่าวก็คงไม่อาจส่งไปถึงคุณชายฉินง่ายขนาดนั้น

“แล้วก็ ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะที่ช่วยตามคุณชายฉินมาให้ข้า” จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างซาบซึ้ง

เถ้าแก่เฉียนรีบบอก “ขอเพียงเจ้าไม่โกรธข้าเพราะเรื่องคราวก่อนก็พอ”

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยยิ้ม ๆ “ว่ากันว่าเคราะห์ดีและร้ายมาคู่กัน หากครั้งนี้ไม่ได้คุณชายฉินข้าก็คงไม่รอดจากภยันตรายมาได้ง่ายดายขนาดนี้หรอกเจ้าค่ะ”

เถ้าแก่เฉียนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างพิจารณา เขาเปิดโรงเตี๊ยมและทำการค้าขายได้ใหญ่โตขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นโรงเตี๊ยมอันดับต้น ๆ ของเมืองนี้อีกด้วย ดังนั้นจึงต้องหลักแหลมเป็นธรรมดา

หลังจากที่จางชุนเถาบอกเขาถึงสาเหตุที่มา เถ้าแก่เฉียนจึงส่งคนไปตามคุณชายฉินด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเขาก็ไปสืบประวัติของจางซิ่วเอ๋อ

จนถึงตอนนี้ เถ้าแก่เฉียนรู้แล้วว่าจางซิ่วเอ๋อเป็นใครมาจากไหน

และรู้ด้วยว่าจางซิ่วเอ๋อเคยเป็นภรรยาแก้ชงให้คุณชายเนี่ย จนทำให้นางเป็นแม่ม่าย

สายตาของเถ้าแก่เนี่ยฉายแววสงสาร นางเป็นถึงสตรีที่ออกจะเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ไฉนถึงโดนตระกูลเนี่ยย่ำยีเล่า?

น่าสงสารจริง ๆ

เถ้าแก่เฉียนคิดไปคิดมาก็รู้สึกนับถือจางซิ่วเอ๋อมากขึ้น