ตอนที่ 196 หลิงเซียวผู้โกรธเกรี้ยว!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

แววตาของหลิงเซียววาววับ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีแสดงออกของหลิงฉิน หรือว่าท่าทีแสดงออกของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านหลังต่างก็ยืนยันแล้วว่าหลิงหลานที่เพิ่งจะอายุสิบหกเต็มได้ควบคุมดูแลตระกูลหลิง กลายเป็นผู้นำตระกูลที่กุมอำนาจอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ในนาม นี่ทำให้หลิงเซียวประหลาดใจแกมยินดีอย่างยิ่ง ในใจมีความภาคภูมิใจอยู่รางๆ สมกับเป็นลูกชายของเขาจริงๆ

แน่นอนว่าหลังจากที่หลิงเซียวภาคภูมิใจแล้ว ในใจเขาก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ถึงยังไงเขาก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่เขาต้องการ เขาร้อนใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงหันหน้ามองไปที่หลิงหลาน แววตาเผยความคาดหวังออกมา หวังว่าหลิงหลานจะให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่เขา

แต่หลิงหลานคล้ายกับมองไม่เห็นสายตาของหลิงเซียว เธอเพียงเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวแล้วชี้ไปที่โซฟา กล่าวอย่างมีมารยาทแต่ดูเย็นชาว่า “นายพลหลิง เชิญนั่งครับ”

หลิงเซียวรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นในใจเล็กน้อย กลิ่นอายบนตัวดูควบคุมไว้ไม่อยู่แล้ว ‘เจ้าเด็กนี่ไม่ไว้หน้าเขามากเกินไปแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าเขากังวลเรื่องภรรยาของเขา?’

เมื่อประจัญหน้ากับกลิ่นอายคุกคามของหลิงเซียว หลิงหลานยังคงรักษาใบหน้าเย็นชาเอาไว้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ควรรู้ไว้ว่าหลิงหลานเผชิญหน้ากับแรงคุกคามอันทรงพลังของอาจารย์หมายเลขหนึ่งมาเป็นเวลานาน หลิงหลานเลยมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้างแล้ว และนี่ก็เป็นเพราะกลิ่นอายของหลิงเซียวยังคงอ่อนโยนเล็กน้อย แรงคุกคามไม่ได้เหนือกว่าอาจารย์หมายเลขหนึ่งเท่าไหร่

หลิงเซียวเห็นหลิงหลานไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยก็ได้แต่นั่งลงบนโซฟาของห้องรับแขกด้วยความหดหู่ใจ ถึงแม้ว่าเขาจะแอบหงุดหงิดที่หลิงหลานไม่ยอมรับเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าระบายความโกรธออกมา ถึงยังไงช่องว่างสิบเจ็ดปีทำให้เขาไม่มีความมั่นใจที่จะตวาดใส่หลิงหลานบอกว่าเขาเป็นพ่อของเขาหรอกนะ ดังนั้นเขาเลยได้แต่อดทนต่อการต้อนรับอย่างเย็นชาของหลิงหลานอย่างเงียบๆ เท่านั้น

หลิงหลานให้คนรับใช้นำชาเข้ามา หลิงเซียวยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง รสชาติอันคุ้นเคยทำให้หัวใจหลิงเซียวสั่นสะท้านอีกครั้ง เขาอดไม่ไหวเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้งว่า “หลิงหลาน ให้แม่ของเธอออกมาเถอะ มีเรื่องบางอย่างที่พวกเราต้องคุยกันดีๆ”

หลิงหลานเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “นายพลหลิง คุณพ่อของผมพลีชีพไปสิบเจ็ดปีแล้ว ส่วนคุณแม่ของผมก็เก็บตัวอยู่ในบ้านในฐานะแม่ม่ายมาตลอด เกรงว่าการเจอผู้ชายแปลกหน้าจะเป็นการไม่เหมาะสมนะครับ ถ้าคุณมีธุระอะไรสามารถพูดกับผมได้โดยตรงเลย ผมจะเรียนคุณแม่ให้ครับ”

หลิงหลานตัดสินใจแล้วว่า ถ้าหากยังไม่รู้เรื่องชัดเจนดีละก็ เธอไม่มีทางให้หลานลั่วเฟิ่งออกมาเจอหลิงเซียวเด็ดขาด ถ้าเกิดเธอพบว่าหลิงเซียวเป็นผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ หรือว่าเป็นเฉินซื่อเหม่ย[1]ในยุคปัจจุบันขึ้นมาจริงๆ ละก็ เธอจะไล่อีกฝ่ายไปทันทีเพื่อปกป้องมารดาของเธอไว้ ต่อให้กำลังรบและอำนาจของเธอจะสู้หลิงเซียวไม่ไหว แต่เธอเชื่อว่ามีความช่วยเหลือของเสี่ยวซื่อ ใช้ความสามารถของโลกเสมือนจริงจะต้องทำให้หลิงเซียวชื่อเสียงป่นปี้ได้แน่นอน

เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงสติกำหมัดชูขึ้นสูงตามความคิดของหลิงหลาน ทำท่าสาบานว่าจะร่วมสู้ไปกับลูกพี่ของตัวเอง ทว่าเขานอนคว่ำอยู่บนพื้นร้องไห้ในสถานที่ที่หลิงหลานมองไม่เห็น ‘โฮๆๆ ฉันไม่นึกเลยว่าพ่อจะกลายเป็นเฉินซื่อเหม่ยไปแล้ว…’

ท่าทีเย็นชาอย่างยิ่งยวดของหลิงหลานทำให้หลิงเซียวหายใจไม่ออก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าลูกชายของเขาคนนี้เยือกเย็นเป็นผู้ใหญ่ได้น่าหงุดหงิดอยู่บ้าง เขาไม่ควรดีอกดีใจมากให้หลานลั่วเฟิ่งออกมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวหรือไง? คำพูดสุภาพแบบนี้เห็นเขาเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ ไม่สิ คนแปลกหน้ายังดีกว่านี้นิดหน่อย ความเย็นชาในสายตาของเด็กคนนั้นบ่งบอกว่าเห็นเขาเป็นศัตรูระดับสูงสุดโดยสิ้นเชิง

หลิงเซียวรู้ดีว่าหลิงหลานต้องรู้แล้วว่าเขาคือใครแน่นอน เพราะว่าตอนแรกที่เจอหน้ากัน เขาเห็นความตื่นเต้นในแววตาของหลิงหลาน อย่างไรก็ตามความตื่นเต้นนี้ถูกหลิงหลานสะกดกลั้นลงไปอย่างรวดเร็ว เขาใจเย็นลงแล้วก็เริ่มตั้งป้อมทีละขั้น ไม่คิดจะยอมรับพ่ออย่างเขาคนนี้เลย การรับรู้นี้ทำให้หลิงเซียวจุกอกจนแทบจะกระอักเลือด

“หลิงหลาน ฉันคือหลิงเซียว พ่อของเธอไง!” ในที่สุดหลิงเซียวก็อดทนไม่ไหวแล้ว เขากัดฟันกล่าวออกมาทีละคำ เขาแค่อยากกลับบ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว กอดภรรยาอย่างสบายใจ มีลูกมาปรนนิบัติ มันยากขนาดนี้เลยเหรอ?

หลิงหลานได้ยินคำพูดก็เลิกคิ้วขึ้น มุมปากเผยร่องรอยเหน็บแนม “อ้อ? งั้นกองทัพแจ้งเรื่องการพลีชีพของหลิงเซียวให้ตระกูลหลิงของพวกเราเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนคืออะไรล่ะครับ?”

หลิงเซียวนวดคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “ตอนนั้นฉันถูกพลังงานแม่เหล็กของเส้นทางแห่งความตายระเบิดจนไปถึงสถานที่ไม่รู้จัก ความจริงแล้วก็ถือว่าฉันโชคดี เพราะว่าการปะทะกันอย่างรุนแรงของพลังงานได้เปิดหลุมดำออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ฉันหลบหนีหายนะมาได้ แต่ว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นโลกที่ไม่รู้จัก ฉันหาสถานที่แห่งนั้นบนแผนที่ดวงดาวของสหพันธรัฐไม่เจอ ฉันใช้เวลาสิบเจ็ดปีเต็มๆ เพื่อหาทางกลับบ้าน เพราะสงครามของสหพันธรัฐกับจักรวรรดิฮิงูเระเมื่อสิบวันก่อนได้ระเบิดพลังงานและเปิดหลุมดำนั้นออกมาโดยบังเอิญ ทำให้ฉันกลับมาได้อีกครั้ง”

หลิงเซียวเล่าสาเหตุว่าทำไมเขาถึงพลีชีพไปเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนอย่างง่ายๆ เนื่องจากตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ และเขาก็เร่ร่อนอยู่ในอาณาจักรที่ไม่รู้จัก เวลานั้นเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถอยู่รอดกลับมาที่สหพันธรัฐได้เหมือนกัน

หลิงหลานได้ยินถึงตรงนี้ สองมือที่ห้อยลงต่ำก็กำหมัดแน่นฉับพลัน หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นมา นี่หมายความว่าเดิมทีหลิงเซียวไม่เคยคิดจะทอดทิ้งพวกเธอสองแม่ลูกเลยใช่ไหม?

“อีกไม่นาน กองทัพก็จะประกาศเรื่องนี้สู่สาธารณะ พวกเธอก็จะรู้ทุกอย่าง ส่วนการเลื่อนขั้นเป็นนายพล นี่เป็นเพราะว่าเดิมทีฉันสามารถเลื่อนขั้นเป็นพลโทได้ตั้งแต่สิบเจ็ดปีก่อนแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นสหพันธรัฐอยากฉวยโอกาสกำจัดจักรวรรดิฮิงูเระ ดังนั้นเลยจงใจปกปิดระดับชั้นของฉัน ให้ฉันนำกองพลที่เจ็ดกำจัดฮิงูเระก่อนที่ประเทศอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง…” หลิงเซียวเล่าความจริงที่ปกปิดไว้ถึงสาเหตุว่าทำไมเขาที่เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะถึงได้ปรากฏตัวขึ้นในแนวหน้าสุดของสนามรบ

“เพียงแต่ตอนนั้นจู่ๆ จอมพลก็ป่วยหนัก อำนาจที่กุมกองทัพถูกส่งไปหาคนอื่น และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการแย่งชิงอำนาจถึงทำให้แผนการกำจัดรั่วไหลออกไปโดยไม่คาดคิด หรือว่าระดับสูงสุดของกองทัพมีไส้ศึกของประเทศศัตรู…สรุปคือ จักรวรรดิฮิงูเระได้รู้ว่าคนที่ดำเนินแผนการกำจัดคือฉัน ดังนั้นถึงได้วางแผนร้ายใส่ฉันชุดหนึ่ง….”

“ถึงแม้ว่าจอมพลจะกุมอำนาจทางทหารใหม่อีกครั้งหลังจากที่หายดีแล้วทันที แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว ฉันถูกพาไปยังจุดที่พวกมันวางแผนเอาไว้อย่างชาญฉลาด…” ดวงหน้าของหลิงเซียวเผยความเสียใจออกมา เหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดคิดทำให้เขาจากภรรยาและลูกไปสิบเจ็ดปีเช่นนี้เอง

หลิงฉินทำหน้าตื่นเต้น เขามองไปที่หลิงหลานรอคอยให้หลิงหลานใจอ่อนลง

“เรื่องราวมีสีสันมากเลยนะครับ…” หลิงหลานจิบชาคำหนึ่ง เอ่ยด้วยความเย็นชาอย่างยิ่งยวดว่า “ผมสนใจช่วงชีวิตสิบเจ็ดปีของคุณในโลกที่ไม่รู้จักมากๆ นั่นเป็นโลกแบบไหนเหรอครับ?” ใครจะไปรู้ว่าหลิงเซียวจะทนความเหงาได้ยากแล้วไปหาผู้หญิงรู้ใจที่นั่นมาอยู่เป็นเพื่อนอะไรทำนองนี้หรือเปล่า ไว้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะให้หลานลั่วเฟิ่งมารดาของเธอออกมาหรือไม่

หลิงเซียวได้ยินคำถามของหลิงหลานก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “นั่นเป็นโลกดึกดำบรรพ์ ไม่มีเทคโนโลยีล้ำยุคของสหพันธรัฐเรา ถึงขนาดที่พูดได้ว่าไม่มียานอวกาศ ไม่มียานบิน และก็ไม่มีหุ่นรบ ตอนที่ฉันลงไปถึงที่นั่น คนพวกนั้นคิดว่าเป็นเทพ…”

“เทพเหรอ?” หลิงหลานเงยหน้ามองไปที่หลิงเซียวทันใด แววตาเย็นเยียบจ้องมองเขาตรงๆ “ผมอยากถามคุณว่า สิบเจ็ดปีมานี้ คุณไม่ได้หาผู้หญิงคนใหม่ที่นั่นใช่ไหม?”

หลิงเซียวได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยด้วยความโกรธขึ้งว่า “นี่จะเป็นไปได้ยังไง ฉันมีแม่ของเธอแล้วนะ”

“คุณเคยพูดเหมือนกันนี่ว่าตอนนั้นคุณเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้หรือเปล่า คุณไม่เคยคิดที่จะสร้างครอบครัวอะไรที่นั่นเลยหรือไงครับ?” หลิงหลานเลิกคิ้วถาม มองออกว่าหลิงหลานไม่ได้เชื่อคำพูดประโยคนี้ของหลิงเซียว

“นอกจากแม่ของเธอแล้ว ฉันไม่ต้องการผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น” หลิงเซียวลุกขึ้นมาโดยพลัน กลิ่นอายอ่อนโยนหายไปแล้ว หลิงเซียวตกอยู่ในความเดือดดาลทำให้เขายากจะควบคุมตัวเองและปล่อยกลิ่นอายครอบงำที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกออกมา “ฉันไม่ใช่คนจิตใจโลเลแน่นอน”

การซักถามของหลิงหลานทำให้หลิงเซียวรู้สึกโดนสบประมาทอย่างไม่ต้องสงสัย สิบเจ็ดปีมานี้ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้หญิงในโลกนั้นมาแสดงความรักต่อเขา แต่ในใจเขาคิดถึงหลานลั่วเฟิ่งรวมไปถึงเด็กในท้องมาตลอด ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธการยั่วยวนทุกอย่างโดยเด็ดขาด พยายามคิดจะกลับมาอย่างสุดความสามารถ ในช่วงเวลาสิบเจ็ดปีมานี้เขาพยายามเพื่อเรื่องนี้มาตลอด ถึงขนาดที่จ่ายค่าตอบแทนไปมากมาย

ถึงแม้ว่าหลิงเซียวจะโมโหมาก แต่เขาก็รู้ว่าที่นี่คือตระกูลหลิงเลยไม่ได้ระเบิดพลังออกมาทั้งหมด เขาเพียงแต่พุ่งเป้าปล่อยใส่หลิงหลานเท่านั้น เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กเวรคนนี้ควรจะถูกสั่งสอนหนักๆ สักยก กล้าดูถูกความรู้สึกซื่อสัตย์ของเขา ไม่เข้าท่ามากเกินไปแล้วจริงๆ

หลิงหลานแค่นเสียงฮึดฮัด เลือดลมที่หน้าอกปั่นป่วนแทบจะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เธอรู้ว่านี่เป็นแรงกดดันที่หลิงเซียวปล่อยออกมาด้วยความโกรธ และก็เป็นผลจากการที่เธอยั่วโทสะเขา แต่ว่าเธอไม่เสียใจเลย พอรู้ว่าหลิงเซียวไม่ได้ทำผิดต่อหลานลั่วเฟิ่ง เธอก็มอบหลานลั่วเฟิ่งให้หลิงเซียวอย่างวางใจได้แล้ว

“หลิงเซียว คุณกล้ามากนะ พอกลับมาก็รังแกพวกเราสองคนแม่ลูกแล้ว?” เสียงกระจ่างใสที่แฝงไปด้วยโทสะดังขึ้นมาจากด้านบน หลิงเซียวได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ในใจพลันรู้สึกยินดี แรงกดดันที่ระเบิดออกมาถูกเก็บขึ้นไปในชั่วพริบตา

“ลั่วเฟิ่ง!” หลิงเซียวเดินขึ้นหน้าไปด้วยความตื่นเต้น ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าหลานลั่วเฟิ่งที่กำลังลงมาตามบันได

 หลานลั่วเฟิ่งปัดมือหลิงเซียวแรงๆ ไม่สนใจคนตรงหน้าเธอ หากแต่เร่งฝีเท้าวิ่งมาหาหลิงหลาน เอ่ยถามสีหน้าเจ็บปวดใจว่า “หลิงหลาน ลูกเป็นยังไงบ้าง? ลูกได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”

หลิงหลานใช้เคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายโคจรภายในร่างกาย หน้าอกที่เดิมทีอึดอัดก็โล่งสบายทันใด นี่เป็นเพราะหลิงเซียวแค่อยากจะสั่งสอนหลิงหลานเท่านั้น ไม่ได้อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บ หลิงเซียวยังคงจดจำได้มั่นว่าร่างกายของหลิงหลานได้รับบาดเจ็บอยู่เลยไม่กล้าใช้แรงมากเกินไป

เมื่อเห็นหลานลั่วเฟิ่งทำท่าจะร้องไห้ หลิงหลานก็ได้แต่เอ่ยปลอบโยนเธอว่า “แม่ครับ ผมไม่เป็นไร!”

เมื่อเห็นลูกรักของตัวเองไม่เป็นไร หลานลั่วเฟิ่งก็คิดจะไปหาตัวการที่เกือบจะทำร้ายลูกสาว เธอเปลี่ยนร่างเป็นอสูรมารดาที่ปกป้องลูกน้อยทันที ก่อนจะพุ่งไปยังตรงหน้าหลิงเซียวด้วยสีหน้าดุดัน จากนั้นก็จิ้มหน้าอกของหลิงเซียวแรงๆ พลางด่าทอว่า “หลิงเซียว คุณมันสารเลว คุณกล้ารังแกลูกฉันเหรอ? คุณคิดว่ารังแกฉันง่ายขนาดนั้นจริงๆ หรือไง?” เธอกล่าวจบก็ม้วนแขนเสื้อตัวเอง แล้วใช้กำปั้นสองข้างทุบหลิงเซียวราวกับตีกลองด้วยความโกรธเกรี้ยว

หลิงเซียวเห็นดังนั้นก็ได้แต่หลบหนีอย่างสุดชีวิต ขอโทษและขอร้องให้ยกโทษให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลานี้เขาไม่มีบุคลิกของนายพลและผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะเลยสักนิดเดียว

หลิงหลานอดหน้ากระตุกไม่ได้ เธอแหงนหน้ามองดูโคมไฟระย้าอันใหญ่ที่ห้อยลงมาจากกลางอากาศ ครุ่นคิดว่าเธอหายไปจากตรงนี้ แสดงท่าทีไม่รู้จักสามีภรรยาคู่นี้ได้หรือเปล่า?

เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงสติของหลิงหลานอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง ผู้ชายที่กุมศีรษะหนีหัวซุกหัวซุนขอร้องให้ยกโทษให้ครั้งแล้วครั้งเล่าคนนั้นยังเป็นคุณพ่อที่อ่อนโยนองอาจรูปงามอย่างหาใดเปรียบอยู่หรือเปล่า? ส่วนผู้หญิงห้าวหาญที่กำลังทุบตีคนอย่างบ้าคลั่งคนนั้นยังเป็นคุณแม่ที่อ่อนโยนราวกับสร้างขึ้นจากน้ำในความทรงจำของเขาอยู่อีกหรือเปล่า? เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบถูกพลิกคว่ำลงมา

………………………………………….

[1] เป็นตัวละครในเรื่องเปาบุ้นจิ้น เขาได้หลอกลวงเบื้องสูงแต่งงานเป็นราชบุตรเขยทั้งๆ ที่เขาแต่งภรรยามีลูกสองคนอยู่ก่อนแล้ว