ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 96 ฝ่ามือหนึ่งตบจนกระเด็น!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เรือผุก็ยังมีตะปูถึงสามชั่ง[1]

แม้ว่าเหยียนซวี่จะบาดเจ็บสาหัส ทว่าพลังความสามารถของเขาในตอนนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่ามาก เมื่อเทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอก

การระเบิดพลังออกฉับพลันครั้งนี้ ก็ยิ่งดุร้ายถึงขั้นสุด ซึ่งเขาทุ่มพลังทั้งหมดออกไปโจมตีในครั้งนี้!

แม้แต่อาหู่ที่สวมชุดเกราะทมิฬก็ถูกเหยียนซวี่เหมารวมไปด้วยเช่นกัน

ถ้าอาหู่คิดจะเข้ารับการโจมตีแทนเยี่ยนจ้าวเกอ ดาบนี้ของเขาก็จะสังหารทั้งสองคนพร้อมกันในคราวเดียว!

เยี่ยนจ้าวเกอล่วงรู้ถึงความลับสุดยอดของเหยียนซวี่ อันเป็นความหวาดกลัวที่สุดของเขา

ขณะที่ไม่ทันได้คาดคิด ในสมองของเขาก็พลันปรากฏภาพเงาร่างคนผู้หนึ่งขึ้น ชายร่างสูงคนนั้นมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเยี่ยนจ้าวเกออยู่หกเจ็ดส่วน

ลำพังเพียงแค่คิดว่าชายคนนั้นรู้ถึงความจริงในตอนนั้น เหยียนซวี่ก็รู้สึกว่าตนเองเกือบจะหยุดหายใจ

พร้อมกันกับที่เขารู้สึกหวาดผวา เขาก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาพร้อมกัน คล้ายกับความรู้สึกถูกฉีกเสื้อผ้าต่อหน้าธารกำนัลอย่างไรอย่างนั้น

ประกายดาบที่ชะงักฟันไปทางเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความรุนแรงและรวดเร็วมากยิ่งกว่าเดิม โดยที่ต้องการกำจัดเจ้าเด็กชนรุ่นหลังที่ล่วงรู้ความลับของเขาคนนี้ให้สิ้นซาก!

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นประกายแวววาว จดจ้องอยู่ที่เหยียนซวี่โดยไม่ละสายตา

ขณะที่ประกายดาบของเหยียนซวี่อยู่ในขั้นที่สูงที่สุด จู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็หยิบน้ำเต้าลูกหนึ่งออกมา

จากนั้นเขาก็ใช้กระสุนมังกรน้ำแข็งคำราม ซึ่งสร้างขึ้นจากน้ำเต้าหิมะเก้าสมบัติที่ได้มาจากผู้อาวุโสฉิน!

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างเยือกเย็น ใช้แรงบีบน้ำเต้าจนแตก เพื่อกระตุ้นพลังของมัน

เสียงมังกรคำรามหนึ่งดังขึ้น สนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน

อุณหภูมิของบรรยากาศโดยรอบลดต่ำลงในพริบตา ราวกับกำลังเข้าไปเยือนยุคน้ำแข็งที่หนาวเหน็บยิ่งนัก

ขณะที่ไอสีขาวพลุกพล่าน เกล็ดหิมะจำนวนมากก็รวมตัวกัน แล้วเปลี่ยนรูปกลายเป็นมังกรขนาดมหึมาอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ!

มังกรน้ำแข็งคำรามขณะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงของมันสั่นสะเทือนทะลุผ่านก้อนเมฆ ขึ้นไปจนถึงสวรรค์ชั้นเก้า

โดยสารลมเมฆ ขี่ตะวันจันทรา สยบทั่วหล้า แผดเสียงคำรามถึงสวรรค์ชั้นเก้า ถึงจะเรียกว่ามังกร!

มังกรน้ำแข็งบินเหินฉวัดเฉวียนไปมา แล้วพุ่งทะยานพรวดพราดขึ้นสูง แสดงอานุภาพของมังกรออกมาอย่างชัดเจน มันทะยานขึ้นฟ้า จากเบื้องล่างสู่เบื้องบน ซุ่มโจมตีดาบฝนดาวตกของเหยียนซวี่!

ทั้งสองโจมตีปะทะกันอยู่กลางอากาศ ประกายดาบฝนดาวตกอันหน้าหวาดกลัวที่ร่วงลงพื้นมอดดับในพริบตา!

มังกรน้ำแข็งที่อยู่กลางอากาศก็พลันสลายตัว กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งกระจายไปทั่วท้องฟ้า ตกลงจากฟ้าลงมาปกคลุมแผ่นดิน เปลี่ยนตรงหน้าให้กลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็งหิมะอย่างสิ้นเชิง

ร่างของเหยียนซวี่ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง ทว่าทั่วทั้งร่างถูกแช่แข็งด้วยหิมะอยู่กลางอากาศ

หิมะและน้ำแข็งสอดประสาน อาหู่โจมตีสกัดเยี่ยจิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเยี่ยนจ้าวเกอไว้ได้พอดิบพอดี บัดนี้ร่างกายของเขาก็หยุดนิ่งไปไม่ไหวติงเช่นกัน

เปลวเพลิงสีแดงบนร่างกายของเขาดับมอดไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งร่างกายของเขาถูกคลุมไว้ด้วยหิมะและน้ำแข็งชั้นหนึ่ง จนดูเหมือนกับมนุษย์น้ำแข็งก็ไม่ปาน

แหวนสีแดงเข้มที่อยู่บนนิ้วมือของเขา ซึ่งก่อนหน้าถูกสือเถี่ยสะกดเอาไว้ บัดนี้ดับมืดไร้ซึ่งแสงใดๆ ก่อนจะหลอมเข้ากับเลือดเนื้ออีกครั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอใช้กระสุนมังกรน้ำแข็งคำรามที่สร้างมาจากจิตมังกรน้ำแข็งบางส่วน ระเบิดปราณแห่งน้ำแข็งออกมาอย่างมหาศาลในพริบตา

ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ ก็จะถูกแช่แข็งเอาไว้ครู่หนึ่งเช่นกัน

เหยียนซวี่ถูกห่อไว้ด้วยน้ำแข็งและหิมะเอาไว้กลางอากาศ ดาบแสงคลื่นครามในมือส่องแสงวาบเล็กน้อย

ปราณดาบที่ถูกกระตุ้นคอยต้านทานหิมะไว้อย่างไม่หยุดหย่อน เหยียนซวี่คิดจะหนี จึงขยับแขนขาที่ทั้งแข็งทั้งชาของตนอย่างลำบาก

กระนั้นอาหู่ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา แสยะยิ้มมุมปากครั้งหนึ่ง จากนั้นยกมือหนึ่งขึ้น ในมือมีท่อนกระบอกหนึ่งปรากฏออกมา

อาหู่จับปลายกระบอกด้านหนึ่งไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งหันตรงไปทางเหยียนซวี่

เหยียนซวี่ได้แต่ยืนยิ่งตาค้าง จากนั้นแสงสีทองมากมายก็พุ่งไปตรงหน้าเขา

แสงนั้นราวกับเกิดจากดวงอาทิตย์เจิดจรัส และเหมือนกับพายุฝนอยู่ในที!

เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ อย่าว่าแต่หลีกหนีเลย แม้แต่ต้านทานก็ยังทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียงเบิกตากว้างรับการโจมตีจากฝนสุริยะ

ขณะร้องตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง ฝนสุริยะก็พังทลายการป้องกันจากปราณจิตราของเหยียนซวี่ กระจายปักอยู่ทั่วร่างกายของเขาในพริบตา

ฝนสุริยะบางส่วนไม่ได้เข้าไปภายในร่างกายของเหยียนซวี่ ยังคงหยุดภายนอก หรือแม้กระทั่งปักอยู่บริเวณผิวหนัง แสงสีทองจากเข็มส่องสว่างเจิดจ้า ดูแล้วตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับตัวเม่นเลย

ส่วนเข็มสุริยะที่เข้าสู่ร่างกาย ก็เริ่มสะกิดความเจ็บปวดที่เหยียนซวี่พยายามสกัดกั้นไว้ตลอดมาให้ระเบิดออก

เหยียนซวี่เงยหน้าขึ้นกรีดร้อง กลุ่มไอโลหิตมากมายเหนือร่างพลันปะทุขึ้น ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยรูพรุน จนแยกเลือดและเนื้อไม่ออก

ฝนน้ำแข็งและฝนโลหิตสาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า

“เจ้าเด็กเวรตะไลทั้งสอง!” เหยียนซวี่เปิดปากด่า ทว่ากลับห้ามโลหิตที่ไหลผ่านลำคอไม่ได้ จึงกระอักออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปตรงหน้าเหยียนซวี่ มองอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่ง “ดูแล้วเรื่องในตอนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านจริงๆ ด้วยสินะ”

“เห็นท่านหวาดเกรงเช่นนี้แล้ว เกรงว่าตอนนั้นท่านคงไม่ได้ทำผิดไปเพราะไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะท่านติดต่อกับตระกูลเยี่ยนแห่งแผ่นดินจ้าวสินะ”

ชายหนุ่มงอนิ้วแล้วดีดเบาๆ ไปที่คมกระบี่วิญญาณมังกรมรกตที่อยู่ในมือ “ท่านจะมีสัมพันธไมตรีกับกับพวกเขา หรือจะรับผลประโยชน์จากพวกเขา แท้จริงแล้วไม่สำคัญแต่อย่างใด”

“ข้าขอเพียงแค่รู้ว่าท่านมีความคิดที่ต้องการจะสังหารทำลาย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังคิดวางแผนจะสังหารข้า”

เหยียนซวี่ที่อยู่ตรงหน้าร้องตะโกนเสียงแหบอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นรนจะพุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง!

เยี่ยนจ้าวเกอตวัดกระบี่อย่างเรียบเฉย!

แสงสีมรกตสายหนึ่งก็เล่นผ่านท้องฟ้าไป

และตัดเอาศีรษะของเหยียนซวี่ลอยขึ้นไปด้วย!

ดวงตาทั้งสองที่เบิกโต บ่งบอกว่าที่เขาสิ้นชีพในเงื้อมมือของเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้ซึ่งมีระดับวรยุทธ์เทียบเขาไม่ได้ เขาจึงตายตาไม่หลับ!

ครั้นฟันกระบี่ไปครั้งหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่มองเหยียนซวี่อีก ก่อนจะกลับหลังหันมองไปอีกด้านหนึ่ง

ณ ตรงนั้น ภายในหิมะและน้ำแข็ง มีแสงเพลิงค่อยๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มีเงาของคนผู้หนึ่งกำลังขยับกายอยู่ภายในอย่างยากลำบาก

อย่างไรเสียเขาก็ไม่เหมือนกับเหยียนซวี่ที่ถูกกระสุนมังกรน้ำแข็งคำรามโจมตีจังๆ เยี่ยจิ่งที่ถูกเพียงแค่คลื่นกระทบกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเพียงไฟเพลิงปกคลุมทั่วร่างของเยี่ยจิ่ง

ลายเพลิงสีแดงเกิดเป็นเส้นพาดทับกันไปมา

บนร่างกายของเยี่ยจิ่งปล่อยลมปราณอันน่าหวาดกลัวออกมา ซึ่งไม่ใช่พลังที่ออกมาจากจุดตันเถียนชี่ไห่เช่นก่อนหน้านี้ แต่เป็นพลังปะทุออกมาจากจุดลมปราณทั่วร่าง

จุดกำเนิดพลังของเขาในตอนนี้เหมือนกับมาจากลายเพลิงที่อยู่บนตัวเขา

พลังความร้อนที่น่าตกใจกำลังปะทุออกมาไม่หยุดหย่อน ปะทะเข้ากับโลกหิมะน้ำแข็งที่อยู่ภายนอก

ไอน้ำสีขาวแผ่กระจายไปทั่วประดุจหมอกหนา อีกทั้งมีละอองน้ำและเกล็ดน้ำแข็งตกลงสู่พื้นไม่หยุดราวกับฝนโหมกระหน่ำ

เยี่ยนจ้าวเกอมองเยี่ยจิ่งแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “พลังลมปราณใกล้เคียงกับพวกปีศาจอัคคีมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นอย่างที่คาดจริงๆ”

“ยิ่งวรยุทธ์ของเจ้าลึกล้ำมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเจ้าก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน”

องคาพยพทั้งห้าของเยี่ยจิ่งถูกลายเพลิงปกคลุมปิดบังไว้ทั้งหมดแล้ว แลดูมีความทะเยอทะยาน ทว่าก็เผยให้เห็นถึงความดุร้ายบ้าคลั่ง ประหนึ่งกับไฟป่าที่ต้องการแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งยังลุกลามขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต จนกว่าทุกอย่างจะมอดไหม้เป็นจุณ

เยี่ยจิ่งจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่ลดละ “เยี่ยน…จ้าว…เกอ!”

เขาเงยหน้าแล้วตะโกนเสียงดัง “เจ้าทำร้ายข้าหลายครา หวังจะให้ข้าตาย!”

“แค้นนี้ต้องชำระ!”

“เหตุใดอวี้เสาถึงต้องถูกเจ้าแย่งไป”

“เหตุใดเจ้าถึงได้อยู่สูงเหนือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา”

“เหตุใดเจ้าไม่ต้องเพียรพยายามอะไร ก็ได้ในสิ่งที่คนอื่นต้องใช้เวลาชั่วชีวิตก็ยากที่ได้รับมา”

“เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าจ้องจะสังหารข้าในหุบเหวปราการมังกร เหตุใดคนของเขากว่างเฉิงก็ยังจะปกป้องคนผิดเช่นเจ้า!”

“ทั้งหมดนี้ล้วนถูกกำหนดเอาไว้ในโชคชะตาหรือ ล้วนเป็นเพราะฟ้าลิขิตไว้แล้วอย่างนั้นหรือ เหอะ!” เปลวเพลิงสั่นไหวอยู่ในดวงตาของเยี่ยจิ่งราวกับแสงของยมทูตสองตน “ข้าไม่เชื่อในชะตา! ไม่เชื่อสวรรค์! ข้าเชื่อเพียงแค่ตัวข้าเองเท่านั้น!”

“ข้าต้องแข็งแกร่ง หากข้าแข็งแกร่ง อวี้เสาก็จะไม่ไปกับเจ้า! ”

“หากข้าแข็งแกร่ง ก็จะเหยียบเจ้าให้จมดิน!”

“หากข้าแข็งแกร่ง คนอื่นก็จะไม่ปกป้องเจ้าเพราะบิดาเฮงซวยของเจ้าหรอก!”

“หากข้าแข็งแกร่ง คงจะเป็นข้าที่สังหารเจ้าในหุบเหวปราการมังกร ไม่ใช่เจ้าที่ทำร้ายข้าจนสิ้นชีพ!”

“เจ้าจะสังหารข้า ข้าก็จะสังหารเจ้า! เขากว่างเฉิงจะปกป้องเจ้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าก็จะทำลายเขากว่างเฉิงด้วย!”

“ไม่ข้าก็เจ้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”

ขณะที่เยี่ยจิ่งตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เขาก็กลายร่างเป็นมนุษย์เพลิงพุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอ!

เยี่ยนจ้าวเกอไม่แม้แต่จะกะพริบตา จุดลมปราณทั่วกายสั่นไหว ปราณจิตราพรั่งพรู

ปราณจิตราของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์ ตบไปที่เยี่ยจิ่งฉาดหนึ่ง!

“โครม!!”

เสียงหนึ่งดังสนั่น พาร่างของเยี่ยจิ่งกระเด็นหวือออกไป!

เขาบิดคอไปมาเล็กน้อย “ลมแรงเกินไป เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด”

………………..

[1] เรือผุก็ยังมีตะปูถึงสามชั่ง อุปมาถึงคนหรือสิ่งของ ถึงแม้ว่าจะดูไร้ประโยชน์ในสายตาของใครบางคน ทว่าความจริงแล้วก็ยังมีจุดที่มีประโยชน์อยู่บ้าง