ตอนที่ 293 น้ำขึ้นให้รีบตัก / ตอนที่ 294 นอนที่นี่แหละ

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 293 น้ำขึ้นให้รีบตัก

 

 

หญิงชราเอ่ยขึ้นก่อนจะนิ่งไปเพียงครู่ ใบหน้ารักใคร่เอ็นดูได้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นความหนักใจ

 

 

“ย่าไม่อยากให้หลานย่ากลายเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่เอาแต่วุ่นอยู่กับเรื่องการสืบทอด เขาควรจะมีความรู้สึกอย่างที่ใครๆ เขามี ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้สึกแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ต่อให้เป็นความเจ็บปวด แต่มันก็เป็นสิทธิ์ที่เขาควรจะได้รับ หนูว่าจริงไหม”

 

 

เฉินฝานซิงผินหน้ามองร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียง ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงรสเปรี้ยวฝาดที่ปรากฏขึ้นกลางใจ

 

 

ใครๆ ก็ต่างเห็นแค่เพียงความงดงามที่ภายนอก แต่ไม่มีวันได้รับรู้เลยว่าเขาต้องพบเจออะไรมาบ้าง

 

 

แม้แต่เธอเองก็ยังมีบางครั้งที่รู้สึกว่าเขาดูเพียบพร้อมเสียจนไร้ที่ติ

 

 

ทุกอย่างที่เป็นเขาล้วนสมบูรณ์แบบ ความหนักแน่น เฉียบแหลม สุขุม และเย็นชาในคราแรกที่พบกันเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าชายคนนี้ถูกห่อหุ้มไปด้วยความหนาวเหน็บ

 

 

“หนูฝานซิงเอ๋ย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะลูก การที่เขาจัดการเรื่องธุรกิจได้เป็นดิบดี ไม่เคยทำให้วงศ์ตระกูลต้องผิดหวัง แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะมองเรื่องความรู้สึกได้อย่างทะลุปรุโปร่งนะ…หนูต้องยอมให้เขาอีกสักหน่อย”

 

 

เฉินฝานซิงเม้มปากเขาหากัน “เป็นเขาที่ยอมให้หนูมาตลอด…”

 

 

หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งและเผด็จการของเขา เธอก็คงไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับเขามาจนถึงขั้นนี้

 

 

เธอต่างหากล่ะที่ถูกความรู้สึกเข้าจู่โจม

 

 

จะว่าไปเธอก็โดนเขารุกหนักมากจริงๆ

 

 

หญิงชราพ่นลมหายใจออกอีกเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยสอนด้วยความจริงใจ “เด็กน้อยเอ๊ย ถ้าน้ำขึ้นให้รีบตักนะจ๊ะ”

 

 

ความรู้สึกสั่นไหวได้เกิดขึ้นตรงกลางอก

 

 

ในตอนนั้นเอง ป๋อจิ่งชวนก็เก็บโทรศัพท์ก่อนจะเดินเข้ามา ร่างสูงสง่าของเขาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เธอ

 

 

ความหอมชื่นใจที่แสนคุ้นเคยโชยฟุ้ง ทั้งรัสมีประหลาดบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขาชวนให้หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

 

เธอเผลอก้มหน้างุดเพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่ร้อนฉ่าจนอาจจะแดงเป็นผลตำลึง

 

 

“เป็นอะไรไป”

 

 

ป๋อจิ่งชวนก้มหน้าลงมองเธอ เขาเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มอันแฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อยวางทาบลงมาบนหน้าผากของเธอ “ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า”

 

 

เธอผุดขึ้นมองเขาอย่างลุกลี้ลุกลนก่อนจะรีบส่ายหน้ากันเป็นพัลวัน “เปล่าค่ะ”

 

 

สีเลือดฝาดที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลา และดวงตาที่ทอแสงระยับราวกับท่าทางของเด็กสาว

 

 

มือของชายหนุ่มหยุดชะงัก ความมืดดำก่อตัวขึ้นจากเบื้องลึกของดวงตาสีรัตติกาล เรียวคิ้ววางตัวนิ่ง เขาดึงมือกลับอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะหันไปคว้าเอาผลไม้ที่หั่นไว้แล้วส่งให้เธอ

 

 

เฉินฝานซิงรับมันมาป้อนเข้าปากตัวเอง

 

 

สับปะรดแช่น้ำเกลือเพื่อลดความระคายลิ้นลง เหลือไว้เพียงความหวานและชุ่มฉ่ำ

 

 

ป๋อจิ่งชวนขยับเข้านั่งใกล้เธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย สองขาเรียวยาวไขว้เข้าด้วยกัน หลังจากที่ส่งผลไม้ให้เธอไปแล้วเขาก็เท้าคางมองดูเธอ

 

 

แสงไฟตกกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาจนเกิดเป็นเงาตัดกับโครงหน้ามีมิติ ทุกเงาสะท้อนที่เกิดขึ้นบนแก้วตาสีดำขลับนั้นล้วนแล้วแต่เป็นภาพใบหน้าของเธอทั้งสิ้น

 

 

หลังจากที่เขามองดูเธอค่อยๆ กินผลไม้เข้าไปทีละเล็กละน้อยจนหมด ปากบางจึงได้เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ

 

 

“อร่อยไหม”

 

 

เธอตวัดปลายลิ้นกวาดเลียตรงมุมปากอย่างลืมตัว จากนั้นจึงพยักหน้ารับ “อร่อยดี คุณลองสักคำไหม”

 

 

เขาส่ายหน้าพลางตอบเสียงนุ่มทุ้ม “คุณกินเถอะ”

 

 

ไหลหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเอ่ยทัก “คุณหนูเฉินคะ คุณชายใหญ่ไม่ชอบทานของหวานน่ะค่ะ”

 

 

เฉินฝานซิงนิ่งไปก่อนจะหันมองเขา

 

 

ป๋อจิ่งชวนจ้องมองหยาดน้ำใสที่ชุ่มอยู่ตรงกลีบปาก นัยน์ตาสีเข้มพลันวูบดำลง ก่อนที่มุมปากของเขาจะกระตุกยิ้ม

 

 

 “ก็ไม่เชิงหรอก มันแค่ดูจุกจิกไปหน่อยแค่นั้นเอง”

 

 

ไหลหรงหันมองไปยังป๋อจิ่งชวนอีกครั้งด้วยสายตาฉงน ไม่ใช่ว่าไม่ชอบทานของหวานมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วหรอกเหรอ

 

 

แล้วไอ้ที่อ้างว่ามันดูจุกจิกนั่นมาจากไหน…

 

 

 

 

 

  ตอนที่ 294 นอนที่นี่แหละ

 

 

หลังจบมื้ออาหาร เดิมทีเฉินฝานซิงกะจะช่วยเก็บโต๊ะ

 

 

ทว่าคนรับใช้กลับวิ่งเข้ามาบอกกับเธอว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอนั้นดังมาได้พักหนึ่งแล้ว กลัวว่ามันจะดังจนแบตหมดไปจึงรีบวิ่งมาเตือน

 

 

อันที่จริงก็นับตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ข้อความและสายของซูเหิงหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย เฉินฝานซิงเองก็เมินเฉยไปเสียทุกครั้งไป แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะตื๊อไม่เลิกขนาดนี้

 

 

เพียงแต่ยามที่เธอยกโทรศัพท์ขึ้นดูเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ก็กลับพบว่านั่นไม่ใช่ซูเหิง

 

 

เฉินเต๋อฝาน…

 

 

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอ

 

 

แปลกจัง

 

 

เฉินฝานซิงหรี่ตาลงพลางนิ่งเงียบไป ก่อนที่เธอจะถือโทรศัพท์เดินออกไปสู่ระเบียงห้องรับแขกแล้วกดรับสาย

 

 

“มีอะไร” เสียงราบเรียบไร้อารมณ์ถูกกรอกลงไปในโทรศัพท์

 

 

“แก…ไอ้ลูกทรพี นี่เหรอท่าทีที่มีต่อพ่อของแก!” น้ำเสียงเกลี้ยวกราดของเฉินเต๋อฝานดังขึ้นผ่านลำโพงมือถือ

 

 

“พ่อ? เหอะ คุณก็เป็นแค่พ่อของเฉินเชียนโหรวเท่านั้นแหละ”

 

 

“สารเลว! แกมันไม่เห็นแก่หน้าใครเลยจริงๆ! ยังไงซะเฉินเชียนโหรวก็เป็นน้องของแก แกทำร้ายน้องครั้งแล้วครั้งเล่ายังไม่พอ ครั้งนี้ยังจะสั่งให้น้องคุกเข่าคำนับแก่ต่อหน้าชาวบ้านชาวช่องอีก?! แกไม่รู้เหรอว่าตอนนี้เธอเป็นบุคคลสาธารณะ หลายวันมานี้แกยังทำให้เธอเสื่อมเสียไม่พออีกเหรอ!”

 

 

เธอถือโทรศัพท์พลางยกอีกมือหนึ่งขึ้นกุมศีรษะตามด้วยยิ้มเย็น

 

 

“ไม่ได้มีเรื่องก็อยู่ไม่สุข พอมีเรื่องขึ้นมาทุกครั้งคนที่น่าสงสารก็คือเธอ พอมาตอนนี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนเองแท้ๆ แต่คนที่น่าเห็นใจที่สุดก็ยังคงเป็นเธออยู่ดี พวกคุณมองสีหน้าเศร้าสร้อยนั่นทุกวันไม่รู้สึกรำคาญบ้างรึไง”

 

 

 “ก็ไม่เท่ากับแต่ละเรื่องที่แกก่อเอาไว้หรอก…”

 

 

นัยน์ตาของเธอเย็นยะเยือกก่อนจะข่มใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พอเถอะ มีอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่มีฉันวางล่ะ”

 

 

“อวดดี! กลับมาบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก”

 

 

ด้วยความกลัวว่าลูกสาวจะชิงตัดสายไปเสียก่อน เฉินเต๋อฝานจึงแย่งรัวคำพูดออกมาราวกับปืนกล

 

 

เฉินฝานซิงเลิกคิ้วสูง เธอเงียบไปสองวิก่อนจะตอบรับ “ได้ เดี๋ยวฉันเข้าไป”

 

 

จบคำนั้นเธอก็ได้ตัดสาย เฉินเต๋อฝานเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก หลังจากนั้นแน่นอนว่าเธอไม่คิดจะฟังมัน

 

 

เธอเก็บโทรศัพท์ลงด้วยดวงตาเยือกเย็น

 

 

เมื่อกลับเข้ามายังห้องรับแขก ป๋อจิ่งชวนก็กำลังยืนมองเธอจากที่นั่นอยู่พอดี

 

 

“เป็นไงบ้าง มีธุระ?”

 

 

เฉินฝานซิงส่ายหน้า เธอเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะบอกออกไปว่า “โทรศัพท์จากบ้านสกุลเฉินเรียกให้ฉันกลับไปที่นั่นน่ะ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “คุณตอบตกลง?”

 

 

“อื้ม” เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋า ยกน้ำบนโต๊ะน้ำชาขึ้นดื่มหนึ่งคำ จากนั้นเธอก็มองไปยังป๋อจึงชวนแล้วถามขึ้นเสียงค่อย

 

 

“คุณย่าไปพักผ่อน?”

 

 

“อืม”

 

 

แก้วในมือถูกวางลง เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่ายแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา

 

 

“ฉันเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน ช่วยหาห้องให้หน่อยสิ”

 

 

นัยน์ตาลุ่มลึกและเย็นเยียบประกายความสงสัย “คุณไม่ไปเหรอ”

 

 

เฉินฝานซิงเบ้ปาก “พวกเขาเรียกหาฉันไม่เคยจะมีเรื่องดีๆ หรอก ปล่อยให้รอไปนั่นแหละ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนยกมุมปาก ก่อนจะยื่นมือไปดึงมือของเธอเอาไว้

 

 

เฉินฝานซิงหันมองซ้ายขวาอย่างลุกลน บ่าวรับใช้กำลังทำงานกันอย่างเงียบเชียบจนไม่ทันได้สังเกตทางนี้

 

 

“จะทำอะไร”

 

 

“พาคุณไปหาที่นอนไง”

 

 

“อ๋อ”

 

 

เฉินฝานซิงยอมเดินตามแรงลากของเขาไปอย่างว่าง่าย หากห้องพักสำหรับแขกอยู่ด้านบน นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว

 

 

เพียงแต่ว่าทางเดินไปยังห้องนั้นยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งดูคุ้นตาขึ้นทุกที ทันใดนั้นฝีเท้าของเฉินฝานซิงก็เริ่มหนักอึ้งขึ้นมา

 

 

จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าประตู เมื่อได้เห็นป๋อจิ่งชวนเปิดประตูบานนั้นออก จู่ๆ ความคิดที่อยากจะเผ่นหนีไปก็ได้ผุดขึ้นมาในสมอง

 

 

ก่อนที่เธอจะทำอย่างที่ใจคิด ราวกับสัญชาตญาณจะสั่งให้เธอหมุนตัวหนี

 

 

แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะถูกอีกฝ่ายอุ้มเข้าห้องไป

 

 

“ป๋อจิ่งชวน!” เธออุทานอย่างตกใจ ก่อนจะโอบไหล่เขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ

 

 

ป๋อจิ่งชวนวางเธอลงไปบนเตียง ตามมาด้วยสองแขนที่ค้ำยันลงตรงข้างเตียงเพื่อกักขังเธอเอาไว้ภายใต้อกกว้าง

 

 

“นอนที่นี่แหละ หืม?”