เล่ม 1 ตอนที่ 154 พบพ่อบ้านอีกครั้ง ยกระดับพลังยุทธ์

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“คุณชาย” เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยเข้ามา พ่อบ้านจึงค่อยคลายใจลงแล้วนำคนไปคารวะเธอ

อย่างน้อยเธออยู่ที่นี่หลายเดือนก็ยังสบายดีอยู่

“ท่านอาฝู ท่านคงมารออยู่ที่นี่นานแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากตัวเจ้าคำรามน้อยแล้วพยุงตัวพ่อบ้านขึ้นมา

“เปล่าหรอกขอรับ เพิ่งมาถึงได้ไม่นานเอง” พ่อบ้านพูด แต่ความจริงแล้วเขามารออยู่ที่นี่นานหลายวันแล้ว

“อื้ม ท่านนำกรงที่ข้าบอกมาแล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“นำมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านความคิดวูบไหวคราหนึ่ง กรงกว่าร้อยอันก็ปรากฏขึ้นที่ตีนเขา ”คุณชาย ก่อนหน้านี้ท่านก็ส่งสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำกลับมาไม่น้อยแล้ว เหตุใดคราวนี้จึงต้องการกรงอีกมากมายเช่นนี้เล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นกรงเหล่านี้แล้วจึงพยักหน้าอย่างพอใจ เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาจึงเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษก่อนหน้านี้ระดับขั้นไม่สูงนัก คราวนี้ข้าได้เตรียมพวกที่ระดับขั้นสูงหน่อยเอาไว้ พอท่านกลับไปแล้วจงมอบบางส่วนให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร ส่วนที่เหลือให้นำไปขายที่ร้านค้า หลังจากนั้นให้เลี้ยงสัตว์อสูรวิเศษขั้นเจ็ดขั้นแปดเอาไว้ ส่วนในบ้านใครอยากทำพันธสัญญา ก็ทำพันธสัญญาเสีย”

“สัตว์อสูรทิพย์ขั้นเจ็ดขั้นแปด!”

เมื่อเด็กรับใช้เหล่านั้นได้ฟังซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยวาจานี้ออกมาอย่างสบายๆ ก็อดที่จะอ้าปากค้างมิได้

“คุณชายไปหาสัตว์อสูรวิเศษมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน” สิ่งที่พ่อบ้านเป็นกังวลมิใช่สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้น แต่เป็นความปลอดภัยของซือหม่าโยวเย่ว์ต่างหาก

“ปกติพอเอาชนะได้ก็เก็บเอาไว้น่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางนำสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นออกมาจากภายในเจดีย์วิญญาณแล้วเอ่ยว่า “พวกท่านเก็บตัวสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้เข้าไปเถิด”

เดิมทีเด็กรับใช้คิดว่าที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้นำกรงมามากมายเช่นนี้เป็นการพูดเกินจริง แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะฝึกสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ให้เชื่องได้จริงๆ!

ต่อให้พวกเขานับว่าตนเองเป็นผู้รอบรู้ ก็ไม่เคยเห็นสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วมากมายถึงเพียงนี้ในคราวเดียวมาก่อนเลย!

“ไม่ได้ยินที่คุณชายพูดหรือ เก็บตัวสัตว์อสูรวิเศษพวกนี้เข้าไปเสียสิ” พ่อบ้านเห็นเด็กรับใช้เหล่านั้นไม่เคลื่อนไหวจึงเอ่ยเร่ง

“ขอรับท่านพ่อบ้าน”

เมื่อได้ยินพ่อบ้านเอ่ยกระตุ้น คนเหล่านั้นจึงค่อยขยับตัวแล้วเก็บสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นเข้าไปในกรง

ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาฝู ข้ายังเตรียมสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งเอาไว้ให้ท่านด้วยนะ”

“ข้าหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วนำตัวสัตว์อสูรวิเศษที่เตรียมเอาไว้ให้พ่อบ้านออกมา

“สัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้า!”

“เหยี่ยวนกเขา!”

“สวรรค์เอ๋ย เป็นสัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้าจริงๆ เสียด้วย!”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองพ่อบ้านแล้วพูดว่า “นี่คือสัตว์อสูรวิเศษระดับขั้นสูงที่สุดที่ข้าฝึกให้เชื่องได้ในตอนนี้ พอพวกท่านทำพันธสัญญากันก็จะเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรเทพได้แล้ว ท่านอาฝู เป็นอย่างไรบ้าง”

พ่อบ้านเห็นสายตาของซือหม่าโยวเย่ว์ที่มองมาทางตน ท่าทางนั้นราวกับเด็กน้อยที่กำลังรอคอยคำชมเชย

เขาโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “คุณชาย ข้าจะรับสัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้านี่มาได้อย่างไรกัน ท่านเก็บเอาไว้เองดีกว่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์กุมมือเขาเอาไว้พลางเอ่ยว่า “ท่านอาฝู ข้าฝึกสัตว์อสูรเองได้ ทั้งยังอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าด้วย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีสัตว์อสูรวิเศษให้ข้าทำพันธสัญญาอีกหรือ ข้ารู้ว่าท่านทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นได้นานแล้ว เพียงแต่ตลอดมาไม่เคยพบตัวที่เหมาะสมเลย ตอนนี้ข้าเตรียมเจ้าตัวนี้เอาไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะ ท่านยังไม่ยอมรับไปอีกหรือ”

“พ่อบ้าน นี่เป็นน้ำใจจากคุณชาย ท่านก็รับไปเสียเถิด!”

“ถูกต้อง!”

เด็กรับใช้ด้านหลังพากันเอ่ยขึ้น

พ่อบ้านเห็นสายตาจริงใจของซือหม่าโยวเย่ว์ หางตาก็รื้นน้ำตาขึ้นมาเล็กน้อย เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้ ก็ได้ ข้าน้อยจะรับเอาไว้ ขอบคุณคุณชายมากขอรับ!”

ก่อนหน้านี้เธอยังไม่อาจฝึกสัตว์อสูรวิเศษขั้นสูงเช่นนี้ให้เชื่องได้เลย มาที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าไม่กี่เดือน ก็ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นเก้าให้เชื่องได้แล้ว เช่นนั้นเธอต้องผ่านเวลาหลายเดือนนี้มาอย่างยากลำบากเพียงใดกัน!

“เช่นนั้นท่านก็ทำพันธสัญญาเลยสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเขามาตรงหน้าเหยี่ยวนกเขาแล้ววางมือของเขาบนหน้าผากของเหยี่ยวนกเขา หลังจากนั้นก็ถอยไปอีกด้านหนึ่ง ดูเขาทำพันธสัญญา

ลำแสงแห่งการทำพันธสัญญาห่อหุ้มมนุษย์และสัตว์อสูรเอาไว้ด้วยกันก่อน หลังจากทำพันธสัญญาสำเร็จแล้วมนุษย์และสัตว์อสูรก็ถูกลำแสงแห่งการเลื่อนระดับห่อหุ้มเอาไว้อีกครั้ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเหยี่ยวนกเขาบนพื้นดินแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นซือหม่าหลินก็ใช้สิ่งนี้พาตัวพวกซือหม่าเลี่ยจากไป

หลังการเลื่อนระดับสิ้นสุดลง เหยี่ยวนกเขาก็เลื่อนระดับจนสำเร็จเป็นสัตว์อสูรเทพอย่างราบรื่น ส่วนพ่อบ้านนั้นเลื่อนขึ้นสองระดับติดต่อกัน บรรลุเป็นบรรพวิญญาณ กลายเป็นราชันวิญญาณขั้นหนึ่ง

“ราชันวิญญาณ! พ่อบ้านเลื่อนระดับเป็นราชันวิญญาณแล้ว!”

เมื่อเห็นระดับขั้นของพ่อบ้านในตอนนี้ ทุกคนต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมา

พ่อบ้านเองก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะสำเร็จเป็นราชันวิญญาณเช่นนี้ได้ จึงยังมีความรู้สึกว่าตนกำลังอยู่ในฝันอยู่ครู่หนึ่ง

“อืม ท่านอาฝูก็เป็นราชันวิญญาณแล้ว! บวกกับสัตว์อสูรเทพ ก็เท่ากับว่าตระกูลซือหม่ามีราชันวิญญาณถึงสองคนแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกบานใจเพราะพ่อบ้าน “ต่อจากนี้ไปขอยกตระกูลซือหม่าให้กับท่าน ก็คงไม่มีใครกล้ามาระรานถึงบ้านหรอก”

“คุณชาย?” พ่อบ้านฟังความหมายในคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ออก จึงมองเธออย่างร้อนใจอยู่บ้าง

“ท่านอาฝู พอข้าไปทางฝั่งนั้นแล้ว ช้าเร็วก็ต้องมอบตระกูลซือหม่าให้ท่านอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากข้ากับพวกท่านปู่มิอาจกลับมาได้ เช่นนั้นก็ต้องยกตระกูลซือหม่าให้กับท่านแล้ว”

“คุณชาย พวกเราจะรอพวกท่านกลับมา” พ่อบ้านพูด

“ถ้าหากช่วยพวกท่านปู่กลับมาได้ จะกลับมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา แต่ถ้าหากช่วยไม่ได้ ตระกูลซือหม่าก็มิอาจไร้เจ้านายไปตลอดได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สิบปี ถ้าหากสิบปีให้หลังแล้วพวกเรายังไม่กลับมา ท่านก็คือเจ้านายของตระกูลซือหม่าแล้วล่ะนะ ด้วยพลังยุทธ์ของท่านในตอนนี้ การเป็นเจ้านายของตระกูลหนึ่งย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว”

“คุณชาย…”

“ท่านอาฝู ท่านอย่าผลักไสอีกเลย ท่านต้องเข้าใจดีอยู่แล้วว่าตระกูลหนึ่งจะไม่มีเจ้านายตลอดไปมิได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านคงไม่อยากเห็นตระกูลซือหม่าล่มจมไปเช่นนี้หรอกกระมัง หรือท่านอยากให้ข้าเป็นห่วงที่นี่ยามข้าจากไปเล่า”

“ข้า… เอ่อ… ข้ารับปากคุณชาย” พ่อบ้านรับปากอย่างกระอักกระอ่วน

“อืม อีกหนึ่งปีกว่าๆ หลังจากนี้ข้าก็จะไปจากที่นี่แล้ว ก่อนจะไปที่นั่น ข้าก็จะพยายามจัดเตรียมยาวิเศษและสัตว์อสูรวิเศษเอาไว้ให้มากที่สุด แต่ท่านก็ต้องเสาะหานักหลอมยาและนักฝึกสัตว์อสูรมาโดยเร็วที่สุดด้วยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ข้าเข้าใจขอรับคุณชาย” พ่อบ้านตอบ “ตอนนี้พวกเราหาตัวนักหลอมยามาได้คนหนึ่งแล้ว คุณชายไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการหลอมยาแล้วขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“คุณชาย ท่านทำเต็มที่แล้วในเรื่องการช่วยเหลือท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าท่านแม่ทัพกับคุณชายท่านอื่นๆ ก็คงไม่อยากเห็นท่านทุกข์ยากจนเกินไปเพราะพวกเขาหรอก” พ่อบ้านพูดอย่างสงสาร

ซือหม่าโยวเย่ว์มองชายชราที่รักใคร่ทะนุถนอมตนราวกับท่านอาแท้ๆ พลางยิ้มหวานแล้วพูดว่า “คนครอบครัวเดียวกันอยู่ด้วยกันจึงจะนับว่าเป็นสุข อยู่คนเดียวต่อให้ดีแค่ไหนก็มิใช่เรื่องดีเลย ท่านอาฝู ท่านต้องรักษาตนเองให้ดีนะ พวกเขาคงกำลังคอยข้าอยู่ ข้าต้องกลับแล้ว”

“โอ้ คุณชาย ท่านกลับไปเถิด ระวังตัวด้วยนะขอรับ” พ่อบ้านพูดพลางทอดถอนใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์กอดพ่อบ้านก่อนจะหมุนตัวขึ้นมาบนหลังเจ้าคำรามน้อยแล้วโบกไม้โบกมือให้พ่อบ้าน แล้วมุ่งหน้าทะยานสู่เทือกเขาสั่วเฟยย่า

พ่อบ้านและเด็กรับใช้มองดูซือหม่าโยวเย่ว์จากไป จนกระทั่งเธอลับสายตาไปแล้วพวกเขาจึงคิดจะไปจากที่นี่เช่นกัน

“พ่อบ้าน สัตว์อสูรทิพย์มากมายเช่นนี้ แล้วพวกเราจะนำกลับไปกันอย่างไรเล่า” เด็กรับใช้เห็นกรงหลายสิบกรงแล้วจึงเกิดความกังวล

พ่อบ้านก็คิดไม่ถึงว่าจะมีมากมายถึงเพียงนี้ เดิมทีคิดว่าจะให้ถือกันคนละกรงสองกรง แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีมากมายเช่นนี้ ก็ย่อมถือกันไม่ไหวอยู่แล้ว

“เจ้านาย ขี่ข้ากลับไปเถิด” เหยี่ยวนกเขาพูดจบแล้วร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ร่างกายใหญ่มหึมานั้นมากมายเกินพอสำหรับการวางกรงหลายสิบกรง

ตอนนี้ไม่มีวิธีการอื่นอีกแล้ว พ่อบ้านจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ดี พวกเจ้าย้ายกรงขึ้นไปให้หมดเลย”

เด็กรับใช้เหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้โดยสารสัตว์อสูรทิพย์ หลังจากย้ายกรงขึ้นไปแล้วทุกคนก็นั่งเหยี่ยวนกเขามุ่งตรงสู่เมืองหลวง

เมื่อพวกเขากลับถึงเมืองหลวง สัตว์อสูรเทพก็ทำให้ตระกูลซือหม่าตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน ทั้งยังตอกย้ำให้ผู้อื่นรู้ถึงสถานะอันมิอาจสั่นคลอนได้ของตระกูลซือหม่าอีกด้วย