ตอนที่ 230 พวกข้าน้อยขอต้อนรับท่านบรรพจารย์เย่

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 230 พวกข้าน้อยขอต้อนรับท่านบรรพจารย์เย่

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป

เจ้ายอดเขาทั้งเจ็ดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน รวมถึงผู้อาวุโสทั้งหมดต่างก็มารวมตัวกันยังตำหนักไท่เสวียน

ส่วนด้านนอกของตำหนักไท่เสวียน ก็มีศิษย์นับพันคนยืนเรียงแถวรอฟังคำสั่งอยู่

“ผู้สืบทอด นี่มันเกิดอะไรขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

นักพรตชิงเย่เป็นคนเอ่ยถามขึ้นมาก่อน

“นั่นสิ ผู้สืบทอด ! ”

นักพรตจิ่วจวีขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จู่ ๆ เคาะระฆังแจ้งเตือนเรียกพวกเรารวมทั้งศิษย์ทั้งหมดมาเช่นนี้ คงมิใช่ว่าจะมีใครมาโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราใช่หรือไม่ ? ”

ทันใดนั้นภายในตำหนักหลังใหญ่ก็เกิดความโกลาหลขึ้น

หลี่ฉางหมิงที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางตำหนักกวาดสายตามองทุกคน หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็ได้โบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง

“อาจารย์อาทุกท่าน อย่าได้ร้อนใจไป ได้โปรดฟังข้าพูดให้จบก่อน”

หลี่ฉางหมิงเอ่ยเสียงเข้มออกมา “เมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์ได้แจ้งให้ข้าทราบ ว่าท่านบรรพจารย์เย่ที่พำนักที่เมืองเสี่ยวฉือ ตกลงที่จะมาเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งของศิษย์น้องอู๋ซวง อีกทั้งท่านบรรพจารย์เย่กับอาจารย์บัดนี้กำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมาอีกด้วย”

“นี่ก็คือเหตุผลว่าเหตุใดข้าสั่งให้คนเคาะระฆังแจ้งเตือน เรียกอาจารย์อาทุกท่าน รวมทั้งศิษย์ทุกคนมาที่นี่ขอรับ”

เมื่อสิ้นเสียงภายในตำหนักก็เงียบสงัดลง ถึงขนาดได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้นได้

เหล่าผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสบตากัน ก่อนจะเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีอย่างที่สุดออกมา

วินาทีต่อมาทั้งตำหนักก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง

“คาดมิถึงว่าท่านบรรพจารย์เย่จะตอบตกลง ! ”

“เยี่ยมเลย เยี่ยมจริง ๆ ! ”

“เหมือนที่ข้าเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้มิมีผิด ท่านบรรพจารย์เย่คอยเป็นห่วงเป็นใยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราจริง ๆ ! ”

“ใช่แล้ว หากมิใช่เพราะท่านบรรพจารย์เย่เป็นห่วงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรา หายนะคราก่อนนี้เกรงว่าคงทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจนสิ้นซากไปแล้ว”

“เฮ้อ แต่ว่าบัดนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมิได้รุ่งเรืองดังเช่นเมื่อก่อน พวกเราช่างละอายใจยิ่งนัก ! ”

“นี่ ตอนนี้มิใช่เวลาที่เราจะมาคิดเรื่องพวกนี้กันนะ”

“ใช่ ท่านบรรพจารย์เย่กำลังจะกลับมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอีกครา หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน แม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมิเหมือนแต่ก่อน ทว่าผู้น้อยอย่างเราก็มิอาจละเลยต่อหน้าที่ได้”

ระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น

“อาจารย์อาทุกท่าน ได้โปรดเงียบสักครู่”

หลี่ฉางหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงกังวานว่า “ข้าคิดว่าเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ พวกเราควรปรึกษากันว่า จะเตรียมต้อนรับท่านบรรพจารย์เย่เช่นไรดีมากกว่า”

“ที่ผู้สืบทอดพูดมามีเหตุผล ตอนนี้พวกเรารีบปรึกษากันก่อนดีกว่าว่าจะเตรียมต้อนรับท่านบรรพจารย์เย่เช่นไรดี ? ”

นักพรตฉางชิงลุกขึ้น พร้อมกับเอ่ยว่า “ท่านบรรพจารย์เย่คอยเป็นห่วงเป็นใยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรา เราจะทำให้เขาผิดหวังมิได้เด็ดขาด”

นักพรตหยวนเจี้ยนขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับเอ่ยสนับสนุนว่า “ข้าว่าการที่ท่านบรรพจารย์เย่ตอบตกลงมาร่วมพิธีแต่งตั้งของอู๋ซวงในครานี้ มิแน่อาจเป็นโอกาสและวาสนาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราก็เป็นได้”

“ใช่แล้ว ท่านบรรพจารย์เย่และเจ้าสำนักตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างเดินทางมาแล้ว พวกเราต้องเร่งมือกันหน่อย”

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป

หลังจากปรึกษากันแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า จะให้ผู้สืบทอดหลี่ฉางหมิงและลู่อู๋ซวงที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดหญิง รวมทั้งเจ้ายอดเขาทั้งเจ็ดไปรอต้อนรับการกลับมาของนักพรตฉางเสวียนและท่านบรรพจารย์เย่ที่เชิงเขา

ส่วนผู้อาวุโสที่เหลือจะนำศิษย์กลุ่มหนึ่งไปประจำอยู่ตามประตูต่าง ๆ

ส่วนที่พักของท่านบรรพจารย์เย่นั้น จะใช้ยอดเขาฉางหมิงของผู้สืบทอดหลี่ฉางหมิง

แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเจ้ายอดเขาทั้งเจ็ด รวมทั้งศิษย์ทั้งหลายล้วนต้องไปแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย

จากนั้นก็รีบไปประจำตามที่จุดต่าง ๆ ที่กำหนดเอาไว้

ทว่าเวลานี้ อีกด้านหนึ่ง

เย่ฉางชิงและนักพรตฉางเสวียนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางหิมะ

หลังจากได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของเย่ฉางชิง

นักพรตฉางเสวียนจึงได้เดินเคียงข้างเย่ฉางชิงไปอย่างอดทน

ขณะเดียวกันเขาก็ลองปล่อยวางจิตใจ ชื่นชมทัศนียภาพหิมะอันงดงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของทางเหนือ

จากตอนแรกที่นักพรตฉางเสวียนมิค่อยเข้าใจนัก แต่หลังจากได้ใคร่ครวญคำพูดนั้นของเย่ฉางชิงแล้ว

ก็บังเอิญพบว่าระดับจิตใจของเขาเหมือนจะมีการพัฒนาขึ้น

และที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ

หลังจากที่ระดับจิตใจมีการพัฒนาขึ้น ระดับตบะบารมีที่ชะงักมานับร้อยปี ในที่สุดก็ปรากฏสัญญาณว่าจะสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีก

‘ขอเพียงอยู่ข้างกายท่านบรรพจารย์เย่ ก็สามารถได้รับโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่ได้ตลอดเวลาจริง ๆ ! ’

นักพรตฉางเสวียนลอบชำเลืองมองเย่ฉางชิง พร้อมเอ่ยกับตัวเองอยู่ภายในใจ

และในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้หยุดฝีเท้าลง พลางทอดมองไปยังพื้นดินอันกว้างใหญ่ และอดมิได้ที่จะคิดถึงเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขาผ่านมาทางนี้ทุกสรรพสิ่งล้วนเขียวขจี

“หากมิใช่เพราะหิมะอันหนาวเหน็บปกคลุมทุกสิ่งเอาไว้ จะมีฤดูใบไม้ผลิที่ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนได้เยี่ยงไรกัน”

เย่ฉางชิงเอ่ยทอดถอนใจ

นักพรตฉางเสวียนคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเย่ ประโยคนี้หมายความเช่นไรหรือขอรับ ? ”

เย่ฉางชิงหันกลับมามองนักพรตฉางเสวียนด้วยรอยยิ้ม

“มิได้มีความหมายอันใดหรอก”

เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเหอ ท่านดูพื้นดินอันกว้างใหญ่นี้สิ หากมิใช่เพราะหิมะอันหนาวเย็นปกคลุมเอาไว้ ปีหน้ายามฤดูใบไม้ผลิทุกสิ่งจะกลับมางอกงามได้เยี่ยงไรกัน”

เย่ฉางชิงพูดถึงตรงนี้ก็ทอดมองออกไปแสนไกลอีกครั้ง

ทว่าหลังจากนักพรตฉางเสวียนได้ยินคำกล่าวนี้แล้ว สีหน้ากลับเปลี่ยนไปอย่างมากราวกับตกสู่ภวังค์บางอย่างเข้า

‘หิมะอันหนาวเย็น ! ’

‘ยามฤดูใบไม้ผลิ ! ’

‘หิมะอันหนาวเย็นหมายถึงความตาย ส่วนยามฤดูใบไม้ผลิก็หมายถึงชีวิต’

‘ลำดับการนี้ เหมือนการกลับชาติมาเกิด…’

ผ่านไปมิกี่อึดใจ

นักพรตฉางเสวียนก็ได้หลับตาลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน

วินาทีต่อมาเขาก็ลืมตาโพลง สีหน้าสับสนเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น ท่าทางเต็มไปด้วยความยินดีอย่างมาก

เพราะที่ผ่านมาเขาบำเพ็ญเพียรวิถีชีวิต หลังจากได้ฟังคำพูดเช่นนี้ของเย่ฉางชิง

เขาก็ได้ฉุกคิดถึงจิตแท้ของวิถีชีวิตคือการเวียนว่ายตายเกิด

‘หากมิใช่เพราะหิมะอันหนาวเหน็บปกคลุมทุกสิ่ง จะมีฤดูใบไม้ผลิที่ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนได้เยี่ยงไรกัน ! ’

‘ด้วยตบะบารมีของท่านบรรพจารย์เย่ย่อมรู้ว่าข้าบำเพ็ญเพียรวิถีชีวิต อีกทั้งแค่เอ่ยเพียงประโยคเดียวก็สามารถใช้วิถีชีวิตหักล้างวิถีเวียนว่ายตายเกิดได้ หลักการอันยิ่งใหญ่แท้จริงแล้วช่างง่ายดายยิ่งนัก’

นักพรตฉางเสวียนอดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา

ตอนนั้นเองเมื่อเย่ฉางชิงเหลือบมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนักพรตฉางเสวียน ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

‘นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ? ’

‘ประโยคนี้ยากที่เข้าใจมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘หรือว่ายอดฝีมือในการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้สนใจแต่เรื่องการบำเพ็ญเพียร จนมิเคยอ่านหนังสือเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเหอ พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ”

หลังจากเดินไปได้ประมาณสองชั่วยาม

ในที่สุดภูเขาลึกลับอันสูงตระหง่านมีเมฆลอยปกคลุม และมีแสงส่องขึ้นมาริบหรี่ก็ปรากฏสู่สายตา

เขาไท่เสวียน !

และเพราะค่ายกลป้องภูผา จึงทำให้เทือกเขาที่อยู่นอกเขตเขาไท่เสวียนถูกหิมะสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมเอาไว้จนหมด

ทว่าเขาไท่เสวียนกลับยังคงเขียวขจีและน่าเกรงขาม ราวกับแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์ก็มิปาน

ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า

เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาอีก

การมาครั้งนี้ของเขามิต่างอะไรกับการมาหลอกลวงสำนักบำเพ็ญเพียรแห่งนี้เลย

หากเผลอเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเองออกมา คงต้องตายโดยไร้ที่ฝังศพเป็นแน่

…………………………

ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังลอบทอดถอนใจอยู่นั้น

เขาไท่เสวียนที่อยู่มิไกลก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น

“พวกข้าน้อยขอต้อนรับท่านบรรพจารย์เย่ขอรับ ! ”