ตอนที่206 ภูมิแพ้

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่206 ภูมิแพ้

ด็อกเตอร์ทอมสันยักไหล่กล่าวตอบฉีเล่ยกลับไปว่า

“เฮ้ออ…น่าเสียดายจริงๆ แต่ลูกศิษย์ของคุณนิสัยน่ารักทุกคนเลย!”

เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของฉีเล่ยไม่ยอมไปสอนต่อที่มหาวิทยาลัยฟลอริด้า ความกังวลใจอันหนักอึ้งของหลี่ถงซีพลันจางหายไปในทันใด

จางรุ่ยรับจานอาหารจากบริกรมาส่งให้กับหลี่ถงซี พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ถงซี ลองชิมของหวานจานนี้ดูสิ ถึงจะรสชาติหวานไปหน่อย แต่ผมว่าคุณน่าจะชอบ”

หลี่ถงซีเอ่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ฉันไม่กินของหวาน”

จางรุ่ยคลี่ยิ้มออกอย่างช้าๆ พร้อมตอบกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า…งั้นก็ต้องจานนี้เลย รสชาติหวานน้อยกว่า คุณน่าจะต้องชอบแน่ๆ”

จากข้อมูลที่เขาแอบสืบมา หลี่ถงซีชอบกินขนมหวาน แม้จะไม่ได้ถึงขั้นชอบมากมาย แต่เธอก็น่าจะให้ความสนใจกับจานขนมหวานเป็นพิเศษกว่าอาหารจานอื่นๆ

แต่ในเมื่อเธอตอบกลับมาแบบนั้น นั่นย่อมหมายความชัดเจนแล้วว่า เธอปฏิเสธที่จะคุยกับเขาต่อ

จางรุ่ยปรายตามองไปทางฉีเล่ยเล็กน้อย พร้อมกับคาดเดาอยู่ภายในใจว่า

‘หรือจะเป็นเพราะไอ้หมอนั่น?’

เนื่องจากคณะชาวต่างชาติไม่ค่อยคุ้นเลยกับรสชาติของเหล้าจีน เครื่องดื่มที่นำมาเสิร์ฟในวันนี้จึงเป็นไวน์แดงแทน

แน่นนอนว่าฉีเล่ยไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ได้ เขาจึงหันไปขอให้บริกรเสิร์ฟน้ำผลไม้ให้ตนเองแทน เพื่อจะได้มีแก้วเครื่องดื่มสำหรับชนแก้วกับทุกคน และนั่นทำให้ฮาเมอร์ถึงกับยิ้มเย้ยพร้อมกับเตรียมจะอ้าปากพูดสบประมาทขึ้นทันที

แต่เมื่อหันไปสบสายตาของด็อกเตอร์ทอมสันที่กำลังจ้องเขม็งใส่ คล้ายกับพยายามจะสื่อว่า ให้สำรวมหน่อย เขาก็ยิ่งยอมไม่ได้ และเตรียมที่จะเอ่ยปากกระแนะกระแหนฉีเล่ยทันที

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆฮาเมอร์ก็เหมือนจะสำลักอะไรสักอย่าง เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง แล้วรีบหงายหลังเอนกายพิงพนักเก้าอี้ในทันที จากนั้นก็เริ่มมีอาการไออย่างรุนแรง เวลานี้ทั้งใบหน้าและใบหูล้วนแดงก่ำ ลมหายใจติดขัดหายใจได้ลำบากอย่างมาก

ทุกคนบนโต๊ะและที่อยู่รอบๆต่างก็พากันตกอกตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก จนมีบางคนถึงกับแสดงสีหน้าตื่นตระหนกให้เห็นอย่างชัดเจน

หลายคนร้องตะโกนให้โทรเรียกรถพยาบาล ส่วนอีกหลายคนก็รีบวิ่งไปบอกเจ้าหน้าที่โรงแรมให้รีบนำส่งผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และด้วยผู้คนที่อยู่ในงานเวลานี้ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นหมอเกือบทั้งนั้น พวกเขาจึงพอที่จะคาดเดาอาการได้บ้างว่าฮาเมอร์กำลังเป็นอะไร

ด็อกเตอร์ทอมสันรีบคว้าข้อมือของฮาเมอร์ขึ้นมาตรวจวัดชีพจร พร้อมกับร้องถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษว่า

“ฮาเมอร์ มองมาที่ฉัน! มองมาที่ฉัน! ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?!”

ฮาเมอร์ส่ายหัวไปมา สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกทรมานเกินกว่าจะบรรยาย เขาพยายามที่จะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่สุดท้ายกลับต้องสะดุดเพราะไอออกมาอย่างรุนแรงเสียก่อน

หลินหมิงจางเห็นท่าไม่ดี จึงรีบตะโกนลั่นห้องเสียงดัง

“ไปตามหน่วยฉุกเฉินของโรงแรมมาก่อน!”

หากสมาชิกในคณะชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บ หรือล้มตายระหว่างการเยี่ยมเยือนขึ้นมาแล้วล่ะก็ นี่จะต้องกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน

ด็อกเตอร์ทอมสันเองก็ได้แต่ร้องถามฮาเมอร์ออกไปด้วยสีหน้าวิตกกังวลร้อนใจ

“ฮาเมอร์! หายใจเข้าลึกๆ! โอ้มายก้อด ยาอยู่ไหน? โรคหอบหืดกำเริบใช่ไหม? แล้วยาประจำตัวยูอยู่ไหน?”

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่มีใครเตรียมอุปกรณ์อะไรกันมาเลยสักคน แต่ด้วยประสบการณ์ หลายคนเริ่มมองออกแล้วว่า อีกฝ่ายน่าจะป่วยเป็นโรคหอบหืด

สีหน้าของด็อกเตอร์ทอมสันดูเป็นกังวลใจอย่างยิ่ง เขารีบหันไปตะโกนถามฉีเล่ยว่า

“คุณฉี! ฮาเมอร์เป็นหอบหืด คุณพกเข็มสำหรับฝังเข็มมาด้วยรึเปล่า!?”

เนื่องจากก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้หายเป็นปลิดทิ้งด้วยการใช้แค่เข็มเพียงเล่มเดียว เขาจึงคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาเชื่อมั่นในฝีมือของฉีเล่ยมากที่สุด

แม้ว่าฉีเล่ยจะไม่ได้รู้สึกดีกับฮาร์เมอร์นัก แต่เขาก็ทราบดีว่า หากอีกฝ่ายเป็นอะไรไป ทุกคนในที่นี่จะต้องถูกแรงกดดันจากผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องบนเล่นงานอย่างแน่นอนในฐานะที่เป็นผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอธิการบดีอย่างหลินหมิงจาง เขาจะต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ฉีเล่ยเดินตรงเข้าไปหาฮาเมอร์ ก่อนจะยกมือขึ้นเปิดเสื้อเชิ้ตของเขาออกจนเห็นหน้าอกขาวนวล แล้วจึงใช้นิ้วทั้งสองเข้าประกบกระบังลมของฮาเมอร์พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ระบบหายใจเป็นปกติ แต่หลอดลมเกิดอาการบวมจนติดขัด ใบหน้าและลำคอเกิดอาการบวม สาเหตุมาจากการแพ้อาหารขั้นรุนแรง!”

“จะบอกว่าเป็นภูมิแพ้? เขาแพ้อะไร? ใครรู้บ้างว่าเขาแพ้อะไร?”

“ใช่แล้ว! ด็อกเตอร์ฮาเมอร์แพ้ถั่วลิสง! เขาแพ้ถั่วลิสง!”

ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงหนึ่งร้องตะโกนขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่จานของหวานสีชมพู พร้อมกับพูดต่อทันที

“ขนมจานนี้ทำจากถั่วลิสง!”

หลินหมิงจางถึงกับสบถออกมาทันที

“ให้ตายเถอะ!”

จากนั้นจึงหันมองไปทางฉีเล่ย พร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างมาก

“ฉีเล่ย เธอต้องหาวิธีช่วยเขาให้ได้นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา มีหวังพวกเราซวยยกแผงแน่ๆ!”

ฉีเล่ยส่งยิ้มให้หลินหมิงจาง พร้อมกับยกมือขึ้นโบกไปมา และพยายามปลอบใจให้คลายความกังวลว่า

“ไม่ต้องห่วงครับ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดี”

แม้เขาจะปราศจากความรู้สึกดีๆต่อฮาเมอร์คนนี้ แต่ฉีเล่ยก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า ตนจะได้แก้แค้นอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของฉีเล่ย ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก

แม้ว่าลักษณะคำพูดและน้ำเสียงของฉีเล่ยจะดูค่อนข้างหยิ่งจองหองอวดดี แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า พวกเขาสามารถเชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของชายหนุ่มคนนี้ได้อย่างแน่นอน

ทุกคนสงบจิตสงบใจลง และเฝ้ารอให้นายแพทย์หนุ่มอัจฉริยะคนนี้มาช่วยชีวิตอีกฝ่าย

หลี่ถงซีปรายตามองไปทางใบหน้ายิ้มแย้มของฉีเล่ยเล็กน้อย พลางรู้สึกเสียวซ่านใจขึ้นมาวูบหนึ่ง อาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่แสนอับอุ่นและดูเชื่อมั่นนี้ก็เป็นได้ ทำให้เธอยอมเปิดใจรักษากับเขาในตอนนั้น

……….

คนเราทุกคนต่างก็มีอาการแพ้อะไรสักอย่างอยู่ในตัว ซึ่งล้วนแตกต่างกันออกไป และแสดงอาการออกมามากน้อยต่างกันไป

เช่นแพ้เกสรดอกไม้ แพ้น้ำตาลทรายแดง แพ้ฝุ่น เป็นต้น

และจากกรณีศึกษาที่ผ่านมาทั้งหมด โดยส่วนใหญ่คนที่แพ้ถั่วลิสงและเกสรดอกไม้มักจะมีอาการหนักกว่าทั้งหมดทั้งมวล

และเป็นที่โชคร้ายที่ฮาเมอร์ดันมาแพ้ถั่วลิสงเข้า

อาหารโดยทั่วไปของประเทศจีนล้วนแล้วแต่มีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบ จะโทษว่าฮาเมอร์กินไม่เลือกก็คงไม่ถูกนัก เพราะถึงแม้เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายเพราะเรื่องความต่างของวัฒธรรมการกินนี่เอง ในที่สุดเขาก็พลาดจนได้

ทั้งหมดเป็นเพราะขนมชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น และฮาเมอร์ก็ไม่คิดว่าขนมชิ้นเล็กๆชนิดนี้จะมีถั่วลิสงเป็นส่วนผสม จนทำให้อาการแพ้ของเขากำเริบในที่สุด

เนื่องจากฉีเล่ยได้วินิจฉัยอาการป่วยของอีกฝ่ายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ว่าจะรักษาอย่างไรเท่านั้น?

ในห้องจัดเลี้ยงไม่มีกล่องปฐมพยาบาลอะไรเลย มิหนำซ้ำอาการของฮาเมอร์ยังทรุดหนักลงเรื่อยๆ การจะส่งอีกฝ่ายไปโรงพยาบาลในตอนนี้ ดูจากระยะทางและสภาพการจราจรแล้ว ยังไงก็คงไม่ทันการแน่ มิหนำซ้ำฉีเล่ยก็ยังไม่ได้พกกล่องเข็มติดตัวมาด้วย

ดังนั้น เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่การรักษาเดียวคือ.. การรักษาโดยใช้การคลอบแก้ว

การคลอบแก้วมีกลไกในการรักษาโดยอาศัยความร้อนและแรงดันสูญญากาศ เพื่อดูดเอาเลือดเสียออกจากร่างกาย ทำหน้าที่ชำระล้างเส้นลมปราณ ขจัดความอ่อนล้า ช่วยให้ระบบกานรหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ…ในสมัยโบราณ ชาวจีนโดยส่วนใหญ่มักจะใช้การคลอบแก้วเพื่อขับพิษ

ท่ามกลางผู้คนที่จับจ้องมองไม่ห่าง ฉีเล่ยรีบถอดเสื้อผ้าที่เหลืออยู่ของฮาเมอร์ออกมาทันที และหยิบแก้วไวน์บนโต๊ะทั้งหมดมารวมกัน เขาเทไวน์แดงในแก้วทิ้งหมดทุกใบ จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นถามผู้คนว่า

“ใครมีไฟแช็คบ้างครับ?”

“ฉันมี!”

ชายคนหนึ่งร้องตะโกนตอบ พร้อมกับยื่นไฟแช็คให้ฉีเล่ยทันที

ฉีเล่ยจุดไฟแช็คพร้อมนำแก้วมารนจนเกิดเขมาควันสีดำขึ้นบริเวณขอบแก้ว จากนั้นก็นำปากแก้วคว่ำประกบลงให้ดูดติดที่หน้าท้องบริเวณจุดเซินกวนของฮาเมอร์ทันที

ท่ามกลางเสียงร้องอุทานของทุกคน เขายังหยิบแก้วไวน์ใบอื่นๆขึ้นมารนไฟ และทำเช่นเดียวกันอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ทั้งในจุดจงจี้ กวนหยวนและฉีไห่

ประมาณห้านาทีต่อมา อาการหอบหืดขั้นรุนแรงของฮาเมอร์ก็ค่อยๆทุเลาลงจนกระทั่งหายเป็นปลิดทิ้ง

ทุกคนต่างร้องอุทานออกมาทั้งเป็นภาษาจีน และภาษาอังกฤษดังลั่นไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยง พร้อมกับเอ่ยปากยกย่อง และถามว่านี่คือเวทมนต์ใช่ไหม?