ภาคที่ 2 บทที่ 182 วัด

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนไม่อยากฉีกหน้าหลี่เชียนต่อหน้าคนนอก ตอนที่นั่งอยู่บนเตียงอรหันต์และปล่อยให้หญิงสองคนนั้นช่วยบิดผมจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเราเพียงแค่ผ่านวัดป่าโอสถ และจู่ๆ ก็อยากเข้ามาดูสักหน่อย จึงล่าช้า ไม่อย่างนั้นก็ถึงบ้านไปตั้งนานแล้ว และก็คงจะไม่เชิญท่านทั้งสองมาช่วยสระผมให้ข้าแล้วเช่นกัน”

หญิงทั้งสองพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี เดี๋ยวก็ชมว่าเสื้อผ้าบนตัวเจียงเซี่ยนสวย เดี๋ยวก็ชมว่าปิ่นปักผมของเจียงเซี่ยนประณีตและงดงาม ทว่าก็แค่ไม่ให้บรรยากาศเงียบจนน่าอึดอัดเท่านั้น ไม่ได้ส่งเสียงเอะอะแต่อย่างใด

คนแบบนี้เจียงเซี่ยนเคยเจอในวังมาไม่น้อย แต่ข้างนอกกลับหายาก

นางจำต้องถอนหายใจที่หลี่เชียนทำงานเก่ง เวลาเพียงเท่านี้ ก็หาคนสองคนที่เข้าสังคมเก่งมากมาได้

ตอนที่หญิงทั้งสองบอกลา เจียงเซี่ยนก็ให้หลิวตงเยว่มอบรางวัล

หลิวตงเยว่อดที่จะดีใจไม่ได้ที่ท่านหญิงถูกหลี่เชียนลักพาตัวออกมาตั้งแต่วันแรกที่ไปหมู่บ้าน เงินตำลึงเงินที่เดิมทีเตรียมไว้ให้รางวัลหญิงรับใช้ในหมู่บ้านจึงยังอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงเสียหน้ามากทีเดียว

แน่นอนว่าหญิงทั้งสองดีใจจนออกนอกหน้า และเอ่ยคำชมอีกเป็นเข่ง ถึงจะถูกปิงเหอพาออกไป

หลี่เชียนพักผ่อนอยู่ที่ห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องหลักกับจงเทียนอี้ ทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิดื่มชาอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง พอเห็นหญิงสองคนถือรางวัลจากห้องหลักผ่านลานกว้างเดินออกไปข้างนอกอย่างดีใจมากผ่านลายฉลุหน้าต่างลายน้ำแข็งแตกที่แยกออกจากกัน จงเทียนอี้ก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้าก็ปล่อยให้ท่านหญิงก่อความวุ่นวายแบบนี้อย่างนั้นหรือ? ข้าว่าไม่นานเจียงลวี่ก็จะตามมา ถึงเวลานั้นจะดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”

“นางก่อความวุ่นวายอย่างไร?” หลี่เชียนดื่มชาอึกหนึ่งอย่างไม่เห็นด้วย และเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เพียงแค่ให้รางวัลนางสองคนนั่นเท่านั้น สำหรับนางนี่เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนที่พวกเราดื่มชาต้องยกฝาถ้วยชาขึ้น ข้ายังต้องใช้ชีวิตกับนางไปชั่วชีวิต ก็ต้องให้นางใช้ชีวิตแบบที่นางรู้สึกสบายอยู่แล้ว ส่วนเจียงลวี่นั้น ข้าไม่มีทางหลบเขาได้ตลอดชีวิต ตระกูลเจียงไม่มีทางให้ข่าวรั่วไหลออกไปก่อนที่จะหาพวกเราเจอหรอก ไว้หาพวกเราเจอและประเมินสถานการณ์แล้ว ถึงจะปล่อยข่าวที่สอดคล้องกันออกไป เจ้าวางใจ เวลานี้มีไม่กี่คนที่รู้ว่าท่านหญิงอยู่กับข้า”

เขาก็อาบน้ำแล้วเช่นกัน จึงเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมที่นักบวชลัทธิเต๋าสวมสองชั้นผ้าไหมหังผิวเรียบสีไผ่เขียวแล้ว และใช้ปิ่นปักผมไม้ไผ่ม้วนผมที่เปียกเล็กน้อยไว้ตามใจชอบ พิงหมอนอิงใบใหญ่พิมพ์ลายผ้าเนื้อหยาบสีฟ้าด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่องจนส่องแสงในห้องข้างที่แสงสลัว

จงเทียนอี้อดที่จะเบ้ปากไม่ได้ และเอ่ยว่า “ท่านหญิงเจียหนานคงจะไม่ได้ชอบรูปโฉมของเจ้าใช่หรือไม่? แต่ผู้ชายมีเพียงหน้าตาจะมีประโยชน์อะไร? อย่างไรก็ต้องอาศัยฝีมือจริงๆ กินข้าวอยู่ดีกระมัง…”

หลี่เชียนอดที่จะหัวเราะไม่ได้ และเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าเจ้านับถือจินเซียวมากไม่ใช่หรือ? เจ้าเคยเจอจินเซียวหรือไม่กันแน่? ตอนนั้นไทฮองไทเฮาเลือกสามีให้ท่านหญิง จินเซียวไม่ได้รับเลือก”

เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน!

จงเทียนอี้อดที่จะตบหน้าผากไม่ได้ และเอ่ยอย่างอยากรู้ว่า “เช่นนั้นท่านหญิงเจียหนานชอบเจ้าตรงไหนกันแน่? เจ้าอย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม้ข้าจะไม่มีความคิดที่สลับซับซ้อนเหมือนน้องชายข้า แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน!”

หลี่เชียนยิ้มแต่ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นสวมรองเท้าโดยเหยียบส้นรองเท้า และเอ่ยว่า “ข้าจะไปดูท่านหญิงสักหน่อย นางน่าจะแต่งตัวเสร็จแล้ว”

จงเทียนอี้ได้ยินก็ลุกขึ้นมาเอ่ยว่า “ข้าไปด้วย!”

หลี่เชียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ก็ได้! หลายปีนี้เจ้าท่องไปทั่วยุทธภพ รู้ข่าวลือและเรื่องราวที่คนใต้หล้าไม่รู้แต่น่าสนใจมากมาย เดี๋ยวเล่าให้นางฟังหน่อย นางจะได้ไม่เบื่อ”

“ที่แท้เจ้าเห็นข้าเป็นนักเล่านิทานหรือ!” จงเทียนอี้ถลึงตาใส่หลี่เชียน ดวงตาโตเท่ากระดิ่งสำริด

หลี่เชียนไม่สนใจสักนิด และเอ่ยว่า “หากไม่เห็นว่าเจ้าเป็นคนคล่องแคล่ว ข้าก็ให้เทียนอวี่ช่วยข้าแล้ว ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนคนแรกของข้าที่จะแนะนำให้ท่านหญิง เจ้าก็ยังปฏิเสธ เช่นนั้นก็พอดี เจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว ข้าคิดว่าจะชวนท่านหญิงไปเดินเล่นที่ถ้ำหินเย็นตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก เจ้าไปช่วยอวิ๋นหลินแล้วกัน เดี๋ยวเขาต้องพาคนไปดูรอบๆ…”

“ใครบอกว่าข้าไม่อยากไป!” จงเทียนอี้เอ่ยกับหลี่เชียนอย่างไม่พอใจว่า “เฮ้” สีหน้าจริงจัง และเอ่ยว่า “พูดตามตรง เทียนอวี่เคารพนับถือเจ้าที่สุดแล้ว หากเขารู้ว่าข้าพาคนมาทำงานให้เจ้า ต้องตามมาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวอย่างแน่นอน ทำไมเจ้าถึงไม่เรียกเขามา?”

หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าฝีมือดีกว่าเทียนอวี่” แล้วลงจากเตียงอุ่นและออกจากห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องหลัก

“หา!” จงเทียนอี้มองม่านประตูที่แกว่งไกวอย่างไม่เข้าใจ และรีบตามออกไป

เจียงเซี่ยนยังสยายผมอยู่ พอได้ยินว่าหลี่เชียนมา และยังให้คนแจ้งว่าพาเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง จึงจำเป็นต้องให้หลิวตงเยว่ช่วยหวีผมให้นาง

ดีที่หลิวตงเยว่แม้จะไม่เคยทำด้วยตนเองทว่าก็เคยเห็นมาจึงพอจะรู้อยู่บ้าง เขามั่วอยู่นานมากในที่สุดก็ม้วนได้มวยหนึ่ง เจียงเซี่ยนถึงไปที่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก

หลี่เชียนกับจงเทียนอี้กำลังนั่งรอนางอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือในห้องโถงใหญ่ พอเห็นนางออกมา หลี่เชียนก็ลุกขึ้นยืน จงเทียนอี้เบะปากและประหลาดใจ ถึงจะลุกขึ้นยืนตาม

ทั้งสองฝ่ายคารวะกัน หลี่เชียนถามเจียงเซี่ยนว่าอยากไปดูถ้ำหินเย็นหรือไม่

เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “วันนี้สายแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปกับใต้เท้าแล้วกัน!”

ไว้หน้าหลี่เชียนมาก

เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ยังต้องอยู่ที่วัดป่าโอสถอีกวันไม่ใช่หรือ

จงเทียนอี้คิดจะเอ่ยปากห้าม ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนยิ้มและตอบแล้วว่า “ได้” และถามเจียงเซี่ยนว่าอยากไปนั่งในลานสักครู่หรือไม่ “…แดดไม่แรง และพระอาทิตย์ก็ไปทางทิศตะวันตกแล้ว ในลานมีค้างองุ่นอยู่ด้วย ใบอ่อนต่างก็ออกมาแล้ว หลายวันนี้ท่านหญิงอยู่ในรถม้าตลอด ตากแดดและสูดอากาศสักหน่อยดีกว่า”

แล้วใครให้นางอยู่แต่ในรถม้าตลอดหลายวันนี้ล่ะ?

เจียงเซี่ยนตำหนิอยู่ในใจ พลางยิ้มและออกจากห้องโถงใหญ่ไปกับหลี่เชียน

ทั้งสามคนนั่งลง ปิงเหอกับหลิวตงเยว่ยกชากับของว่างมาและคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวัง

เวลานี้ความละเอียดรอบคอบของหลิวตงเยว่ก็ปรากฏออกมาแล้ว

ตอนที่ปิงเหอวางถ้วยชาจะเกิดเสียงเครื่องเคลือบกระทบกันอย่างแผ่วเบา และจะวางก็วางเลย

ทว่าหลิวตงเยว่จะวางถ้วยชาตรงที่เจียงเซี่ยนยื่นมือมาก็หยิบได้ ระหว่างเข้าออกไม่มีเสียงดังแม้แต่นิดเดียว และหลุบตาลงต่ำ สายตาไม่เคยจับจ้องใบหน้าของทั้งสามคน แต่หากเจียงเซี่ยนหยุดอยู่กับจานผลไม้หลายอึดใจ เขาก็จะยื่นไม้จิ้มฟันมาทันที เจียงเซี่ยนเพิ่งจะกินผลไม้เสร็จและวางไม้จิ้มฟันลง เขาก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าอุ่นมาทันที…

จงเทียนอี้อยากรู้มากว่าหลิวตงเยว่ทำได้อย่างไร

เขาจ้องหลิวตงเยว่อยู่หลายครั้ง

มองจนหลิวตงเยว่รู้สึกอึดอัด…ในสายตาของคนมากมาย ขันทีเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก

เจียงเซี่ยนรู้สึกโกรธ จึงหัวเราะเยาะและเอ่ยกับจงเทียนอี้ว่า “ไม่ทราบว่าคนรับใช้ของข้าล่วงเกินคุณชายจงตรงไหนหรือ? คุณชายจงถึงต้องจ้องเขาตาไม่กะพริบ คนรับใช้ของข้าไม่มีความสามารถอื่น แต่รับใช้คนไม่เลวทีเดียว ในเมื่อคุณชายจงเป็นคนที่คบหากับใต้เท้าหลี่มาหลายรุ่น คิดว่าตระกูลของคุณชายก็คงเป็นพวกชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยเหมือนกัน หรือว่าอยากให้คนรับใช้ของข้าชี้แนะหญิงรับใช้ในบ้านของคุณชายสักหน่อย?”

นัยน์ตาของจงเทียนอี้ฉายแววโมโห

ท่านหญิงมาจากตระกูลสูงศักดิ์ ต้องบริสุทธิ์ไร้ราคี สุภาพเยือกเย็น ใจกว้าง อ่อนโยน และเป็นแบบอย่างของสตรีในใต้หล้าไม่ใช่หรือ? ทำไมพอเอ่ยปากก็เหน็บแนมและหัวเราะเยาะเขาว่าเป็นคนที่รวยขึ้นมาอย่างกะทันหันแบบนี้

ทว่าเขายังไม่ทันเอ่ยปาก หลี่เชียนก็ยิ้มและเอ่ยกับเจียงเซี่ยนแล้วว่า “เจ้าอย่าสนใจเขาเลย เขาตั้งใจว่าจะเป็นจอมยุทธพเนจรตั้งแต่อายุสิบห้า หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวัน ไม่กี่วันที่เขาอยู่บ้านฉลองปีใหม่ได้นั้น ท่านป้าจงก็ต้องจุดธูปให้พระโพธิสัตว์อีกสองสามดอกแล้ว นี่เขาเห็นหลิวตงเยว่รู้จักกาลเทศะ จึงอิจฉาน่ะ!”

คำพูดนี้ทำให้หลิวตงเยว่เกือบจะน้ำตาไหลออกมา

รู้จักกาลเทศะหรือ!

ในวังไม่รู้ว่ามีขันทีตั้งเท่าไรที่รับใช้เหล่าชนชั้นสูงโดยไม่เคยผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวตลอดชีวิต ก็ไม่ได้รับคำชมแบบนี้เลย

เขารีบก้มหน้าลง กลัวว่าน้ำตาจะทะลักออกมา