ตอนที่ 189

เสน่ห์คมดาบ

ชีอ้าวชวางสวมเสื้อคลุมล่องหนและตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

เอียนระวังตัวมาก คอยมองสังเกตอยู่เป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา จากนั้นเขาก็เร่งฝีเท้าเดินไป

 

 

เดินมาจนถึงปลายชายหาดเป็นหินขรุขระ เอียนเร่งฝีเท้า ชีอ้าวชวางก็ตามไปเงียบๆ ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินและเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเอียนไปเรื่อยๆ

 

 

เอียนเดินไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ ยื่นมือแล้วตบมันไปสามครั้งเป็นจังหวะ จากนั้นก้อนหินก็เคลื่อนตัวไปด้านข้างช้าๆเผยให้เห็นทางเดินขนาดใหญ่

 

 

เวลานี้ที่ปากทางเข้านั้นมีคนออกมา พอเห็นว่าเป็นเอียนก็ทำท่าโล่งใจ

 

 

“หัวหน้า ท่านมาแล้ว” ชายผู้นั้นกระซิบ

 

 

“อืม เป็นอย่างไรบ้าง? วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่?” ก่อนก้าวเข้าไปเอียนก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมามอง เพื่อดูว่ามีใครตามมาหรือไม่หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร เขาก็เอื้อมมือไปดึงอะไรบางอย่างข้างๆ แล้วหินก้อนใหญ่ก็ค่อยๆ ปิดลง

 

 

ชีอ้าวชวางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจดจ่ออยู่กับการควบคุมหุ่นเวทที่ให้เฟิงอี้เซวียนไปเวลานี้เฟิงอี้เซวียนกำบัวรู้สึกกังวล และแล้วหุ่นเวทก็หลุดจากมือของเขาลงไปที่พื้น มันวิ่งไปข้างหน้าสองก้าวแล้วหยุด

 

 

“ไป อ้าวชวางพบสถานที่นั้นแล้ว” เฟิงอี้เซวียนโบกมือให้พวกเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างประหลาดใจแล้วก็รีบตามไปทันที

 

 

เฟิงอี้เซวียนและคนอื่นๆ เดินตามหุ่นเวทของชีอ้าวชวางไปที่ก้อนหินที่ชีอ้าวชวางซ่อนตัวอยู่

 

 

“อ้าวชวาง” เฟิงอี้เซวียนกระซิบ

 

 

“ทางเข้าอยู่ด้านหลังหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดตรงหน้านั้น” ชีอ้าวชวางชี้ไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

 

 

“ข้าจะระเบิดหินทิ้ง” สีเฉ่าฉีกำลังจะร่ายคาถา

 

 

“ไม่ได้ ยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งรีบร้อน”ชีอ้าวชวางก้าวไปข้างหน้าเลียนแบบสิ่งที่เอียนทำ เคาะไปที่หินนั้นเป็นจังหวะ

 

 

ก้อนหินเคลื่อนตัวออกช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของคนก่อนหน้านั้น ใบหน้าแสดงมีความสงสัย เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมาก แล้วเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อกดอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างๆเขา

 

 

ชีอ้าวชวางเคลื่อนที่เร็วขึ้นเอื้อมมือไปแตะเบาๆ ที่คอของคนนั้น ชายผู้นั้นกระตุกและล้มลงอย่างเงียบๆ

 

 

พวกเขาเดินเข้าไปในทางเดินลึกที่มีคบเพลิงเสียบอยู่ทั้งสองข้างทางและมีลมกระโชกแรงพัดขึ้นจนปลายเปลวไฟวูบไหวเบาๆ เผยให้เห็นความแปลกประหลาดที่ไม่อาจบรรยายได้

 

 

“กลิ่นเลือด” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ลมทะเลที่พัดมาจากปลายทางมีกลิ่นเลือดจางๆ!

 

 

เฟิงอี้เซวียนขมวดคิ้วพูด “วันนี้บางทีอาจจะเป็นวันที่กลุ่มเงือกจะเติบโตขึ้น” สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แน่นอนทุกคนเข้าใจว่าประโยคนี้หมายถึงอะไร เมื่อโตเต็มที่ ก็จะถูกบังคับให้ถอดหางออกแล้วกลายเป็นขาแทน!

 

 

ชีอ้าวชวางไม่ได้พูดอะไรและนำเข้าไปทางเดินในนั้นมีกับดักมากมาย แต่ชีอ้าวชวางกลับแก้ไขมันได้อย่างง่ายดาย สีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย ในสายตาของพวกเขาชีอ้าวชวางเป็นนักรบเวท แต่ทำไมถึงเข้าใจกับดักพวกนี้ด้วยล่ะ? ชีอ้าวชวางแก้ไขกับดักไปทีละขั้นแล้วทันใดนั้นก็นึกถึงคนคนหนึ่ง นั่นคือคามิลล์ การสังเกตและวิธีการปลดกับดักเหล่านี้คามิลล์เป็นคนสอนนาง คนที่มักจะยิ้มเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิแต่กลับปากจัดแบบไม่เข้ากับรอยยิ้มสักนิด เวลานี้เขากำลังทำอะไรอยู่นะ?

 

 

บางทีองค์กรนี้อาจมั่นใจกับกับดักของพวกเขามากเกินไป มีผู้คุมเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อจัดการทั้งสองคนอย่างใจเย็นและง่ายดายแล้วก็โยนพวกเขาเข้าไปในทางเดิน ที่ทางเข้านั้นกลิ่นเลือดแรงขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

 

 

สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาดูเหมือนจะเป็นคุกใต้ดินขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นสระน้ำขนาดใหญ่และมีเงือกจำนวนมากถูกขังเอาไว้ ด้านบนของสระมีแท่งเหล็กเพื่อป้องกันไม่ให้เงือกปีนออกมา เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและคบเพลิงจำนวนมากบนผนังหินของสระน้ำทำให้เกิดแสงสว่างในสถานที่นั้น ครีบหางสีฟ้าของเงือกในสระกระทบกับผิวน้ำเสียงดังเงือกเหล่านี้กำลังโกรธและหวาดกลัวที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อนพวกเขา

 

 

ทั้งสองฝั่งของสระว่ายน้ำมีบ้านหินเล็กๆ มากมายมีคนอยู่ข้างในหลายคน กลิ่นเลือดโชยมาจากในบ้านเหล่านั้น ผู้คนในห้องโถงทั้งหมดกำลังพลุกพล่าน ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีคนที่ทางเดิน

 

 

ไม่มีใครรู้เลยว่าในเวลานี้คนสองคนแอบเข้ามาอย่างเงียบๆ

 

 

ชีอ้าวชวางเดินไปยังบ้านหินเล็กๆ ที่ใกล้ที่สุด มีหลายคนในบ้านหินกำลังยุ่งอยู่บนแท่นหินที่มุมห้องเงือกถูกมัดไว้กับแท่นหินไร้แรงต่อต้านร่างกายส่วนบนของเงือกเปลือยเปล่า ร่างกายบอบบางนั้นสั่นไหว ใบหน้าขาวงดงามและดวงตาสวยเต็มไปด้วยความกลัว มือและเอวถูกยึดอยู่บนแท่นหิน และคนที่ยืนอยู่ข้างๆแท่นหินก็กดครีบหางที่กำลังดิ้นรนเอาไว้ออย่างแรง ข้างใต้นั้นมีคราบเลือดเปื้อนเกรอะกรังอีกมุมหนึ่งของบ้านหินมีเงือกสองสามตัวเป็นนอนไม่ได้สติผมยาวปกคลุมร่างกายสง่างามครีบหางถูกแทนที่ด้วยขาสีขาวราวกับหิมะเปื้อนเลือด และใบหน้าซีดเซียวผิดปกติ

 

 

“เร็วเข้าเรายังมีอีกสามตัวที่ต้องทำ”คนที่จับครีบหางไว้ตะโกนใส่ชายคนข้างๆ ชายคนนั้นถือกริชแหลมคมไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือขวดยาสีเขียว พวกเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาทำ โดยไม่สังเกตเลยว่าที่ประตูมีคนอีกสองสามคนเข้ามา

 

 

“รู้แล้ว น่ารำคาญจริงๆ เลย พวกเจ้ากดไว้แน่นๆ หน่อยสิ เมื่อกี้ก็โดนขวดยาหกไปขวดหนึ่งแล้ว เจ้าเองก็รู้มูลค่าของยานี้” ชายผู้นั้นพูดอย่างรำคาญ เล็งกริชไปไปที่เอวของเงือกแล้วออกเทงเข้าไป

 

 

ทว่าเงือกที่ถูกผูกติดอยู่กับแท่นหินกลับไม่ได้เกิดความเจ็บปวดอย่างที่คิด

 

 

“เดรัจฉาน!” สีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อตะโกนขึ้นด้วยความโกรธแล้วลงมือพร้อมกันแสงสีดำขนาดใหญ่สองอันพุ่งทะลุร่างของชายที่ถือกริชอยู่ เกิดเสียงกรีดร้องและเลือดพุ่งออกมาจากร่างสาดใส่ใบหน้าของคนข้างๆ แม้แต่เงือกที่ถูกมัดติดกับแท่นหินก็เปื้อนไปด้วย

 

 

“ใครกัน?!” คนที่อยู่ข้างแท่นหินหันกลับมาด้วยความตกใจ แล้วก็ได้เห็นหลายคนที่อยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

 

 

“พวกเจ้าจัดการตรงนี้ไปนะ” เฟิงอี้เซวียนพูดกับสีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อแล้ววิ่งไปที่บ้านอื่นๆ เหลิ่งหลิงยวิ๋นและชีอ้าวชวางก็ไปที่บ้านหินอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือเงือก ห้องโถงเสียงดังมากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินี้เลย

 

 

ภาพในบ้านหินทำให้ชีอ้าวชวางรู้สึกโกรธ ชีอ้าวชวางยืนอยู่หน้าบ้านหินมองภาพที่น่าเศร้าในนั้นแล้วกำหมัดแน่นตรงกลางบ้านหินเงือกถูกเชือกรัดคอและห้อยอยู่กลางอากาศ ครีบหางยาวครึ่งหนึ่งของต้นขา ส่วนต้นขาอีกข้างเต็มไปด้วยเกล็ด เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงเงือกนี้ล้มเหลว ดังนั้นเงือกตัวนี้จะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น นั่นคือการควักลูกตาออกมาทำเป็นเครื่องประดับ แล้วเอาเกล็ดทั้งตัวออกไปเพื่อไปทำขี้ผึ้งเงือก

 

 

“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึง…” ชายถือกริชแหลมคมขมวดคิ้วและตะโกนพร้อมหันไปมองชีอ้าวชวางที่จู่ๆก็โผล่มาที่ประตู

 

 

แทนคำตอบคมดาบเย็นเยียบแทงทะลุหน้าอกของเขาจากนั้นหมุนเป็นครึ่งวงกลมขยี้หัวใจของเขาจากนั้นจึงถอนดาบออกมาด้วยความโกรธ

 

 

ชีอ้าวชวางมองเงือกไร้ลมหายใจที่ถูกแขวนอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างยังคงมีเลือดหยดไหลออกมามีตาสีเขียวคู่หนึ่งอยู่ในขวดใสข้างๆ ชีอ้าวชวางหลับตาและถอนหายใจยาว นอกจากความโกรธแล้วในใจก็ยังมีความเศร้าอยู่ด้วยมนุษย์นะ มนุษย์

 

 

เวลานี้เสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างนอกแต่ไม่ได้เกิดจากเงือก มันเกิดจากมนุษย์ชีอ้าวชวางมองสถานการณ์ที่น่าเศร้าตรงหน้าเป็นเวลานานไม่ขยับไปไหน หัวใจของนางรู้สึกซับซ้อนมาก

 

 

ในที่สุดชีอ้าวชวางก็เดินออกจากบ้านหินอย่างหนักหน่วง แต่กลับได้เห็นภาพที่ทำให้นางประหลาดใจ

 

 

คนในบ้านหินหนีกระเจิงไปทุกทิศทางใบหน้าของพวกเขามีแต่ความสยดสยอง ลูกศรประกายแสงยิงเข้าที่เท้าของพวกเขาอย่างแม่นยำ ตรึงพวกเขาทั้งหมดไว้บนกำแพงหินด้านหลังพวกเขา ครู่หนึ่งเสียงกรีดร้องก็ดังก้องไปทั่วห้องโถง แล้วกลิ่นเลือดก็รุนแรงยิ่งขึ้น

 

 

ลูกศรที่มีประกายแสงลูกศรเวทสายฟ้าหรือ?

 

 

ชีอ้าวชวางหันหน้าไปมองที่มาของลูกศรเวท แล้วทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวที่คุ้นเคยกำลังยิงธนูอยู่

 

 

เฉียวฉู่ซิน!

 

 

ใบหน้าของนางแดงก่ำสายตาเต็มไปด้วยความโกรธ ลูกศรในมือยังคงยิงใส่ผู้คนที่กำลังวิ่งอยู่ในห้องโถงนั้นต่อ

 

 

“ไปตายซะ พวกเดรัจฉาน!” เฉียวฉู่ซินก่นด่าอย่างโกรธเกรี้ยวไร้ความเมตตา ลูกศรเวทยิงไปที่หน้าอกและหัวของคนเหล่านั้น เลือดไหลเต็มห้องโถงและกระเซ็นลงไปในสระน้ำด้านล่าง

 

 

เฟิงอี้เซวียนก็สังเกตเห็นเช่นกันเขาวิ่งออกไปเห็นเฉียวฉู่ซินที่อยู่ตรงหน้าจึงรีบเรียกเฉียวฉู่ซินด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนเฉียวฉู่ซินจะไม่ได้ยินแต่กลับมาทักทายเฟิงอี้เซวียนด้วยลูกศรที่ดุร้าย

 

 

“เฮ้ย! เฉียวฉู่ซิน! ข้าเฟิงอี้เซวียนเอง!” เฟิงอี้เซวียนตะโกนแล้วหลบลูกศร ทันใดนั้นเขาก็นึกรำคาญใจที่ตอนนี้เขาเป็นผู้หญิง ดังนั้นเฉียวฉู่ซินเลยจำไม่ได้น่ะสิ

 

 

สองพี่น้องตระกูลสีมองหญิงสาวดุร้ายที่ปรากฏตัวด้วยความประหลาดใจ

 

 

“เฉียวฉู่ซิน?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นเดินออกไปและพบเฉียวฉู่ซินทันทีที่เขาจะพูดลูกศรเวทของเฉียวฉู่ซินก็พุ่งมาหาเขาทันที

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วและมองเฉียวฉู่ซินที่กำลังคลั่งอยู่ตรงหน้าหน้า แล้วรีบไปอยู่ข้างเฟิงอี้เซวียนทันทีความคิดของเขาเหมือนกับเฟิงอี้เซวียนอาจเป็นไปได้ว่าเฉียวฉู่ซินจะจำเขาไม่ได้เพราะเขากลายเป็นผู้หญิงอยู่

 

 

ทว่าในเวลาต่อมาเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไป

 

 

“ฮ่าๆเหลิ่งหลิงยวิ๋น ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวเป็นผู้หญิงล่ะ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองอย่างตั้งใจแล้วก็เห็นชายคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ม้านั่งหินด้านหลังเฉียวฉู่ซิน