ตอนที่208 โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่208 โรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ย

จางรุ่ยหัวเราะเย้ยเยาะไล่หลังตามมาติดๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“แกกลัวใช่ไหมล่ะ? กลัวว่าจะแพ้ฉันสินะ?”

ฉีเล่ยปรายตามองกลับไป พร้อมตอบโต้กลับไปด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่ไร้ปราณี

“ผมไม่ได้กลัว! แต่เป็นเพราะระดับชั้นของเราสองคนนั้นห่างไกลกันมาก รอให้ถึงวันที่คุณสามารถขึ้นมายืนเทียบชั้นกับผมได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นล่ะผมจะยอมแข่งกับคุณ”

หากต้องการท้าทายประลองกับบุคคลระดับปรมาจารย์ จำเป็นที่คุณจะต้องเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน

หากบุคคลที่คิดจะแข่งขันกับเขา ยังเป็นเพียงแค่คนที่มีเวลาว่างไปกินอาหารหรูหรา มีเวลาว่างที่จะนั่งแชทกับสาวสวย นี่เรียกว่าเป็นบุคคลที่คู่ควรจะประลองกับเขาแล้วงั้นหรือ?

ทันทีที่ได้ยินคำตอบโต้ของฉีเล่ย จางรุ่ยก็ถึงกับเลือดเดือดขึ้นมาทันที เขาแทบขาดสติและพุ่งเข้าไปชกหน้าฉีเล่ย

ไอ้บ้านี่มันจะหยิ่งผยองอวดดีไปถึงไหน? นี่แกกำลังจะบอกว่า ฉันในตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเทียบชั้นกับแกงั้นเหรอ?

ระหว่างที่จ้องมองแผ่นหลังของฉีเล่ยที่ค่อยๆเดินห่างออกไปนั้น ทั่วทั้งใบหน้าของจางรุ่ยก็เปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้นมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อฉีเล่ยก้าวเดินออกจากประตูหมุนบานหรูของโรงแรม เขาก็เห็นรถBMWของหลี่ถงซีกำลังจะขับออกจากลานจอดรถพอดี เขาจึงรีบวิ่งออกไปพร้อมกับร้องตะโกนเรียกเสียงดัง

“รอด้วย! รอผมด้วย!”

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ยินจริงๆ หรือเป็นเพราะจงใจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ เธอถึงได้เหยียบคันเร่งขับออกไปในทันทีที่เสียงร้องตะโกนของเขาเปล่งออกมา

ฉีเล่ยวิ่งไล่ตามรถBMWของหลี่ถงซีไปนานกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมชะลอความเร็วรถลง

ฉีเล่ยรีบวิ่งตรงเข้าไปคว้ามือจับประตู พร้อมกับเปิดออกและร้องตะโกนถามออกไปทันที

“หูหนวกหรือไง? ผมตะโกนเรียกคุณตั้งนาน ว่างๆไปตรวจรูหูหน่อยนะ”

แต่หลี่ถงซีเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“มีอะไร?”

สีหน้าท่าทางของหญิงสาวยังคงเย็นชาเหมือนน้ำแข็งไม่เปลี่ยนแปลง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีดีที่ความสวยแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าใครเห็นเข้าก็ต้องพากันเดินหนีกันหมดแน่

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นว่า

“ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่าคุณกำลังจะไปไหน?”

“กลับบ้าน”

“อืมม.. งั้นก็ดีเลย วันนี้ผมก็จะกลับบ้านอาวุโสหลี่เหมือนกัน”

พูดจบฉีเล่ยก็กระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับพร้อมกับปิดประตูทันที

หลี่ถงซีปรายหางตามองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยสตาร์ทรถอีกครั้ง และขับออกไปทันที

ระหว่างทาง จู่ๆ ฉีเล่ยก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบสงัดภายในรถ

“ตอนนี้จางรุ่ยกำลังวนเวียนหาเรื่องผมอยู่”

หลี่ถงซีใจเต้นอีกครั้งหนึ่ง เธอทราบดีว่าจางรุ่ยนั้นแอบชอบเธออยู่ เพราะปกติแล้ว ผู้ชายที่ตั้งหน้าตาทำดีกับผู้หญิง แน่นอนว่าย่อมต้องมีเจตนาอื่นแอบแฝงอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าเธอเองก็ค่อนข้างคุ้นชินกับพฤติกรรมที่บรรดาผู้ชายกำลังทำ เธอพบเจอมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว และเธอเองก็จัดให้จางรุ่ยเข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้ชายพวกนั้น หรือก็คือกลุ่มคนที่เธอไม่ให้ความสนใจนั่นเอง

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จู่ๆฉีๆเล่ยก็เอ่ยปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา?

ฉีเล่ยหันไปจ้องมองใบหน้าสวยงามของหลี่ถงซีที่กำลังจดจ่ออยู่กับการขับรถ ในฐานะหญิงสาวในวัย 27ปี เธอแทบไม่เคยใช้เครื่องสำอางอะไรเลย ทำให้ผิวพรรณของเธอมีสุภาพค่อนข้างแข็งแรง อีกทั้งยังขาวเรียบเนียนอย่างมากอีกด้วย

ฉีเล่ยเอนกายพิงเบาะพร้อมกับหลับตานิ่ง เพื่อเป็นการพักผ่อนสายตา ในขณะเดียวกันปากก็พูดต่อไป

“ไม่แน่นะ หมอนั่นอาจต้องการแสดงความสามารถให้คุณเห็น ก็เลยมาท้าทายผมแบบนี้ เขาบอกว่า อยากจะขอดูหน่อยว่าระหว่างแพทย์แผนตะวันออกกับแพทย์แผนตะวันตก ศาสตร์ไหนจะแน่กว่ากัน แต่สุดท้ายผมก็ปฏิเสธเขาไป”

หลี่ถงซีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฉัน?”

“เหอะ เหอะ คุณนั่นล่ะตัวต้นเหตุเลยแหละ! ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอครับ?”

“แต่ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ครับๆ เข้าใจแล้ว! ว่าแต่คังฟานได้ติดต่อมาหาคุณบ้างไหม?”

เดิมทีฉีเล่ยคิดที่จะเล่าเรื่องที่ตนเองไปพบเจอคังฟานที่งานปาร์ตี้ และมีเรื่องขัดแย้งกันขึ้นให้กับหลี่ถงซีฟัง แต่คิดไปคิดมา เขากลับรู้สึกว่าการไม่พูดอะไรเลยน่าจะดีที่สุด แต่ไม่ใช่เพราะกลัวว่าหลี่ถงซีจะคิดมาก แต่เป็นเพราะเขาขี้เกียจไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยอีกแล้ว

“ฉันกับเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน”

หลังจากสัมผัสได้ว่า น้ำเสียงของหลี่ถงซีฟังดูหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ฉีเล่ยก็รีบปิดปากเงียบทันที และแกล้งนอนหลับไป

ความจริงเขาเพียงแค่ต้องการจะทดสอบว่า หลี่ถงซีจะมีทัศนคติ และปฏิกิริยาต่อคังฟานอย่างไรเท่านั้น

การจะรักษาโรคอารมณ์สองขั้วของหลี่ถงซีได้นั้น สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ ทัศนคติของตัวเธอที่มีต่อต้นเหตุ หรือรากเหง้าของปัญหาอย่างคังฟาน

แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ฉีเล่ยไม่รู้เลยก็คือ รากเหง้าของปัญหาที่แท้จริงของหลี่ถงซีในครั้งนี้กลับไม่ใช่คังฟาน แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก!

ฉีเล่ยได้รับถ่ายทอดวิชาการแพทย์ปาฏิหาริย์มา ส่งผลให้เขามีความเชี่ยวชาญรอบด้าน

แต่สำหรับเรื่องผู้หญิงและความรักนั้น ฉีเล่ยกลับไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ถึงเขาจะมีภรรยาแล้ว แต่ช่วงชีวิตตลอดแปดปีที่ผ่านมาของนั้นกลับไม่ใช่อะไรที่สวยหรู แต่เป็นความทรมานดุจขุมนรก ดังนั้น การที่เขาไม่เข้าใจเรื่องความรัก และความซับซ้อนของผู้หญิงก็คงจะไม่แปลกอะไร

เมื่อฉีเล่ยกับหลี่ถงซีกลับมาถึงบ้าน หลี่ฮั่วเฉินที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“กลับมากันแล้วเหรอ? แล้วนี่กินอะไรกันมารึยัง? ถ้ายังเดี๋ยวฉันให้คนไปอุ่นให้”

ฉีเล่ยยิ้มตอบกลับไปโดยไม่รอให้หลี่ถงซีตอบ เพราะรู้ดีว่า คงเป็นไปได้แน่นอนที่จะรอให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยปากตอบเป็นคนแรก

“เราสองคนอิ่มกันแล้วครับ”

หลี่ฮั่วเฉินเขยิบถอยถอยออกมา พร้อมกับยกมือขึ้นตบที่เบาะข้างกาย และร้องเรียกฉีเล่ยให้ลงมานั่งด้วย

“กินอิ่มกันมาแล้วก็ดี นี่ฉีเล่ย.. นั่งลงตรงนี้ก่อน ฉันมีบทความอะไรจะให้เธอดู”

ฉีเล่ยนั่งลงด้วยสีหน้าฉงนสงสัย โดยไม่ทราบเลยว่าบทความที่อีกฝ่ายกำลังจะให้ดูมันคือบทความอะไรกันแน่

หลี่ฮั่วเฉินยื่นหนังสือพิมพ์ ‘นักเดินทางแห่งแพทย์แผนจีน’ ในมือให้ฉีเล่ยดู พร้อมกับชี้ไปที่บรรทัดหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมกับพูดสั้นๆว่า

“อ่านตรงนี้สิ”

ฉีเล่ยเลื่อนสายตามองไปตามนิ้วของอีกฝ่าย และเริ่มอ่านบทความประชาสัมพันธ์อย่างเงียบๆ

บทความบรรทัดนั้นเขียนไว้ว่า ‘ชาวจีนจากเมริกากลับมาลงทุนสร้างโรงเรียนแพทย์แผนจีน พร้อมทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ทั้งยังตั้งเป้าที่จะขยายอุตสาหกรรมแพทย์แผนจีนให้กระจายเป็นวงกว้างอีกด้วย…’

หลังจากบทนำแล้ว บทถัดมาก็คือวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายที่เปิดโรงเรียนสอนการแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยขึ้น ทั้งยังมีข้อมูลของแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายท่านรวมอยู่ในนั้น มิหนำซ้ำยังมีการนำเอาบทความที่เขากล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมTCMครั้งล่าสุดใส่ไปในบทความนั้นด้วย

“มันมีปัญหาอะไรเหรอครับ?”

นับเป็นเรื่องดีที่มีชาวจีนกลับจากอเมริกาสนอกสนใจที่จะลงทุนกับอุตสาหกรรมแพทย์แผนจีน เพราะท้ายที่สุด หากพึ่งพาเพียงแค่ความสามารถของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แม้ว่าคนผู้นั้นจะเก่งกาจสักแค่ไหนแต่สุดท้ายย่อมมีขีดจำกัดของตนเอง และฉีเล่ยเองก็ยินดีต้อนรับคนอื่นๆที่มีความรักในศาสตร์แพทย์แผนจีนเช่นกัน

“แต่เท่าที่ฉันอ่านมา ฉันรู้สึกว่าจุดประสงค์ของคนพวกนี้ต้องการจะเปิดโรงเรียนสอนแพทย์แผนจีนเพื่อเก็งกำไรเท่านั้น ถึงได้รวบรวมแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงเข้าด้วยกันมากขนาดนี้ แต่ยังไงก็เถอะ เส้นทางสายนี้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดกันหรอกนะ ขนาดเป่ยฉวนเทียนกับคนอื่นๆที่พยายามกันมาหลายปียังต้องล้มเหลว ถ้าจะพูดถึงเรื่องเก็งกำไรก็ยิ่งแทบไม่ต้องพูดถึงเลย ใครกันที่กล้าลงทุนในอุตสาหกรรมแบบนี้?”

หลี่ฮั่วเฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย

ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นักหรอก แต่เป็นเพราะฉีเล่ยเคยบอกกับเขาว่า กำลังพยายามจะสร้างสมาคมแพทย์แผนจีนขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนว่าความตั้งใจของทั้งสองคนนี้จะคล้ายกัน

แต่อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ที่แท้จริงของโรงเรียนสอนการแพทย์แผนจีนนั้นชัดเจนมากว่า ต้องการสร้างรายได้เข้ามือ แต่ในทางกลับกัน สมาคมการแพทย์แผนจีนของฉีเล่ยจะดูเหมือนเอื้อประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า

แน่นอนว่าลึกๆแล้วที่ฉีเล่ยต้องการจัดตั้งสมาคมขึ้นมานั้น ก็เพื่อเก็งกำไรหารายได้เข้ากระเป๋าเช่นกัน ในท้ายที่สุดนี้ ถ้าปราศจากนายทุนก็ไม่สามารถพัฒนาสมาคมให้อยู่ยั่งยืนได้ แม้สมาคมดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นสำเร็จในสักวัน แต่ก็คงต้องพังพินาศในไม่ช้าหากไม่มีเงินสนับสนุนที่เพียงพอ อาศัยเพียงแค่ฝีมือและชื่อเสียงของเขาคงจะยังไม่สามารถประสบความสำเร็จได้