ความคึกคักด้านนอกทำให้พวกสวีเม่าซิวพากันรีบร้อนออกมา

“ซิ่วไฉพวกนี้ดื่มเหล้าเยอะเสียจนเมาเพ้อไปแล้วหรือ” สวีปั้งฉุยเบิกตาโพลงพลางพูด

บัณฑิตสามคน คนหนึ่งเอาแต่ชี้ไปที่ป้ายประตู คนหนึ่งวาดมือกลางอากาศ ส่วนอีกคนหนึ่งเดินวนไปมาใต้ป้ายหน้าประตู

ท่าทางครึกครื้นเสียจนผู้คนบนถนนที่เดิมทีหยุดเดิน ลังเลว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ ก็เดินผ่านไปโดยพลัน

“ทำลายการค้าของพวกเราเช่นนี้ ข้าคงต้องเรียกสติพวกเขาคืนมาเสียหน่อย” สวีปั้งฉุยพูดพลางพับแขนเสื้อขึ้น

สวีเม่าซิวถลึงตาใส่เขา

“เข้าไปโม่ถั่วให้ท่านพี่ซุนเสีย” เขาเอ่ย

หลังจากเกลี้ยกล่อมพี่น้องคนอื่นๆ ให้กลับไป เหลือเพียงสวีเม่าซิวและผู้ดูแลร้านที่อยู่หน้าประตู พวกเขายังคงมองดูบัณฑิตทั้งสามที่กำลังครื้นเครงกันอยู่

“ผู้ดูแลร้าน ตัวอักษรเหล่านี้ผู้ใดเป็นคนเขียนกัน” บัณฑิตคนหนึ่งได้สติกลับมา เขาคว้าตัวผู้ดูแลร้านไว้ก่อนจะเอ่ยถาม

ตัวอักษรอย่างนั้นหรือ

ผู้ดูแลร้านและสวีเม่าซิวต่างมองไปยังป้ายประตู

“เจ้าของร้านให้มาน่ะ” ผู้ดูแลร้านเอ่ยพลางหันไปมองสวีเม่าซิว

บัณฑิตสามคนได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองสวีเม่าซิว เห็นเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบหกถึงยี่สิบเจ็ดปีได้ เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียว ดูคล้ายปัญญาชนอยู่เหมือนกัน แต่รูปร่างสูงใหญ่ กระดูกข้อต่อเด่นชัด แถมยังท่าทางอาจหาญแฝงความกร่างอยู่ไม่น้อย

“ท่านเป็นคนเขียนตัวอักษรเหล่านี้หรือ” ทั้งสามคนถามด้วยความประหลาดใจ

ห้าตัวอักษรแห่งวัดเฉี่ยถิงเป็นที่โด่งดังในเมืองหลวง ผู้คนนับไม่ถ้วนแห่ไปเยี่ยมชมทุกวัน จนกระทั่งกลายเป็นสมญานามของวัดเฉี่ยถิง เพียงแต่ผู้เขียนไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ยิ่งทำให้มีมนต์ขลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้า รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย หากบอกว่านี่คือผู้เขียนตัวอักษรทั้งห้า ก็ถือว่าเหมาะสม

“นี่น่ะหรือ” สวีเม่าซิวเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษร ก่อนจะส่ายหัว “ไม่ใช่”

ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ

ทั้งสามมองหน้ากัน

“ตัวอักษรเหล่านี้มีอะไรหรือ” สวีเม่าซิวถามอย่างแคลงใจ

“ตัวอักษรเหล่านี้ยอดเยี่ยมมาก!” ทั้งสามคนพูดพร้อมเพรียงกัน พวกเขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อล้อมสวีเม่าซิวไว้ ท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย “รู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนเขียน ขอเจอได้หรือไม่”

ตัวอักษรเหล่านี้ยอดเยี่ยมเพียงนั้นเชียวหรือ สวีเม่าซิวหันไปมองป้ายประตูอย่างอดไม่ได้

“ขอโทษที ข้าบอกไม่ได้” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด “ส่วนจะเจอได้ไหม ข้าต้องขอไปถามนางถึงจะรู้”

ว่าแล้วว่าต้องรู้จัก! บัณฑิตทั้งสามดีใจมาก

“ได้ ได้ เช่นนั้นรบกวนท่านเจ้าของร้านไปถามให้ที ว่าพวกเรา พวกเรามีโอกาสที่จะได้เจอหรือไม่” พวกเขาเอ่ยก่อนจะคารวะกันอย่างพร้อมเพียง

สวีเม่าซิวรีบคำนับกลับ

“เร็วเข้า เร็วเข้า บอกให้พวกเขาไปเร็ว” ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงรีบขึ้นม้า ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ หนึ่งในนั้นก็หยิบเงินติดตัวออกมาจำนวนหนึ่งและยัดให้กับผู้ดูแลร้าน “จะกล้าเอาเปรียบท่านได้อย่างไรเล่า”

หลังจากพูดจบก็รีบออกไปโดยไม่รอให้ผู้ดูแลร้านพูดต่อ

ผู้ดูแลร้านมองดูเงินเจ็ดแปดเหรียญในมือ รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“ดูท่าทางพวกเขาก็คงช่วยบอกต่อเรือนไท่ผิงของเราโดยไม่ต้องใช้เงินแล้วล่ะ” สวีเม่าซิเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ผู้ดูแลหันกลับไปมองป้ายประตู

“ตัวอักษรสองตัวนี้ใช้ได้ผลกว่าเงินอีกหรือ” เขาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

เฉิงเจียวเหนียงวางพู่กันในมือลง แม่นางเฉินสิบแปดที่อยู่ด้านข้างก็เขียนอีกสองคำก่อนจะเก็บพู่กันเช่นกัน

“แม่นาง ท่านคิดว่าครั้งนี้ข้าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง” นางถามพร้อมกับกางกระดาษตรงหน้าออกมา

เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองครู่หนึ่ง

“แค่คล้ายเท่านั้น” นางกล่าว

แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า

“นั่นก็ไม่เลวแล้ว อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ข้าเขียนไว้ก่อนหน้านี้มาก” นางพูดพลางมองไปที่กระดาษตรงหน้าของเฉิงเจียวเหนียงด้วยความหวัง “เมื่อไรจะเขียนได้ดีเหมือนแม่นางบ้างนะ”

“ฝึกเยอะๆ ” เฉิงเจียงเหนียงเอ่ย

สาวใช้ด้านนอกได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านในก็รู้ว่าการเขียนหนังสือจบลงแล้ว พวกนางจึงนำชาและของว่างเข้ามา เมื่อได้ยินประโยคนั้น ก็พยักหน้าตามอย่างอดไม่ได้

บนฝ่ามือของแม่นางเฉินสิบแปดเต็มไปด้วยรอยด้าน นั่นเป็นเพราะยามที่ไม่ได้จับพู่กัน ก็เอาแต่ฝนหมึกบนโต๊ะอยู่ตลอดเวลา

“ในตอนนี้นอกจากการบ้านที่อาจารย์มอบหมายและงานเย็บปักถักร้อยแล้ว ยังฝึกการเขียนเพิ่มอีกวันละหนึ่งชั่วยามทุกคืน” แม่นางเฉินสิบแปดพูดพร้อมกับมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงด้วยสีหน้าปิติ “ขอเพียงข้าฝึกฝนมากขึ้น ข้าก็เขียนได้ดีเทียบเท่าแม่นางแล้วใช่ไหม”

เฉิงเจียวเหนียงหยิบถ้วยน้ำขึ้นมา ก่อนจะชะงักเล็กน้อย

“ไม่ใช่” นางเอ่ย

แม่นางเฉินสิบแปดตะลึง

“บางทีอาจเป็นพรสวรรค์” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ยกแขนเสื้อขึ้นครึ่งหนึ่งเพื่อบังขณะดื่มน้ำ

แม่นางเฉินสิบแปดมองไปทางนาง นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง

“แม่นาง ท่านช่างเป็นคนซื่อตรงเสียจริง” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไร แม่นางเฉินสิบแปดเองก็รู้ว่านางไม่ชอบพูด ตนจึงยกชาขึ้นมารินก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้อีกครั้ง

“วันที่ยี่สิบเดือนสาม เป็นพิธีแสดงพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ที่วัดผู่ซิว ข้าจองที่นั่งล่วงหน้าไว้แล้ว ถึงเวลาจะชวนแม่นางไปด้วยกัน เทศน์เรื่องพระธรรมและพระไตรปิฎก ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เพียงแต่จำได้ว่าแม่นางบอกว่าชาประจำวัดรสชาติไม่ถูกปาก พระอาจารย์ที่วัดผู่ซิวนั้นเป็นมือหนึ่งเรื่องการหมักชา จึงอยากให้แม่นางไปลองชิมดู” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ได้ ขอบคุณมาก” นางพูด

ตราบใดที่พูดออกมาอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา แม่นางผู้นี้ก็มักจะตอบได้อย่างฉะฉาน แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มพลางยืนขึ้น ก่อนจะขอตัวจากไป

“ขนมเหล่านี้ แม่นางสิบแปดเอาไปให้ตันเหนียงสิเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มพลางยื่นกล่องอาหารให้ “ไม่ใช่ของหวานเลี่ยน

ไม่ต้องกลัวหากกินเยอะเกินไป”

แม่นางเฉินสิบแปดรับและเอ่ยคำขอบคุณ มองดูกล่องอาหารที่ทำขึ้นอย่างประณีตบรรจง บนนั้นมีตราประทับทรงสี่เหลี่ยมสลักอยู่

“ไท่ผิง” นางเอ่ยพึมพำพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบไล้ นี่คือตัวอักษรของเฉิงเจียวเหนียงที่นางคุ้นเคยดี “ความหมายดีเหลือเกิน”

เมื่อส่งแม่นางเฉินสิบแปดแล้ว สาวใช้ก็เก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่อยู่

“แม่นางสิบแปดชิงบอกเสียก่อน ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกนายหญิงเองด้วยซ้ำ ว่าน้ำชาของพระอาจารย์หมิงไห่นั้นดีมาก ถ้วยหนึ่งใช่ว่าจะหาดื่มได้ง่ายๆ มีคนมากมายที่มากราบไหว้พระเพื่อขอดื่มชาจากพระอาจารย์สักถ้วย” นางเอ่ย

เมื่อส่งแม่นางเฉินสิบแปดแล้ว สาวใช้ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินก็มองไปที่สวนดอกไม้ในสวน พลางคุยกับจินเกอร์

จินเกอร์ฟังพร้อมกับกัดฟัน

“ชาหนึ่งถ้วย มีดีเพียงนั้นเชียวหรือ” เขาเอ่ย

“ปั้นฉิน”

เฉิงเจียวเหนียงตะโกนขึ้นภายในห้องอย่างกะทันหัน

เสียงตอบรับสองเสียงดังขึ้นจากในสวน แต่ไม่นานปั้นฉินก็ถอยกลับไปที่ระเบียงและก้มหน้าลงไปเช็ดพื้นต่อ

“นายหญิง มีรับสั่งอะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม

“พวกเราไปร้านกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สาวใช้ตอบรับ

“เช่นนั้นข้าจะไปเช่ารถ” จินเกอร์ขาน ก่อนจะหันกลับแล้ววิ่งออกไปข้างนอก เมื่อเปิดประตูออกจึงเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู

จินเกอร์ตกใจ คนข้างนอกก็ตกใจไม่ต่างกัน

“เจียวเจียวร์” นายใหญ่โจวตะโกนเรียก พร้อมกับก้าวไปข้างหน้าพลางแสร้งส่งเสียงกระแอมอย่างน่าเกรงขาม

จินเกอร์รีบร้อนขวางประตูเอาไว้ นายใหญ่โจวทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง

“นายท่านมาเยือน มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม

“ยืนอยู่หน้าประตูทำไม เข้าไปคุยกันดีกว่า” นายใหญ่โจวเอ่ย

“บังเอิญเสียจริง นายหญิงกำลังจะออกไปข้างนอกพอดีเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดพลางเร่งจินเกอร์ “ไปเช่ารถม้าของตระกูลจางมาสิ”

จินเกอร์ขานรับ เบียดนายใหญ่โจวแล้ววิ่งออกไป

นายใหญ่โจวถูกเบียดจนเซถอยหลัง เฉิงเจียวเหนียงก็เดินออกมา

“จะไปไหนหรือ” เขาถาม

สาวใช้มองเขาพลางอมยิ้ม

“ออกไปเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ” นางพูด

นายใหญ่โจวหัวเราะเจื่อนอยู่ภายในใจ

“ออกไปเดินเล่นบ้างก็ดี ก็ดี” เขาเอ่ยในพลางปรับสีหน้า “เจียวเจียวร์ ที่บ้านได้เชิญช่างฝีมือไป บอกว่าในเวลานี้มันไม่เหมาะกับการซ่อมแซม เลื่อนออกไปตอนฤดูหนาว ป้าสะใภ้ของเจ้าจึงขอให้ข้ามารับเจ้ากลับไป”

สาวใช้จ้องมองเขา เฉิงเจียวเหนียงเบนสายตาไปมองนายใหญ่โจวเช่นกัน

“นายใหญ่ ท่านล้อเล่นหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม

นายใหญ่โจวเองก็คิดว่าเรื่องนี้ช่างน่าขันอยู่เหมือนกัน

บังคับให้กลับมาแล้วก็ไล่ออกไป ผ่านไปพริบตาก็มารับกลับไปอีก ทำอย่างกับคนทั้งตระกูลของตนเป็นดั่งคนจนตรอกโง่เขลา มิปาน

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้

เหตุใดยามเป็นเรื่องของหญิงผู้นี้ ทุกอย่างถึงได้ผิดพลาดติดขัดไปหมด พลิกผันไปมาอยู่ร่ำไป

…………………………………………………………..