เล่ม 1 ตอนที่ 151 ช่วยไว้ได้ทันเวลา!

ราชินีพลิกสวรรค์

ร่างของเจียงหลีหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความว่างเปล่า

 

 

ด้านหลังของนาง วงแหวนสีทองสองวงเปล่งประกายเจิดจ้า ในแสงสีทองนั้นมีตัวอักษรลึกลับที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายไป และในวงแหวน วงหนึ่งเป็นเลี่ยเทียนซื่อ อีกวงหนึ่งเป็นเสวียนกังกุย

 

 

นางหลอมรวมเข้ากับวิญญาณยุทธ์ที่สองสำเร็จแล้ว ได้เปิดการเลื่อนขั้นของพลังอีกด้วย

 

 

ลมปราณของเจียงหลี ตั้งแต่ผ่านหลิงซื่อขั้นสูงสุดไปจนถึงหลิงเจี้ยงขั้นสองแล้วถึงจะค่อยๆ หยุดลง

 

 

ลมปราณของนางคงที่แล้ว แต่ว่าเจ้าตัวยังไม่ฟื้น

 

 

เหมือนกับว่าใต้จิตสำนึกของนางได้สัมผัสกับผ้าคลุมหน้าชั้นแรกของวิญญาณอีกดวง

 

 

ยินดีกับเจ้าด้วย ในที่สุดก็เลื่อนไปขั้นหลิงเจี้ยง วิญญาณดวงนั้นพูด

 

 

เจียงหลีตกใจ

 

 

นางได้กลืนกินวิญญาณดวงนั้นไปแล้วแท้ๆ ทำไมถึงได้ยังอยู่ในจิตใต้สำนึก

 

 

เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล นี่เป็นเพียงจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่ของข้า เพียงแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้าคือใคร เหมือนกับวิญญาณอีกดวงรู้ว่านางคิดอะไรอยู่

 

 

เช่นนั้นเจ้าเป็นใคร เจียงหลีมองดวงวิญญาณที่เปล่งแสงออกมาด้วยแววตาดุดัน

 

 

ข้าคือใครน่ะหรือ ตอนนี้เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า วิญญาณดวงนั้นเข้าใจอย่างดี

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้ว อย่ามาพูดบ้าๆ แบบนี้นะ

 

 

เจ้าอ่อนแอเกินไป บอกเจ้ามากไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้ข้าบอกเจ้าได้เพียงเรื่องเดียว ข้ามาจากสามร้อยปีข้างหน้า และเจ้ามีเวลาเพียงสามร้อยปีในการฝึกฝนตัวเอง ถ้าหากสามร้อยปีต่อมาเจ้ายังอ่อนแออยู่ เจ้าก็จะล่มสลายไปพร้อมกับโลกทั้งใบ

 

 

มาจากสามร้อยปีข้างหน้า!

 

 

เจียงหลีหรี่ตาทันที

 

 

นี่นางได้พบกับการเกิดใหม่ขณะข้ามผ่านเวลา โชคไม่ดีจริงๆ นางได้กลืนกินวิญญาณสิงสู่ที่เกิดใหม่เข้าไปหรือ?

 

 

ไม่ๆๆ!

 

 

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่วิญญาณอีกดวงมาจากไหน แต่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นสามร้อยปีข้างหน้าที่นางบอก

 

 

ทันใดนั้น ดวงวิญญาณดวงนั้นก็จางลง

 

 

เจียงหลีพูดอย่างไว “เดี๋ยว ช้าก่อน! คุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

 

 

ในเมื่อถูกกำหนดมาเช่นนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าเหมาะสมที่จะทำงานใหญ่นี้ให้สำเร็จมากกว่าข้า จงตั้งใจฝึกฝน หลังจากที่เจ้าแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดก็จะถูกเปิดเผยต่อหน้าเจ้า ทำให้เจ้ารู้ภารกิจที่หนักอึ้งของตัวเอง และหน้าที่ของตัวเอง

 

 

หลังจากที่ดวงวิญญาณบอกเหตุผลสำคัญ ก็หลับไหลไป

 

 

“เดี๋ยวก่อน!” เจียงหลีร้องเสียงดัง ออกมาจากจิตใต้สำนึก ลืมตาตื่นขึ้นมา

 

 

เสียงฝีเท้าที่เบาๆ ดังมาจากข้างตัวนาง

 

 

เจียงหลีเพิ่งได้สติ ก็รู้สึกว่ามีเงาปกคลุมร่างกายของตัวเอง นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เจอกับใบหน้ายิ้มแย้มของหนานอู๋เฮิ่น

 

 

“คิดไม่ถึงเจ้าจะออกมาก่อนตั้งห้าวัน ดูท่าแล้ว เจ้าทำสำเร็จแล้ว” หนานอู๋เฮิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

เจียงหลีกะพริบตาเล็กน้อย แล้วมองไปรอบๆ

 

 

นางยังอยู่ในเจดีย์หิน ในนี้คนน้อยลง คงจะก่อนหน้าที่นางออกจากมาจากอาณาเขตหลิงอู่ แล้วมีคนส่วนหนึ่งยังคงนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ น่าจะยังอยู่ในอาณาเขตหลิงอู่อยู่ หนึ่งในนั้นก็คือไป๋หลี่เฟิ่ง

 

 

เห็นเจียงหลีสีหน้าไม่ค่อยดี ในแววตาของหนานอู๋เฮิ่นเหมือนคิดอะไรอยู่ อมยิ้มแล้วพูดกับนางว่า “ตามข้ามาสิ”

 

 

เจียงหลีพยักหน้า แล้วยืนขึ้นเดินตามหนานอู๋เฮิ่นออกจากเจดีย์หินไป

 

 

พอเดินออกมา แสงแดดสาดส่องไปบนตัวของนาง ทำให้นางหรี่ตาเพราะไม่ชิน

 

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ทั้งสองคนเดินข้างกันไป หนานอู๋เฮิ่นถามขึ้นมา

 

 

เจียงหลีหยิบลูกศรดอกนั้นที่เหลืออยู่ออกมาจากเสื้อแล้วยื่นให้เขา “ในอาณาเขตหลิงอู่ข้าถูกคนของสำนักหลิงอู่ไล่ฆ่า ยิงลูกศรออกไปสองดอก แต่กลับไม่มีเสียงอะไรเลย”

 

 

หนานอู๋เฮิ่นหรี่ตาทันที สีหน้าจริงจังขึ้นมา

 

 

คำพูดของเจียงหลีมีอะไรไม่ชอบมาพากล ทำให้คนคิดดูแล้วก็น่ากลัวจริงๆ สำนักหลิงอู่จะไล่ฆ่าเจียงหลี ลูกศรของนางก็มีคนทำให้ใช้การไม่ได้

 

 

ลูกศรทั้งหมดเป็นของสถาบันไป๋หยวน โดยปกติแล้วสถาบันไป๋หยวนไม่มีทางสมคบคิดกับคนของสำนักหลิงอู่ เพื่อทำร้ายนักเรียนของตัวเอง เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง ไม่ลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนถูกสำนักหลิงอู่ซื้อตัวไป ก็ต้องมีคนของสำนักหลิงอู่ซ่อนตัวอยู่ในสถาบันไป๋หยวน

 

 

“เรื่องนี้ข้าจะสืบสวนให้ถึงที่สุด จะหาคำอธิบายมาให้เจ้าจนได้” หนานอู๋เฮิ่นกำลูกศรดอกนั้นไว้แน่น พูดกับเจียงหลีอย่างจริงจัง

 

 

นางเป็นนักเรียนที่เขาพาเข้ามาด้วยตัวเอง จะให้ถูกคนอื่นรังแกได้อย่างไรกัน

 

 

ถ้าหากว่าเป็นการต่อสู้ที่ตรงไปตรงมาแล้วเจียงหลีแพ้ เขาไม่ว่าอะไรเลยสักคำ แต่ว่าใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้มาลอบกัดลับหลัง ก็ต้องถามหนานอู๋เฮิ่นดูว่าจะยอมรับได้ไหม!

 

 

จ้องมองหนานอู๋เฮิ่นที่แววตาดุดันขึ้นมาทันที เจียงหลีพยักหน้า

 

 

“เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ วันรุ่งขึ้นตามข้าไปสำนักหลิงอู่” หนานอู๋เฮิ่นยิ้มเยาะ

 

 

เจียงหลีเลิกคิ้ว รู้สึกว่าสีหน้านี้ของหนานอู๋เฮิ่นมีอะไรแอบแฝง!

 

 

……

 

 

ลาหนานอู๋เฮิ่นแล้ว เจียงหลีเพิ่งเดินออกมาจากสถาบันไป๋หยวน ก็เห็นรถม้าของตระกูลอ๋องลู่มารออยู่ด้านนอกแล้ว เหมือนกับคาดการณ์ไว้แล้วว่านางจะกลับมาวันนี้

 

 

คาดการณ์แม่นอย่างกับเทพเจ้า เจียงหลีเลิกคิ้ว พูดในใจ

 

 

“หลียาโถ่ว!”

 

 

บนรถม้า ลู่เสวียนกระโดดออกมา กวักมือเรียกเจียงหลีด้วยความดีใจ และในเวลานั้นเจียงหลีเพิ่งจะสังเกตเห็นคนที่ยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ ก็คือลู่จ้าน

 

 

คงมารับมาส่งลู่เสวียนแหละ! เจียงหลีคิดออกในใจ นางรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้มีหน้ามีตาขนาดที่ลู่จ้านจะเอารถม้ามารับด้วยตัวเอง

 

 

ความน่าจะเป็นเพียงอย่างเดียวก็คือมารับเจ้าหนุ่มลู่เสวียนคนนี้ ก็เลยมารับนางไปด้วย

 

 

“เป็นอย่างไร เจ้าทำสำเร็จไหม หลอมรวมเข้ากับวิญญาณยุทธ์อะไรหรือ ตอนนี้เป็นหลิงเจี้ยงขั้นหนึ่งแล้วใช่ไหม” ลู่เสวียนวิ่งไปตรงหน้าเจียงหลี รัวถามด้วยความตื่นเต้น

 

 

ท่าทีที่กระโดดโลดเต้นของเขานั้น เหมือนกับว่าเป็นตัวเขาเองที่ได้เลื่อนขั้น

 

 

“อะแฮ่ม หลิงเจี้ยงขั้นสอง” เจียงหลีกระแอมเบาๆ อย่างเขินอาย แก้ไขคำคาดเดาของลู่เสวียน

 

 

“……”

 

 

ลู่เสวียนอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วถึงจะตอบโต้กลับ ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ “หลียาโถ่วเก่งมากนะ!”

 

 

เทียบกับความตื่นเต้นของลู่เสวียน เจียงหลีสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เรื่องราวที่นางเก็บซ่อนไว้ในใจ มีมากมายจริงๆ นางออกมาจากอาณาเขตหลิงอู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เจียงเฮ่าเป็นอย่างไรบ้าง นางสามารถหลอมรวมเข้ากับเสวียนกังกุย อาศัยดวงวิญญาณดวงนั้น ในตอนที่นางหลอมรวม เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แล้วก็ดวงวิญญาณที่มาจากสามร้อยปีข้างหน้า ได้พูดถึงเรื่องโลกล่มสลาย แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่

 

 

สามร้อยปี!

 

 

สามร้อยปีดูเหมือนนานมาก แต่ว่าสำหรับคนที่ฝึกฝนพลัง แค่ดีดนิ้วก็หมดเวลาแล้ว

 

 

“หลียาโถ่ว พวกเรากลับกันเถอะ เห็นลู่จ้านบอกว่าพี่ชายข้าป่วยอีกแล้ว” หลังจากที่ลู่เสวียนหายตื่นเต้น ถึงจะพูดกับเจียงหลี

 

 

ลู่เจี้ยอาการกำเริบอีกแล้วหรือ

 

 

เจียงหลีมองลู่จ้านอย่างประหลาดใจ แต่ลู่จ้านกลับหลีกเลี่ยงสายตาที่สงสัยอย่างชาญฉลาด

 

 

“ไปกันเถอะ” เจียงหลีไม่ลังเล ขึ้นรถม้าไปกับลู่เสวียน

 

 

……

 

 

กลับไปถึงจวนลู่อ๋อง เจียงหลีและลู่เสวียนไปหาลู่เจี้ยที่ป่วยอยู่

 

 

แต่ว่าลู่เจี้ยกลับปฏิเสธไม่ให้ทั้งสองคนเข้าพบ

 

 

ลู่เสวียนไปแล้ว แต่เจียงหลีกลับไม่ไปไหน นางรู้ว่าร่างกายของลู่เจี้ยอ่อนแอมาก แต่ก็ไม่มีทางที่อาการจะกำเริบโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้ ถ้าหากว่าเป็นอาการแบบเดิม เขาต้องให้นางเข้าไป แต่ตอนนี้…

 

 

เจียงหลีรู้สึกว่าการป่วยครั้งนี้ของลู่เจี้ยมีอะไรแปลกๆ

 

 

น่าเสียดาย นางไม่ได้เจอเขา ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

โรคเวรนี้นี่มัน! เจียงหลีบ่นในใจ

 

 

ทันใดนั้น ในก้นบึ้งของวิญญาณนาง ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายของนางอ่อนปวกเปียก ล้มลงไปกับพื้น