บทที่ 184 เจ้าไม่งดงาม แต่เจ้า...

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

สาวน้อยผมสีทองพาจินเฟยเหยาเดินในสวนอย่างช้าๆ นางใช้ภาษามนุษย์ที่ไม่ชำนาญแนะนำทิวทัศน์รอบด้านให้จินเฟยเหยาฟังอย่างกระตือรือร้น

“แขกผู้มีเกียรติ ทางนี้คือสวนสมุนไพรล้ำค่า ในนั้นปลูกหญ้าวิญญาณล้ำค่ามากมาย ทั้งยังมีผลไม้มาร น่าเสียดายที่ถ้าไม่มีคำสั่งของใต้เท้าไหวพวกเราก็เข้าไปไม่ได้ แต่ท่านสามารถมองผ่านช่องประตูจากตรงนี้ได้”

นางยืนอยู่หน้าห้องกระจกสีสี่ด้านที่ไม่ถือว่าเล็กแห่งหนึ่ง แนะนำจินเฟยเหยาอย่างกระตือรือร้น

ไม่เคยเห็นการรับรองแขกแบบนี้มาก่อน ให้แขกชมพืชที่ปลูกจากในช่องประตู ทว่านางกระตือรือร้นเกินไป ดวงตากลมโตสีฟ้ามองจินเฟยเหยาเป็นประกายวิบวับ มีสีหน้าวาดหวังทำให้จินเฟยเหยารู้สึกเกรงใจ

จินเฟยเฟยได้แต่เดินไปเบื้องหน้าเรือนกระจกอย่างลำบากใจ แนบหน้ามองผ่านร่องประตูเข้าไปด้านใน “เป็นหญ้าวิญญาณอันล้ำค่าจริงๆ ทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

ด้านในเป็นหญ้าวิญญาณจำนวนมาก กระพริบแสงห้าหกสีสัน ด้านซ้ายเปี่ยมปราณวิญญาณด้านขวาเปี่ยมไอมารอย่างละครึ่ง ที่น่าเสียดายคือจินเฟยเหยาจำได้เพียงสองสามต้น ส่วนต้นอื่นไม่รู้เลยสักนิดว่าคืออะไร นางมองดูตามสบาย ในใจคิดว่าแบบนี้คงไปได้แล้วสินะ

น่าเสียดายที่นางยังไม่ทันหันมา สาวน้อยผมสีทองก็เบียดมาชี้หญ้าวิญญาณด้านในแล้วเอ่ยแนะนำ “แขกผู้มีเกียรติ ท่านเห็นดอกไม้สีม่วงที่มีสีขาวแซมนิดๆ หรือไม่?”

“เห็น..” จินเฟยเหยาได้แต่ตอบรับ

“นั่นเรียกว่าหญ้าลืมรัก กินแล้วสามารถทำให้คนหัวใจแห้งเหี่ยวตายได้ทันที”

“หืม? ดูจากชื่อแล้วสมควรลืมคนที่รักมิใช่หรือ? เหตุใดหัวใจจึงแห้งเหี่ยวตาย” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างตกตะลึง

“หัวใจตายแล้ว ย่อมต้องลืมคนรัก” สาวน้อยผมสีทองไม่ได้เงยหน้า ชี้ไปยังผลไม้รูปหัวใจสีแดงจนออกดำขนาดเท่ากำปั้นที่ห้อยอยู่อีกแล้วเอ่ยว่า “แขกผู้มีเกียรติดูสิ ผลไม้รูปหัวใจที่มีไอมารฟุ้งตลบ เรียกว่าผลหทัยมาร ถ้ามีคนที่สูญเสียหัวใจจนตาย แล้วยัดผลหทัยมารเข้าไปในทรวงอกของเขาก็จะสามารถคืนชีพเขาได้”

“จริงหรือ!” จินเฟยเหยาหลุดปากเอ่ยถามอย่างตกตะลึง นางสงสัยว่าภาษาเผ่ามนุษย์ของสาวน้อยผมทองคงย่ำแย่เกินไป ตนเองจึงได้ยินผิด

สาวน้อยผมสีทองกลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เป็นความจริง เพียงแต่มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก อยู่ได้ประมาณสิบวัน ถึงจะเป็นเวลาไม่มากทว่าใช้สำหรับค้นการรับรู้หรือทรมาน สิบวันก็เพียงพอแล้ว”

“อ้อ เป็นของดีจริงๆ” จินเฟยเหยาเหงื่อตก ได้แต่พูดคล้อยตาม

“แขกผู้มีเกียรติเชิญดูอีก พืชที่เหมือนต้นไผ่ทางด้านนั้นมีเฉพาะในโลกเผ่ามาร…” สาวน้อยผมสีทองชี้หญ้าวิญญาณอื่นๆ จากทางช่องประตูอีกอย่างคึกคัก เห็นท่าทางของนางราวกับคิดจะแนะนำหญ้าวิญญาณทั้งหมดรอบหนึ่ง

ให้นางแนะนำหญ้าวิญญาณไปอีกยี่สิบกว่าชนิด คนทั้งสองยืนอยู่ตรงประตูสวนสมุนไพรล้ำค่าครึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นยังมีสาวน้อยเผ่ามารจำนวนไม่น้อยเดินผ่านไป ทั้งหมดมีท่าทางยินดี บางครั้งยังมีคนหยุดลงใช้ภาษามารเอ่ยอะไรบางอย่างกับสาวน้อยผมทองอย่างตื่นเต้น นอกจากประโยคใต้เท้าอาปู้แล้วจินเฟยเหยาก็ฟังประโยคอื่นๆ ไม่เข้าใจสักนิด

จินเฟยเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าปู้จื้อโหยวจะได้รับความนิยมขนาดนี้ สาวน้อยเผ่ามารแต่ละคนจิตใจปั่นป่วนเพราะความรัก ตื่นเต้นเป็นที่สุด

“เจ้า…” คิดไม่ถึงว่าจะลืมถามว่านางชื่ออะไร จินเฟยเหยาได้แต่แตะต้นแขนสาวน้อยผมทองที่แนบหน้าอยู่ตรงช่องประตูซึ่งกำลังแนะนำหญ้าวิญญาณจนน้ำลายกระเซ็นเบาๆ “พวกเราไปหาใต้เท้าอาปู้ได้แล้วหรือไม่? ไม่อาจให้เจ้าบ้านรอนาน”

“อา! แขกผู้มีเกียรติเหน็ดเหนื่อยแล้ว คิดจะพักผ่อนสักครู่ ทางนี้ๆ ข้างสระบัวทองทางด้านนี้มีสถานที่ให้นั่งได้” สาวน้อยผมทองเกิดรู้แจ้ง พูดไปคนละทางกับจินเฟยเหยา พานางเดินไปข้างสระบัวทอง

“ที่ข้าพูดคือใต้เท้าอาปู้ อาปู้! ไม่ใช่พักผ่อน” จินเฟยเหยาร้อนใจ นี่จงใจฟังไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่?

สาวน้อยผมสีทองยักไหล่ ใช้ภาษามนุษย์อันแข็งทื่อเอ่ยว่า “อาปู้? พักผ่อน ฟังไม่รู้เรื่อง พักผ่อน พักผ่อนสักครู่ ไม่ต้องรีบร้อน”

“ท่านยายมันเถอะ ตอนแนะนำหญ้าวิญญาณเมื่อครู่เจ้ายังพูดอย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้ทำไมแม้แต่คำว่าใต้เท้าอาปู้ก็ฟังไม่เข้าใจ” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี ยายนี่ไม่พาข้าไปพบอาปู้ชัดๆ กำลังทำอะไรอยู่กันแน่!

สาวน้อยผมสีทองหัวเราะหึหึอย่างโง่งม นำจินเฟยเหยาเดินมาข้างสระบัวทอง นั่งลงบนเก้าอี้ปะการังสีแดงข้างสระ นางเกรงว่าบรรยากาศจะกระอักกระอ่วนเกินไปจึงชี้ในสระบัวทองแล้วใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “แขกผู้มีเกียรติดูสิ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในสระบัวทองแห่งนี้คือปลาชนิดหนึ่งชื่อเข็มขัดเงิน ปลาชนิดนี้ลักษณะงดงามเป็นพิเศษ เป็นหนึ่งในจำนวนปลาที่ใต้เท้าไหวชอบที่สุด ขอเพียงโยนคนลงไปภายในไม่กี่อึดใจก็จะแทะจนกลายเป็นโครงกระดูก”

“ตอนข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็ฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจและพูดไม่ชัด ตอนเล่าถึงเจ้าตัวกินคนไม่ถ่มกระดูก ภาษามนุษย์ของเจ้าก็คล่องแคล่วดี” จินเฟยเหยามองนางด้วยสีหน้ายิ้มบางๆ

“ข้าไม่งดงามขนาดนั้น แขกผู้มีเกียรติเกรงใจเกินไป ข้าสมควรดูแลท่านอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องขอบคุณหรอก” สาวน้อยผมทองลูบใบหน้าอย่างตกตะลึงเพราะได้รับคำชมแบบคาดไม่ถึง เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

จินเฟยเหยามองนางด้วยท่าทางนิ่งอึ้งเป็นไก่ไม้ คนผู้นี้น่าไม่อายเกินไปแล้ว ไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะแสร้งเป็นได้ยินผิด นางรู้สึกว่าโลกเผ่ามารชั่วร้ายเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนเผ่ามารจะต่ำช้าไร้ยางอายขนาดนี้ ตนเองใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด

ท่าทางจะเป็นคนดีต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้ายังพัวพันกับนางต่อไป ฟ้าจะมืด

ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังจะใช้กระบวนท่าสะบัดมือแล้วบุกทะลวงที่ไม่เชี่ยวชาญ ด้านหลังก็มีเสียงประหลาดใจดังมา “เฟยเหยา เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่? ข้ารอเจ้าอยู่ในห้องโถงนานแล้ว นี่ผ่านไปสองชั่วยามกว่าแล้วนะ ข้าว่าถึงเป็นแม่สุกรคงล้างจนสะอาดเอี่ยมลงหม้อต้มสุกแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังล้างหน้าบ้วนปากไม่เสร็จ ที่แท้แล่นมาชมปลาอยู่ที่นี่เอง”

จินเฟยเหยาหันหน้าไปมอง ที่แท้เป็นปู้จื้อโหยว เจ้าหมอนี่ล้างหน้าบ้วนปากเปลี่ยนเป็นชุดยาวสีแดงเพลิงเด่นสะดุดตาทั้งตัว ยืนอยู่ด้านหลังอย่างองอาจผ่าเผย

“ใต้เท้าอาปู้!” ไม่รอให้จินเฟยเหยาฟ้อง สาวน้อยผมทองก็เบียดเข้ามาเอ่ยภาษามารชุดหนึ่ง

จากนั้นเห็นใต้เท้าอาปู้กวักมืออย่างสนิทสนมให้นางลงมา

“บ่าวบ้านเจ้ารังแกข้า พาข้าเดินไปทั่วเพื่อถ่วงเวลา ไม่ยอมพาข้าไปหาเจ้า อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าฟังภาษามนุษย์เข้าใจ คิดไม่ถึงว่านางจะแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ!” จินเฟยเหยาเอ่ยฟ้องอย่างเดือดดาล

ใต้เท้าอาปู้ลูบเส้นผมของตนเอง เอ่ยอย่างสงสัย “นางบอกว่าบนร่างเจ้าเหม็นมาก เกรงว่าจะทำให้ท่านแม่ของข้าตกใจ ดังนั้นจึงพาเจ้าเดินตากลมไปทั่ว คิดจะให้ลมพัดกลิ่นเหม็นหน่อย”

หลังเอ่ยจบ เขาก็เข้าใกล้จินเฟยเหยาแล้วดมอย่างสงสัย จากนั้นเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ข้าจำได้ว่าตลอดทางเจ้าไม่มีกลิ่นเหม็น ทำไมอาบน้ำครั้งหนึ่งจึงมีแต่กลิ่นสบู่ทำความสะอาดทั่วร่าง? เจ้าใช้มากไปแล้วกระมัง หอมจนกลายเป็นเหม็นไป นี่ยังดีนะที่ตากลมอยู่นานแล้ว ถ้าเป็นตอนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ มิทำให้คนสลบทันทีหรือ”

“ข้า!” จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าการกระทำอันชาญฉลาดของตนเองจะกลายเป็นความโง่เขลา คิดจะปกปิดกลิ่นเหม็น กลับหอมเกินไป

นางได้แต่หยิบขวดน้ำผลไม้ที่เหม็นสุดขีดของเต๋อสี่ออกมาเปิดให้ปู้จื้อโหยวดม

เพิ่งเปิดออก กลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนก็ลอยกำจายออกมา ปู้จื้อโหยวกระโดดออกไปทันที ใช้มือข้างหนึ่งปิดจมูก และใช้มืออีกข้างหนึ่งปัดอย่างแรง “เหม็นมาก! รีบปิดเลย อย่าให้กระเด็นออกมานะ!”

“ฮึ!” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก ถ้าข้างในไม่ได้ว่างเปล่าไปนานแล้ว ตนเองคงนำออกมาหยดใส่สาวน้อยคนนั้นหลายหยด แต่กลิ่นเหม็นนี้น่าตกใจจริงๆ ขวดว่างเปล่าแล้ว ด้านในยังเหม็นขนาดนี้

“เจ้าอย่าทำเรื่องที่ทำให้คนหัวเราะตลอดจะได้หรือไม่ รีบตามข้ามา ท่านแม่ของข้ากำลังรอเจ้าอยู่” ปู้จื้อโหยวยิ้มพลางส่ายศีรษะ เดินนำนางไปยังตำหนักสีแดงที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ท่านแม่ของเจ้าเป็นคนอย่างไร? จะกินคนง่ายๆ หรือไม่?” จินเฟยเหยาติดตามอยู่ด้านหลังเขา เอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านแม่ข้าเป็นคนดี นิสัยเร่าร้อน”

“เร่าร้อน? เหมือนสีแดงที่เห็นรอบด้านหรือ?”

“เจ้าบรรยายได้ถูกต้อง”

ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินมาถึงหน้าห้องโถง ลุงเมิ่งยืนรับใช้อยู่หน้าห้องโถง มองเห็นปู้จื้อโหยวเดินนำจินเฟยเหยามา ก็รีบผลักประตูห้องโถงให้เปิดออก

จินเฟยเหยาเพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในห้องโถง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสกระจ่าง จากนั้นเปลวเพลิงดวงหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หน้า พอมองเห็นชัดเจน ที่แท้เป็นสตรีผมสีดำสวมชุดสีแดงเพลิงผู้หนึ่ง

ผิวพรรณขาวเนียนนุ่ม ริมฝีปากชุ่มชื้นแดงเป็นประกาย ดวงตาทรงเสน่ห์สุดเปรียบปาน เป็นนางมารตัวเป็นๆ คนหนึ่ง เส้นผมยาวสีดำสนิทแผ่ปกคลุมด้านหลัง ยาวจนระพื้น บนหน้าผากห้อยอาภรณ์ประดับศีรษะสีแดง เขาแหลมบนศีรษะมีเครื่องประดับเขาฉลุลายสีแดงซึ่งมีลวดลายซับซ้อน รักสีแดงมากจริงๆ ชุดยาวสีแดง รองเท้าอัญมณีสีแดง ยังมีเล็บสีแดงเพลิงยาวสามชุ่นยื่นมาถึงเบื้องหน้าจินเฟยเหยาแล้วเชยคางของนางขึ้นอย่างกำเริบเสิบสาน

จากนั้น จินเฟยเหยาก็ได้ยินนางร้องลั่นอย่างผิดหวัง “เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใดจึงไม่ใช่สาวงาม! คิดไม่ถึงว่าจะมีรูปโฉมธรรมดาสามัญขนาดนี้ ถึงกินไปก็ไม่ทำให้ข้างดงาม!”

งดงามบ้านเจ้าสิ! กินแล้วจะทำให้เจ้ากลายเป็นปิศาจอัปลักษณ์! จินเฟยเหยาไม่แสดงสีหน้า ในใจกลับด่าทอทันที

“ท่านแม่ อย่าก่อเรื่องสิ นางเป็นสหายข้า ท่านกินไม่ได้นะ อีกอย่างหนึ่งก็เหมือนที่ท่านพูดมา ถึงกินไปก็ไม่งดงาม” ปู้จื้อโหยวดึงมือของใต้เท้าไหวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ปู้จื้อโหยว เจ้าบ้าเอ๊ย พวกเจ้าแม่ลูกรวมหัวกันหยามเกียรติข้า!” จินเฟยเหยาไม่กล้าเดือดดาลใส่ผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นกำเนิดใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่กล้าถ่ายทอดเสียงไปด่าปู้จื้อโหยว

ปู้จื้อโหยวได้ยินคำด่าของนางก็หัวเราะแล้วถ่ายทอดเสียงตอบมา “ท่านแม่ของข้าใช้มนุษย์ผู้หญิงที่งดงามบำรุงรูปโฉมจริงๆ เจ้าอยากงดงามแล้วถูกนางกินหรืออยากมีชีวิตอยู่อย่างอัปลักษณ์ล่ะ?”

“วิธีโน้มน้าวคนของเจ้าย่ำแย่เกินไปแล้ว ถึงข้าอยากให้นางกินก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะงดงามขึ้นทันที พูดไปพูดมา พวกเจ้ากำลังบอกว่าข้าหน้าตาอัปลักษณ์นะ!” จินเฟยเหยาถ่ายทอดเสียงกลับไปอย่างไม่พอใจ เห็นนางเป็นคนโง่จริงๆ หรือ

“เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ถึงเจ้าไม่ใช่สาวงาม แต่เจ้ามองโลกในแง่ดี ถึงเจ้าไม่ใช่สาวงาม แต่เจ้ามีเรี่ยวแรงมหาศาล ถึงเจ้าจะไม่ใช่สาวงาม แต่เจ้าเจริญอาหารมาก ถึงเจ้าไม่ใช่สาวงาม แต่เจ้า…ขอข้าคิดหน่อย แต่เจ้าตรงไปตรงมา” ปู้จื้อโหยวมองนางถ่ายทอดเสียงบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

“พูดพอหรือยัง เจ้าหุบปากไปเลย!” จินเฟยเหยากัดฟัน เอ่ยตอบอย่างดุร้าย