หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.471 – เย่หยิงเหมย

 

หลังจากที่จิ้งจอกขาวบอกเล่าถึงเรื่องราวของโลกชั้นภายนอก มันก็ปิดปากลง

 

มันกำลังให้เวลากู่ฉิงซานย่อยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

กู่ฉิงซานเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

 

นี่นับว่าเป็นการโค่นโลกทัศน์เดิมลงอย่างสิ้นเชิง และเปิดมุมมองใหม่ของเขา

 

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะมีประสบการณ์จากสองชาติภพ แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการย่อยความลับอันน่าอัศจรรย์ใจนี้อยู่ดี

 

ขณะนั้นเอง ได้บังเกิดเสียงถอนหายใจยาวดังสะท้อนขึ้นมาจากผืนดินเบื้องล่าง

 

เสียงถอนหายใจนี้กังวานไปตลอดทั้งโลก

 

มันคือเสียงของมารโลกา

 

ที่จมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 

ช่วงเวลาของโลกได้เปลี่ยนไป จากลางร้าย กลายเป็นช่วงเวลาแห่งลางดี

 

หมู่เกาะลอยฟ้าที่อยู่กลางเวหาพลันสาดแสงสวรรค์จางๆขึ้นอีกครั้ง

 

แต่แสงที่สาดออกมาก็คล้ายดั่งไฟในเทียนไขที่อยู่ท่ามกลางสายลมกรรโชก มันอ่อนจางและพร้อมที่จะมอดดับได้ตลอดเวลา

 

จิ้งจอกขาวปรบอุ้งเท้าของมันและกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเราก็สนทนากันมามากพอแล้ว ตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มการทดสอบแข่งขันอีกครั้งเสียที”

 

“เพื่อชดเชยถึงสถานการณ์เสียเปรียบที่เจ้าจะต้องเผชิญ ข้าจะขอบอกบางสิ่งบางอย่างแก่เจ้า”

 

“เชิญชี้แนะ”

 

“เย่หยิงเหมยกำลังจะมาสังหารเจ้าทันที นางถูกส่งมาโดยผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส) อีกคนหนึ่ง”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็หันไปมองรอบๆ แล้วตนก็ตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง

 

“แต่หากเป็นอย่างที่ท่านพูด นางก็สมควรที่จะลงมือตั้งนานแล้วนี่นา … ” กู่ฉิงซานงงเล็กน้อย

 

จิ้งจอกขาวอธิบาย “เพื่อความเป็นธรรม เมื่อครู่ข้าจึงได้ไปหยุดนางเอาไว้แล้ว นางจะตื่นขึ้นมาในอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม และจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ข้าพึ่งลงมือไป”

 

“อีกฝ่ายได้เปรียบมากเกินไป ดังนั้นข้าจึงออกหน้านิดๆหน่อยเพื่อให้การทดสอบนี้ดูยุติธรรม”

 

“นอกจากนี้ ข้าขอแจ้งให้เจ้าทราบว่า นับจากนี้ไปอีก 36 นาที โลกใบนี้ก็จักถูกทำลายลงโดยมารโลกาแล้ว”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างสงบ

 

ในที่สุด เวลาแห่งการล่มสลายของโลกก็ได้มาถึง

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียงถามออกมา “ท่านสามารถต่อกรกับมารโลกาได้หรือไม่? ได้โปรดใช้จิตสัมผัสเทวะเพื่อบอกกล่าวมันแก่ข้าด้วย”

 

สองตาของจิ้งจอกขาวหรี่แคบลงทันใด มันเอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้าต้องการจะทราบถึงความแข็งแกร่งของข้างั้นหรือ?”

 

“โปรดเชื่อใจข้า ข้อมูลนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

จิ้งจอกขาวจับจ้องมาที่เขา

 

ในดวงตาของกู่ฉิงซานช่างกระจ่างชัด ขณะที่สีหน้าท่าทีการแสดงออกของเขาไม่ได้เผยถึงความความเห็นแก่ตัวหรือต้องการจะล่วงรู้เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ส่วนตนเลย

 

จิ้งจอกขาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ข้าสามารถจัดการกับมันได้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

แล้วเขาก็หยิบใบหยกที่ว่างเปล่าออกมา จากนั้นก็ใส่จิตสัมผัสเทวะลง แล้วเขียนบางสิ่งไม่กี่คำลงไป

 

เขายื่นใบหยกให้แก่อีกฝ่าย

 

จิ้งจอกขาวพอเห็นถึงการกระทำนี้ มันก็นิ่งไปครู่หนึ่ง

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

 

มันเอื้อมมือไปรับใบหยก และเอ่ยถามด้วยความสับสน

 

“เชิญท่านสำรวจดูได้ มันคือเทคนิคฝึกยุทธจำเพาะ” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ

 

“นี่เจ้าต้องการจะติดสินบน-” จิ้งจอกขาวไม่พอใจมากยิ่งขึ้น กระทั่งน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูรุนแรงเล็กน้อย

 

“เชิญดูก่อนเถิด แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกครั้ง” กู่ฉิงซานขัดจังหวะ

 

จิ้งจอกขาวก้มลงมองใบหยก ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

ในที่สุด มันก็สงบสติอารมณ์ และกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป

 

ภายในใบหยก มีข้อมูลอยู่ไม่มากนัก แต่พอได้อ่านมัน สีหน้าการแสดงออกของจิ้งจอกขาวก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป

 

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” มันกล่าวเสียงกระซิบ

 

“หากเป็นในกรณีนี้ การทดสอบแห่งลั่วชาจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?”

 

“ยังคงดำเนินต่อไป”

 

“แล้วผู้ทดสอบอีกคนจะได้รับรู้ถึงข้อมูลนี้หรือไม่?”

 

“นี่คือข้อมูลที่เจ้าได้ค้นพบมันด้วยตนเอง เขาไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวก็คือ จักต้องต่อกรกับผู้ทดสอบแข่งขันอีกผู้หนึ่ง และได้รับชัยชนะให้จงได้”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็พยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นข้าก็พร้อมแล้ว”

 

“ดีมาก เพื่อความยุติธรรม ข้าจะถอยออกมาทันที และมอบเวทีการแข่งขันครั้งสุดท้ายนี้ให้แก่เจ้า”

 

น้ำเสียงของจิ้งจอกขาวกลายเป็นจริงจัง มันเอ่ยอย่างเป็นทางการ “การทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส) จะเริ่มขึ้นทันที หลังจากที่ข้าได้จากไป”

 

ว่าแล้ว จิ้งจอกขาวก็ค่อยๆถอยไปทีละก้าว ทีละก้าว ก่อนที่ร่างของมันจะจมหายไปในความว่างเปล่า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย

 

มันหายไปแล้ว

 

บนเวที หลงเหลือเพียงกู่ฉิงซานและฉานนู่ที่ยังคงยืนอยู่

 

การต่อสู้เพื่อกำจัดคู่แข่ง .. ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

 

ขณะนี้ บนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง ยังคงหลงเหลือผู้ฝึกยุทธอยู่อีก สองคน

 

หนึ่งคือกู่ฉิงซาน

 

และเย่หยิงเหมย

 

“นายน้อย เย่หยิงเหมยกำลังจะมาหา แล้วพวกเราสมควรจะรับมืออย่างไรดี?” ฉานนู่เอ่ยถาม

 

ขณะนี้ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกกำลังโคจรอย่างไม่รู้จบ ดังนั้นการที่จะทำลายมัน เกรงว่าจะมีเวลาไม่มากพอ

 

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นช่วงเวลาลางดีอีกด้วย

 

ดังนั้นหากจะสังหารเขา เย่หยิงเหมยย่อมสามารถทุ่มลงมือได้อย่างเต็มที่

 

“สำหรับเวลาหนึ่งในสี่ชั่วยามที่ได้รับมานี้ มันก็ดูยุติธรรมดี เพราะอย่างน้อยมันก็พอมีเวลาให้ข้าได้ริเริ่มเตรียมการบางอย่างได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาหยิบใบหยกค่ายกลออกมา และเริ่มต้นจดจำพิกัด

 

ซึ่งพิกัดที่อยู่ภายใน คือโลกที่โลกล่องเวหาได้เคยพิชิตมา

 

คือโลกที่ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับโลกล่องเวหาเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นในตำแหน่งพิกัดดังกล่าว ในความเป็นจริงแล้ว จึงหลงเหลือแค่เพียงมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานทำการจดจำพิกัดอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เริ่มปรับแต่งดิสก์ค่ายกล

 

กล่าวได้ว่าพื้นฐานค่ายกลของเขานั้นอยู่ในระดับสูงสุด ดังนั้น การปรับแต่งมันจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

เพียงระยะเวลาสั้นๆ การปรับแต่งก็เสร็จสมบูรณ์

 

นี่เป็นเพียงสิ่งสำรอง ที่เผื่อไว้ใช้กับสถานการณ์บางอย่าง และบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เลยก็ได้

 

จากนั้น เขาก็เริ่มปรับแต่งดิสก์ค่ายกลอีกชุดด้วยความเร็วสูงสุด

 

และนี่คือดิสก์ค่ายกลที่จะนำไปสู่โลกเทวะ

 

เมื่อทำการปรับแต่งสองดิสก์ค่ายกลจนเสร็จสิ้น กู่ฉิงซานก็วุ่นอยู่กับการตระเตรียมการอีกมากมาย

 

จนในสายตาของเขา มันไปตกลงบนหัวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับฉานนู่

 

-หัวของหวังหงษ์เต๋าที่กำลังกลิ้งไปตามลมอยู่ที่นั่น

 

“ดูเหมือนว่าศีรษะของเขาที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง มันจะยังคงพอมีประโยชน์อยู่นะ” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

แล้วเขาก็ก้าวออกไป หยิบหัวของหวังหงษ์เต๋าขึ้นมา

 

หนึ่งในสี่ชั่วยามผ่านไปราวกับพริบตา

 

บนเวที

 

เย่หยิงเหมยได้มาหยุดอยู่ตรงข้ามกับหวังหงษ์เต๋า โค้งกายคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม

 

“ท่านอาจารย์”

 

“อืม .. แล้วศิษย์พี่ของเจ้าเล่า?” หวังหงษ์เต๋าเอ่ยถาม

 

“ศิษย์เองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ใด”

 

สีหน้าของเย่หยิงเหมยที่แสดงออกมาก็บ่งบอกชัดเจนว่าตนก็กำลังสงสัยอยู่

 

ไม่เพียงแค่เซ่าหวูชุ่ยเท่านั้น

 

ชัดเจนว่าเธอพึ่งเข้าไปในห้องมืดและรายงานสถานการณ์

 

แต่เมื่อเธอออกมาอีกครั้ง กลับพบว่าตลอดทั้งนิกายดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

เย่หยิงเหมยหยั่งเชิงเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ สาวกทั้งหมดในนิกาย … ”

 

“ถูกสังหารลงจนหมดสิ้นแล้วโดยข้า”

 

หวังหงษ์เต๋ากล่าวเพียงผิวเผิน

 

“ถูกสังหาร? จนหมดสิ้น? เพราะเหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนั้น … ” เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

 

“เพราะหากพวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็คงสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณของข้าไปเปล่าๆ”

 

ขณะกล่าว หวังหงษ์เต๋าก็สะบัดมือราวกับว่าเขากำลังปัดฝุ่นผงออกจากชุดคลุมของตน

 

เขาเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ศิลาวิญญาณกำลังขาดแคลน ดังนั้นนิกายจึงไม่จำเป็นต้องเลี้ยงผู้คนมากมายเอาไว้อีกต่อไป”

 

เย่หยิงเหมยตะลึงงัน

 

เธอค่อยๆเอนตัวลงอย่าช้าๆ และพยักหน้ารับ

 

“ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องที่จะต้องรายงาน”

 

“เจ้าว่ามาสิ”

 

“ฉีหยานร่วมมือกับเซ่าหวูชุ่ยเพื่อหมายจะจัดการกับท่าน”

 

“หากเป็นเรื่องนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก เพราะข้าได้สังหารฉีหยานไปเรียบร้อยแล้ว”

 

ปากที่กำลังจะอ้าเผยอเปล่งประโยคต่อไปของเย่หยิงเหมยนิ่งค้างอย่างกระทันหัน

 

ฉีหยาน … ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

เขาตายลงด้วยน้ำมือของหวังหงษ์เต๋า!?

 

-แต่มันก็สมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วนี่นา

 

อย่างไรก็ตาม …

 

“แต่ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เซ่าร่วมมือกับคนอื่นเพื่อจะจัดการกับท่านนะ การกระทำของเขาช่างน่ารังเกียจจริงๆ!” เย่หยิงเหมยเริ่มยุยง

 

แต่ละเรื่องที่พึ่งได้รับรู้ มันเกินกว่าจินตนาการของเธอไปแล้ว เย่หยิงเหมยจึงค่อยๆลอบทำใจให้สงบอย่างลับๆ

 

“เขาไม่ได้ทรยศข้า” หวังหงษ์เต๋ากล่าวอย่างแผ่วเบา

 

“เซ่าหวูซุ่ยน่ะเป็นคนร้าย-” คำกล่าวติดอยู่ในลำคอของเย่หยิงเหมย

 

ว่าไงนะ?

 

หวังหงษ์เต๋าบอกว่าเซ่าหวุชุ่ยมิได้ทรยศอย่างงั้นหรือ?

 

‘เห็นได้ชัดว่าเซ่าหวูชุ่ยถูกชักชวนโดยฉีหยาน แถมยังมอบกุญแจห้องลับตำหนักเจียงซีให้แก่อีกฝ่าย’

 

‘หรือว่านั่นคือการเล่นละครของเซ่าหวูชุ่ยกัน?’

 

‘คงมิผิดแล้ว  … เขาจะต้องเล่นละครแน่ๆ’

 

เรื่องแบบนี้ สำหรับหวังหงษ์เต๋าแล้วเขาย่อมไม่โป้ปดมันกับผู้อื่น!

 

เหตุการณ์พลิกผันเช่นนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!?

 

หัวในของเย่หยิงเหมยสั่นสะท้าน สีหน้าของเธอเผยถึงความไม่อยากจะเชื่อ

 

“ท่านอาจารย์ เซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานอยู่ต่อหน้าข้า พวกมันป้ายสีท่าน ข้าจึงคิดว่าเขาจะทรยศท่าน”

 

ขณะกล่าว เย่หยิงเหมยก็ค่อยๆขยับร่างตนไปข้างกายหวังหงษ์เต๋า

 

เธออิงแอบเขา และค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ

 

“ท่านอาจารย์จะต้องระวังเซ่าหวูชุ่ยให้ดี เขาเป็นคนเลวจริงๆนะ” เย่หยิงเหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเส่า

 

หวังหงษ์เต๋าไม่กล่าวอะไรออกมาสักพักหนึ่ง นั่นเพราะเจ้าตัวกำลังย้อนนึกถึงบทสนทนาของสองหญิงสาวเมื่อไม่นานมานี้

 

มันมีประโยคหนึ่ง ในสถานการณ์ที่เขาถูกอิงแอบเหมือนกับในตอนนี้ พวกเธอบอกว่าเขาน่ะเป็นไก่อ่อน เลยล่วงรู้ถึงตัวจริงได้ง่ายดาย ประโยคนี้เด้งเตือนขึ้นมาในความทรงจำทันใด

 

จู่ๆหวังหงษ์เต๋าก็เอื้อมมือไป และบีบคอเย่หยิงเหมยด้วยเจตนาร้าย

 

แรงบีบนี้หนักหน่วงยิ่ง แม้เย่หยิงเหมยจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า แต่เมื่อถูกบีบอย่างกระทันหัน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของเธอก็เริ่มไหลมาเป็นสายอย่างรวดเร็ว

 

ใช่แล้ว นี่แหละคือความวิปริตของหวังหงษ์เต๋าล่ะ

 

เย่หยิงเหมยจิกริมฝีปาก ข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้

 

ขณะที่เธอยังคงอิงอยู่ในอ้อมแขนของหวังหงษ์เต๋า

 

ได้ยินเพียงเสียงของหวังหงษ์เต๋าที่ดังขึ้นใกล้หู “เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับศิษย์พี่เจ้าอีกเข้าใจไหม เขาถูกผนึกโดยแมลงมารของข้า ดังนั้นจึงไม่อาจคิดคดทรยศได้”

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

 

เย่หยิงเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจเสียจริง ที่สามารถเตรียมรับมือถึงสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ล่วงหน้าได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ”

 

“แน่นอน ฉีรั่วหยาน่ะมันโง่ ส่วนบุตรชายของมันก็โง่ยิ่งกว่า ถูกหลอกเข้าไปในห้องลับโดยศิษย์พี่เซ่าของเจ้า มิรู้หรือ ว่าภายในห้องลับน่ะ-”

 

เย่หยิงเหมยแสดงท่าทีถึงการตั้งใจฟัง

 

ทว่าหวังหงษ์เต๋าก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกต่อไป

 

เย่หยิงเหมยเฝ้ารออยู่สักพัก แต่ก็เห็นแค่เพียงหวังหงษ์เต๋าที่กำลังมองเธออยู่อย่างเงียบๆ

 

เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงหวานออกมา “ท่านอาจารย์ มีสิ่งใดซ่อนอยู่เบื้องหลังห้องลับกัน ท่านพอจะบอกข้ามิได้หรือ?”

 

ขณะกล่าว เธอก็ยิ่งโน้มกายแนบชิดกับเขามากยิ่งขึ้น

 

แต่ใครจะรู้ หวังหงษ์เต๋ากลับตบหลังเธอเบาๆและกล่าวว่า “เอาเถิด ความลับนั้นยังมิอาจบอกเจ้าได้ในตอนนี้ เพราะเจ้ายังมีสิ่งสำคัญอื่นที่ต้องทำอยู่”

 

“สิ่งสำคัญอันใดหรือท่านอาจารย์?”

 

“จงไปยังลั่วชาเฟิง แล้วนำกล่องใบนี้มอบให้กับสตรีแห่งรากษส บอกว่าเป็นของกำนัลจากข้ามอบให้แด่นาง”

 

หวังหงษ์เต๋าตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบกล่องขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกไปด้วยชั้นค่ายกลออกมา

 

เย่หยิงเหมยจ้องมองไปที่กล่องด้วยหัวใจที่สั่นไหว

 

ฉีหยานตายไปแล้ว และที่อยู่ภายใน … มันอาจจะเป็นหัวของเขาก็ได้

 

ภารกิจของตนเองจึงเสร็จสมบูรณ์โดยแทบมิต้องลงมือ ทุกสิ่งอย่างช่างง่ายดาย

 

และตอนนี้ หวังหงษ์เต๋าก็กำลังมอบสิ่งที่ตนต้องการ แถมยังให้ตนนำมันกลับไปยังลั่วชาเฟิงด้วยตัวเองอีก -นี่มันมิใช่ว่าตรงตามกับความต้องการของเธอเลยหรอกหรือ?

 

ไม่จำเป็นต้องใช้ข้ออ้างใดๆ ก็สามารถเดินทางกลับไปได้ ช่างเป็นการพลิกกระดานที่เหนือความคาดหมายโดยแท้!

 

“ท่านอาจารย์ต้องการให้ข้าไปเมื่อใด?” เย่หยิงเหมยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

 

“ไปตอนนี้ มิอาจล่าช้าได้” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”

 

เย่หยิงเหมยหยิบกล่องใบใหญ่ขึ้นมา และใส่ลงในถุงสัมภาระของตนเอง

 

เธอเป่าลมหายใจกระเส่าใส่หูของหวังหงษ์เต๋าเล็กน้อย ก่อนจะบิดเอวลุกขึ้น

 

“จะให้ศิษย์กลับมาเมื่อใด?”

 

“จงเร่งไปก่อนเถอะ”

 

“เจ้าค่ะ”

 

เย่หยิงเหมยหยิบยันต์ออกมาแล้วมองมัน

 

บนยันต์ ตัวอักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียรและไม่สั่นไหว

 

เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความสุข

 

มารโลกากำลังหลับไหล

 

ขณะที่ตนเองสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างง่ายดาย

 

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

 

ได้เวลาที่จะต้องไปแล้ว!