หน้าเรือนไท่ผิงยามกลางวันนั้นเงียบเหงาไร้ซึ่งรถม้า แต่ในห้องโถงกลับมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ทุกคนต่างถือถ้วยยกช้อนกินอาหารกันอย่างคึกคัก
สวีเม่าซิวกินอย่างสุภาพ แต่เหล่าพี่น้องที่อยู่ด้านข้างกลับกินตะกละตะกลาม ส่วนสวีปั้งฉุยนั้นยิ่งกว่าใคร
เงยหน้าเทเต้าหู้เนื้อเนียนนุ่มในถ้วยเข้าปาก
“ตอนที่ภรรยาข้ายังมีชีวิตอยู่ ฝีมือทำไข่ตุ๋นของนางนั้นอร่อยนัก เต้าหู้อ่อนถ้วยนี้ช่างอ่อนนุ่มเหมือนไข่ตุ๋นยิ่งนัก” ผู้ดูแลร้านเอ่ยแล้วใช้ช้อนตักเต้าหู้ในถ้วยใส่ปากจนหมดเกลี้ยง เขาหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับรสชาติที่อยู่ในปาก
ม่านของโถงด้านหลังเปิดออก น้องสี่ยกถาดออกมาถาดหนึ่ง บนนั้นมีเต้าหู้ที่ดูเหมือนดั่งหยกขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยน้ำจิ้มวางอยู่
“มา ลองชิมแบบนี้กัน” เขาพูดขึ้น
ไม่ทันได้วางถาดลง เหล่าพี่น้องก็มุงล้อมแล้วยื่นช้อนเข้าไป
สวีเม่าซิวยิ้มแล้วส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้น ไม่สนใจคนในห้องโถงที่กินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่แล้วเดินไปด้านหลัง
เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่ตรงทางเดินของเรือนหลัง มองดูกล่องอาหารที่สาวใช้ยกมาให้
“เอาไปทั้งนึ่ง ต้ม ตุ๋น ผัด ทอดแล้วเจ้าค่ะ หน้าตาและรสชาติแตกต่างกันทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
สาวใช้ยืนดูอยู่ด้านข้างอย่างใคร่รู้
“ข้าชอบเต้าหู้หมักราดน้ำจิ้มที่สุดเจ้าค่ะ” นางเอ่ย “นายหญิง ชอบอันไหนหรือเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นสวีเม่าซิวที่กำลังเดินมา จึงเผยยิ้มบางออกมา
“ท่านพี่ คิดว่าอันไหนดี” นางถาม
“ดีทุกแบบ” สวีเม่าซิวยิ้ม “ไม่คิดว่าของที่ไม่สะดุดตาเช่นนี้จะมีวิธีการทำมากมายถึงเพียงนี้”
ผู้ดูแลร้านก็เดินตามออกมาเช่นกัน เสียงกินดื่มคึกคักในห้องโถงลอยมาพร้อมกับม่านที่เปิดออก
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเต้าหู้จะอร่อยได้ถึงเพียงนี้” เขาพูดแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะเหลือบตามองดูสาวใช้ “มีแม่นางสอนการทำอาหารให้ ทำอาหารจานใหม่ รสชาติใหม่ รากฐานของเราก็ถือว่ามั่นคงแล้ว วันนี้ยังมีเต้าหู้
นี่อีก ของแปลกใหม่ก็มีแล้ว ไม่ช้าเรือนไท่ผิงจะต้องโด่งดังเป็นแน่”
“หวังว่าจะเร็ว อย่าให้ช้าเลยขอรับ” หลี่ต้าเสาเดินออกมาจากในครัว เขาฟังอยู่สักพักก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หรือจะพูดได้ว่าในตอนนี้ ณ ร้านแห่งนี้ คนที่เฝ้าคอยหวังว่าจะร่ำรวยไม่ใช่เจ้าของร้าน แต่เป็นเหล่าคนงานในร้าน
“สิ่งที่ข้าทำได้ก็ทำหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องรบกวนผู้ดูแลร้านแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ผู้ดูแลร้านยิ้มตาหยี
“เถ้าแก่เกรงใจกันเกินไปแล้ว ข้าต้องทำอยู่แล้ว” เขาตอบ “นึกถึงตอนที่…”
หลี่ต้าเสากระแอมเสียงดัง จ้องผู้ดูแลร้านตาเขม็ง
ผู้ดูแลร้านหัวเราะร่า สาวใช้ทั้งสองต่างป้องปาก
ในเรือนมีเสียงดังโครมคราม ซุนไฉกระโดดออกมาจากห้องทำเต้าหู้
“ถั่วล่ะ ถั่วไม่พอใช้แล้ว รีบไปซื้อถั่วมาเร็ว! เมื่อครู่เต้าหู้ทั้งกล่องถูกพวกเจ้ากินหมดแล้ว! แบบนี้จะค้าขายอย่างไร” เขาตะโกน
มีคนอยากจะรีบรวยเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว สวีเม่าซิวยิ้มพยักหน้าแล้วตะโกนเรียกให้คนมา
“เถ้าแก่หรือเราจะขยายห้องทำเต้าหู้ดี ข้ากลัวว่าวันหน้าจะไม่พอใช้” ผู้ดูแลร้านยิ้ม
“ไม่ต้อง” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ทุกคนต่างตกตะลึงไปเช่นกัน
“นายหญิง ของดีเช่นนี้ย่อมมีแต่คนเสาะแสวงหา ถึงตอนนั้นยอดขายจะต้องมากมายเป็นแน่นะขอรับ” ซุนไฉรีบเอ่ย “ที่นี่พื้นที่เล็กเกินไป ถึงจะเปลี่ยนเวรกันไม่หลับไม่นอน ก็ทำได้ไม่เท่าไรนะขอรับ”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“ข้าเปิดร้านอาหาร ไม่ได้เปิดร้านขายเต้าหู้” นางตอบ “หมดก็หมดไป ครั้งหน้าก็เชิญมาให้เร็วกว่านี้แล้วกัน”
ผู้ดูแลร้านเข้าใจแล้วก็หัวเราะออกมา
“ใช่ เช่นนี้นั่นล่ะ” เขาเอ่ย “นึกถึงตอนที่…”
หลี่ต้าเสากำลังจะจ้องเขาอีกครั้ง ผู้ดูแลร้านก็รีบเปลี่ยนคำพูด
“…นางฟ้าผ่านทางของเรือนนางฟ้า หากไม่จองล่วงหน้าก็ไม่ได้กินเช่นกัน” เขาพูด
ทุกคนเข้าใจแล้ว ยิ่งเป็นของหากินยาก ก็ยิ่งเป็นที่พิศวง ยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น
มีเพียงซุนไฉที่ยังรู้สึกเสียดาย
“หาเงินได้แท้ๆ เหตุใดถึงไม่ทำ” เขาพึมพำ
“ค่อยเป็นค่อยไป” ผู้ดูแลร้านยิ้ม
ขณะที่ผู้ดูแลร้านเรียกทุกคนมาเพื่อกำชับกฎเกณฑ์ต่างๆ ในร้านอาหาร เช่น ต้องยกอาหารขึ้นโต๊ะอย่างไร
ต้องทำอาหารอย่างไร สวีเม่าซิวก็รับหน้าที่ส่งเฉิงเจียวเหนียงกลับ
“ต้องทำรายการอาหารใหม่เช่นนี้ ต้องเสียเงินเพิ่มอีกแล้ว” เขาเอ่ย
หากเทียบกับแต่ก่อน ในตอนนี้เขาเอ่ยปากขอเงินได้อย่างไม่เขินอาย พูดจาสีหน้าเรียบเฉย
ทำเรื่องที่ตนควรทำ ไม่ต้องคิดให้มากความ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ท่านพี่ทำเถิด เรื่องเงินยังมีข้าอยู่” นางพูดแล้วเหมือนนึกอะไรได้จึงรีบพูดต่อ “อีกอย่าง ข้าย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว มีธุระอะไร ก็มาหาข้าที่บ้านได้ตลอดเวลา”
ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่สะพานอวี้ไต้หรือ สวีเม่าซิวชะงักไป
“พวกเขารังแกเจ้าหรือ” เขาถาม “น้องสาว ถึงแม้เจ้าและข้าต่างก็รู้ดีว่า พวกข้าไม่ได้มีความสามารถอะไร ทั้งยังไม่กล้าทำการบุ่มบ่าม เพราะกลัวจะช่วยน้องไม่ได้ แล้วยังจะสร้างปัญหายุ่งยากให้อีก แต่หากได้ใช้กำลังอาละวาดระบายอารมณ์สักหน่อยก็ยังดี”
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดิน แล้วหันหน้ามายิ้ม
“ท่านพี่วางใจได้” นางตอบ “รังแกข้า แค่ชกต่อยอาละวาดสักครั้งแล้วเรื่องจะจบง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร”
สวีเม่าซิวอมยิ้มพยักหน้า
“ข้ารู้ว่าน้องฉลาดนัก” เขาเอ่ย “เพียงแต่อยากให้น้องรู้ว่า เจ้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ถึงแม้พวกเราจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้”
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้า
จนกระทั่งเวลาโพล้เพล้ ท่านชายโจวหกเพิ่งจะเห็นรถม้าคันหนึ่งมาจอดอยู่หน้าประตู
ประตูที่ปิดสนิทมาทั้งวันแม้จะใช้เท้าถีบอย่างไรก็ไม่ยอมเปิด ในที่สุดก็ก็เปิดออกกว้าง บ่าวคนหนึ่งและสาวใช้
อีกคนพากันวิ่งออกมา
“นายหญิง นายหญิง”
พวกเขาเข้าไปล้อมหญิงสาวที่ลงมาจากรถด้วยความดีอกดีใจ
ใบหน้าอันเรียบเฉยของหญิงสาวผู้นั้นกลับมีรอยยิ้มลอยขึ้นมา รอยยิ้มนี้ไม่ใช่รอยยิ้มอันแข็งกระด้างเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นรอยยิ้มจริงๆ
ท่านชายโจวหกทิ้งแส้ในมือแล้วเดินเข้าไป
เมื่อเห็นชายหนุ่ม ปั้นฉินและจินเกอร์ต่างก็ตกใจก่อนจะรีบมาขวางหน้าเฉิงเจียวเหนียงไว้ เตรียมพร้อมเข้าสู้
“ท่านชายหก มีธุระอะไรอีก ตอนพวกข้าออกมา ไม่ได้เอาอะไรของบ้านตระกูลโจวมาเลย ยังไม่จบไม่สิ้นกันอีกหรือ” สาวใช้เข้าไปแทรกแล้วเลิกคิ้วพูด
โดนไล่ออกมากลางดึก เพียงคืนเดียวก็ไม่ให้อยู่…
ท่านชายโจวหกมองดูเฉิงเจียวเหนียง มือที่ปล่อยอยู่ข้างกายก็กำหมัดแน่น
“ข้ามารับเจ้ากลับไปให้ได้” เขาเอ่ย
สาวใช้เยาะเย้ย
“ท่านคิดว่าพวกเราอยากกลับไปบ้านท่านนักหรือ” นางเลิกคิ้วโบกมือ “ท่านชายหก ตื่นเสียทีเถิด”
พูดจบก็พยุงเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าไปข้างใน
จินเกอร์ในฐานะที่เป็นชายเพียงหนึ่งเดียวในบ้าน ยืดร่างผอมแห้งของตนขวางประตูไว้ ปั้นฉินก้มหน้าตลอดทางแล้วเดินตามเข้าไป
เมื่อเห็นหญิงสาวผู้นั้นเข้าประตูไป ท่านชายโจวหกก็ก้าวเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“เฉิงเจียวเหนียง” เขากัดฟัน “ข้า… จะ…แต่งงานกับเจ้าให้ได้”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนที่อยู่หน้าประตูงุนงง
ว่าอย่างไรนะ
แต่งงานกับผู้ใด ใครแต่งงานกับใคร
จินเกอร์อ้าปากค้าง ปั้นฉินเงยหน้าขึ้นอย่างแทบไม่เชื่อ สาวใช้ก็เบิกตาโพลง มีเพียงเฉิงเจียวเหนียงสีหน้าไร้อารมณ์
“อ้อ เพราะเรื่องนี้นี่เอง” นางเอ่ย
เรื่องใดกัน
เมื่อทุกคนได้สติก็มองตามเฉิงเจียวเหนียงอย่างไม่เข้าใจ
สาวใช้เหม่อไปครู่หนึ่งก็นึกออกในทันที
ถึงว่าเหล่าสาวใช้และแม่นมพวกนั้นถึงได้มองพวกนางแปลกๆ ถึงว่าฮูหยินโจวถึงใช้ให้คนมาไล่พวกนาง ถึงว่า… ถึงว่า…
“ถุย หน้าไม่อาย!” สาวใช้ตะโกนอย่างโมโห “ที่แท้ก็เขานี่เองที่ทำลายชื่อเสียงของนายหญิง!”
“เช่นนี้ก็ดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เข้าบ้านไปก็เพราะเขา ออกบ้านมาก็เพราะเขา ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว”
สาวใช้กระทืบเท้า
“นายหญิง ท่านยังจะล้อเล่นอีก” นางขมวดคิ้ว “คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำลายชื่อเสียงของนายหญิงเช่นนี้!”
“ชื่อเสียงของข้า ใครจะทำลายได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบก่อนจะหันหน้าแล้วก้าวเข้าไปข้างใน
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ สนามฝึกยุทธของบ้านตระกูลโจวนั้นไม่ได้ขาดท่านชายโจวหกไป สีหน้าของเขาตึงเครียด ฝึกหอกกับท่านพ่อโจวจนเกิดเสียงลมปะทะกันดังขึ้น ท่านชายโจวหกถอยหลังไปไม่กี่ก้าว หอกยาวยังคงอยู่ในมืออย่างมั่นคง
แต่ถูกเขาใช้ค้ำเพื่อพยุงตัว
“ถึงเช่นนั้นก็เถอะ ฝีมือดีขึ้นนี่” ท่านพ่อโจวเอ่ยเสียงขุ่นเคือง เขาโยนหอกในมือกลับไปแล้วรับผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ส่งให้มาเช็ดเหงื่อ ก่อนจะจ้องมองท่านชายโจวหก
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง นาง…” ท่านชายโจวหกกัดฟันพูด
ท่านพ่อโจวหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
ท่านชายโจวหกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ชายหนุ่มปักหอกในมือไว้บนพื้นด้วยความโมโห
อาหารในห้องถูกเก็บออกไป โต๊ะเตี้ยก็ถูกยกออกไปเช่นกัน
นายใหญ่โจวและฮูหยินโจวดื่มชาและพูดคุยเรื่องสรรเพเหระในบ้านด้วยเสียงแผ่วเบา ท่านชายโจวหกคุกเข่าอยู่หน้าประตู อาหารบนโต๊ะเตี้ยที่ตั้งอยู่ตรงหน้าไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
“ท่านชายหก ท่านกินหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมคนหนึ่งกระซิบเสียงเบา
ท่านชายโจวหกไม่ได้พูดอะไร ฮูหยินโจวเลิกคิ้วแล้วหันมา
“ยกออกไป ห้ามให้กิน” นางตะคอก
แม่นมไม่กล้าพูดต่อ รีบขานรับแล้วยกโต๊ะเตี้ยออก
“โตแล้ว แต่หัดเลียนแบบหญิงไม่รู้ความ ร้องไห้โวยวายผูกคอตาย ปล่อยให้หิวตายไปเสีย!” ฮูหยินโจวตะคอก
ท่านชายโจวหกสีหน้าเคร่งเครียดไม่ได้พูดอะไร
แม่นมด้านนอกวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
“นายท่าน นายท่าน ฮูหยิน คนตระกูลฉินมาเจ้าค่ะ” พวกนางรายงาน
“ตระกูลฉินหรือ ตระกูลฉินไหน” นายใหญ่โจวถาม
ตระกูลฉินที่มีชื่อในเมืองหลวงนั้นพวกเขารู้จักดี ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ลูกชายเท่านั้นที่ไปมาหาสู่กัน
ไม่เกี่ยวข้องกับสองครอบครัว
ได้ยินคำว่าฉิน ท่านชายโจวหกก็เงยหน้าขึ้นมองแม่นม
“ตระกูลฉินจากเรือนองค์หญิง ตระกูลฉินแห่งชวนจง ตระกูลฉินแห่งขุนนางฝ่ายบุ๋นเฉิงอี้หลัง เจ้าค่ะ” แม่นมรายงานออกมารวดเดียวจบ
บ้านท่านชายฉินจริงด้วย
นายใหญ่โจวและฮูหยินมองดูท่านชายโจวหก ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเข้าใจสถานการณ์ในทันที
สุดท้ายท่านพ่อและท่านแม่ของตระกูลฉินก็รู้เรื่องนั้นแล้วสินะ คำพูดน่าตกใจเช่นนั้น ชักนำพวกเขามาถึงบ้านก็สมควรแล้ว
“เรื่องอะไรกัน มาหาชายหกหรือ” ท่านพ่อโจวเลิกคิ้วถาม “เจ้าเด็กนี่ เจ้าล่วงเกินท่านชายสิบสามตระกูลฉินเข้าแล้วหรือ”
“พวกข้ามาทาบทามสู่ขอเจ้าค่ะ”
ภายในห้องโถง แม่นมสองคนเอ่ยพลางยิ้ม พวกนางแต่งองค์ทรงเครื่องแปลกตา ท่าทางสง่างาม
นายใหญ่โจวและฮูหยินโจวเบิกตาโพลงในทันใด
พวกเขา ฟังไม่ผิดใช่ไหม
ตระกูลฉินจะดองกับตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ
“สู่ขอหรือ” ฮูหยินโจวถาม กักเก็บอารมณ์ตื่นเต้นดีใจเอาไว้ “ให้ใครหรือ”
“ให้ท่านชายสิบสามของเราเจ้าค่ะ เรามาสู่ขอหลานสาวของตระกูลท่าน นายหญิงเฉิงเจ้าค่ะ” แม่นมอมยิ้มพลางยื่นใบฤกษ์เกิดให้
นาย หญิง เฉิง!
เจ้าเป๋นั่นชอบพอเด็กบ้าคนนั้นอย่างนั้นหรือ!
นายใหญ่โจวและฮูหยินโจวแทบหยุดหายใจในทันที
ท่านชายโจวหกที่เตรียมตัวอธิบายเรื่องที่คนตระกูลฉินจะขอให้รักษาอยู่นั้น ก็ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
……………………………………………………