ตอนที่ 639 ยากจนจนเสียสติ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

เทพชื่อซีย่อมไม่ยินดีที่จะส่งตัวผานกงสั่วไปเป็นเครื่องเซ่นแก่เขา เขาแค่นเสียง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเก็บรักษามีดปริศนาประหารเทพเอาไว้ก่อน รอรับผลของตัวเจ้าเองเมื่อเจ้าถูกมีดนี่กลืนกินเข้าไปละกัน”

ฉินมู่เก็บกล่อง สายตาเขาวูบวาบ “ในเมื่อผู้อาวุโสชื่อซีเป็นเพชฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉาน และครอบครองสมบัติชิ้นนั้นมาหลายหมื่นปี เจ้าก็น่าจะรู้ว่าจะขจัดความอาฆาตพัวพันของกล่องนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่”

ชื่อซีแทบจะระเบิดออกมาด้วยโทสะ “เจ้าขโมยสมบัติของข้า แต่ก็ยังมีหน้ามาถามข้าถึงวิธีใช้สอยมันอีก? ทำไมเจ้าไม่ปล้นมันไปเสียเลยล่ะ ใช่ เจ้าปล้นมันไปจากข้านี่!”

ฉินมู่มองไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก สายตาของเขาเหมือนจะส่งซิกว่าอยากจะให้เขาอัดชื่อซีให้น่วมอีกครั้ง บังคับเขาให้บอกถึงวิธีการ

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ แต่ก็ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าต่อยตีเขามากจนเกินพอแล้ว ดังนั้นข้าทำซ้ำอีกไม่ได้หรอก อย่างมาก เจ้าก็อย่าใช้มีดที่อยู่ในกล่องตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาวุธอาฆาตเช่นนี้จะยิ่งดุร้ายกระหายเลือดมากขึ้นเมื่อเจ้าป้อนมันมากขึ้นอีก และมันก็จะไม่รู้จักอิ่ม แล้วหากว่าเมื่อใดเจ้าสังหารคนไปหลายคน แต่มันก็ยังไม่รู้สึกอิ่มล่ะ มันก็คงจะดื่มเลือดเจ้าแทน”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ มันเป็นอย่างที่บรรพชนแรกกล่าว ใช้มีดนี้อันตรายอย่างไร้ปานเปรียบจริงๆ สภาสวรรค์แสงฉานใช้อาวุธอาฆาตนี้เพื่อสังหารผู้คน เพราะว่าพวกเขามีเทพเจ้ามากมายที่ถูกส่งตัวขึ้นไปบนแท่นประหารทุกวี่วัน ดังนั้นมีดปริศนาประหารเทพจึงอิ่มอยู่ตลอดเวลา

คำพูดของชื่อซีทำให้เขาหวาดกลัวกล่องเล็กนี่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจจะควบคุมกล่องเล็กนี้ได้โดยสมบูรณ์!

เมื่อครั้งก่อนนั้น ชื่อซีได้ปะทะกับเผ่ามาร และเขาได้รับบาดเจ็บหลังจากการต่อสู้ยกใหญ่กับพวกมัน ผลที่ตามมาก็คือ ปราณและโลหิตของเขาถูกดูดกลืนไปโดยแท่นประหารเทพ และมีดปริศนาประหารเทพ แทบจะคร่าชีวิตกายเนื้อเขาไป เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากปิดผนึกตนเองไว้กลายเป็นศพแห้งซาก

กล่าวได้ว่า แม้ผู้ใช้จะมีวิธีควบคุมมัน แต่มีดอาฆาตนี้ก็ยังคงอันตรายอย่างเหลือแสน

แต่ถึงอย่างไร จะให้ฉินมู่โยนกล่องเล็กนี้ทิ้งไป เขาก็เสียดาย

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปยังชื่อซีและกล่าว “พี่ทางเต๋า พวกเราร่วมเป็นพันธมิตรกันเถอะ เชิญพี่ทางเต๋าร่วมหารือกับกษัตริย์มนุษย์ฉินเพื่อค้นหาทางออกที่สมประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายจะดีหรือไม่”

ชื่อซีมองไปที่ฉินมู่ เขาพลันหวนนึกถึงการที่ฉินมู่วางยาพิษเขาและเล่นตลกกับเขาทุกรูปแบบ “ข้าไม่ร่วมมือกับเจ้าแล้ว ไอ้เด็กนี้มันกลอกกลิ้งเกินไป ถ้าข้าเป็นพันธมิตรกับเขา ข้าต้องเสียเปรียบแน่นอน”

“อาจารย์พูดถูกแล้ว!”

ผานกงสั่วปรากฏตัวจากที่ไกลๆ เขาตะโกนมา “หากว่าท่านไปเป็นพันธมิตรกับเขา ต่อให้ท่านถูกเขาเอาไปขาย ท่านอาจจะยังนั่งนับเงินให้เขาด้วยซ้ำ ข้าเองก็เคยเจอกับเรื่องแบบนั้น!”

ฉินมู่เดือดดาล เขานำกล่องเล็กออกมา ราวกับว่าจะใช้ผานกงสั่วสังเวยคมมีด ชื่อซีกล่าวอย่างเยือกเย็น “หากว่าเจ้าฆ่าเขาไม่ได้ เจ้าก็จะตายแทน”

ฉินมู่ลังเลและซุกกล่องกลับคืน เขาพึมพำ “ข้าได้ต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายกับผู้สูงศักดิ์ ผู้สูงศักดิ์ประดุจพี่น้องของข้า แล้วไฉนข้าจะลงมือกับเขาได้ล่ะ”

ผานกงสั่วไม่อาจระงับโทสะอีกต่อไป “ใครเป็นพี่น้องเจ้า อย่ามาสร้างเรื่องและหมิ่นประมาทข้าแบบนี้!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรู้สึกปวดหัวตุบๆ เขาไม่อยากที่จะเป็นคนกลางเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างทั้งสองฝั่งเลยจริงๆ

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อผู้อาวุโสชื่อซีไม่ต้องการที่จะหารือกับข้า งั้นเจ้าไปหารือกับจักรพรรดิแห่งสันตินิรันดร์จะดีไหม ยุคสมัยปัจจุบันคือยุคสมัยสันตินิรันดร์ และในฐานะทูตจากยุคสมัยแสงฉาน การที่จักรพรรดิจะมาสนทนาหารือกับเจ้าด้วยตนเอง นั่นก็น่าจะเป็นการแสดงความนับถือที่เพียงพอ”

ชื่อซีหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เขาผงกหัว “ก่อนที่ข้าพบจักรพรรดิ เจ้าจะต้องถ่ายทอดวิชาเสกสรรให้กับข้า”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังจะผงกหัวและอ้าปาก แต่เขาก็เห็นฉินมู่ส่ายหัว เขารีบหุบปากทันที

ฉินมู่ประกายตาไหววูบ “ข้าได้ยินว่ามีโอรสเทพแสงฉานอยู่ในยุคสมัยแสงฉาน? พวกเราสามารถปรึกษาหารือเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ ส่วนวิชาเสกสรรนั้น บรรพชนแรกสามารถช่วยดูสหายร่วมเผ่าของเจ้าได้ ดูว่าเขาจะสามารถช่วยพวกเขาให้ฟื้นความทรงจำกลับมาได้หรือไม่ แต่ทว่า ก่อนที่พวกเราจะได้ไปพบโอรสเทพแสงฉาน พวกเราก็ไม่อาจสอนมันให้กับเจ้าได้”

ชื่อซียินยอมอย่างไม่เต็มใจนักและกล่าว “ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว รีบไปพบจักรพรรดินั้นทันทีเถอะ!”

ฉินมู่มองไปยังตึกแสงฉานสยบสวรรค์ และเห็นเทพศาสตราทุกประเภทก่ายกองอยู่ข้างล่าง เขาอุทานกับตนเองด้วยความเสียดาย “หากว่าข้าเข้าไปเลือกหยิบมาสักหน่อยก็คงจะดี อีกอย่าง หากว่าวงแหวนเทวะเสกสรรถูกขับเคลื่อนในทิศตรงกันข้าม มันก็คงจะปิดผนึกกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิม มันเป็นวิธีการที่จะแปลงร่างผู้คนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด หากว่านี่ตกมาอยู่ในมือของข้า มันก็คงจะใช้จัดการกับศัตรูได้ดีทีเดียว…”

วงแหวนเทวะเสกสรรนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปิดผนึกผู้คน แต่ในสายตาของฉินมู่ วัตถุชิ้นนี้จะต้องมีพลานุภาพอันแข็งแกร่งเกินจินตนาการอยู่เป็นแน่ หากว่าเขาขับเคลื่อนวงแหวนเทวะย้อนทิศทาง และฉายอักษรรูนเหล่านั้นบนศัตรู เทพเจ้าธรรมดาตนใดๆ ก็จะต้องถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายและจิตวิญญาณดั้งเดิม แปรเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไร้พิษสง

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ พื้นที่แสดงผลของวงแหวนเทวะนั้นกวาดไปรอบทิศทางในระยะหลายร้อยถึงหนึ่งพันลี้ หากว่านี่ถูกใช้ในสนามรบเทพเจ้า เทพทั้งหมดก็จะกลายเป็นปลาใหญ่และสัตว์ทะเล นี่ก็จะทำให้พวกพ้องของเขาสามารถฆ่าแกงพวกนั้นได้ตามใจ!

นี่คือการใช้สอยอันมหัศจรรย์ของวิชาเสกสรร! ใช้วงแหวนเพียงเพื่อคลายผนึกนั้นเป็นเรื่องเสียเปล่าชัดๆ

เมื่อพวกเราไปถึงเมืองหลวง ข้าก็จะต้องให้จักรพรรดิเอาวงแหวนเทวะนี้มาให้ได้! ฉินมู่คิดในใจ

เมื่อชื่อซีกัดฟันรีดเร้นพลังวัตร ฉินมู่ก็เห็นวงแหวนลอยกลับไปยังตำแหน่งดั้งเดิมในตึกหนึ่งพันชั้น พวกมันฉายแสงล้ำค่าออกมาอย่างเรืองรองและงดงามอีกครั้ง

ชื่อซีจึงกู่ร้องและโคจรพลังวัตรของเขา ตึกเทวะอันสูงร้อยห้าสิบวานี้ก็กลายเป็นเล็กลงๆ จนกระทั่งมันร่วงลงมาในฝ่ามือเขา มันส่องแสงสิบสีสัน และแสงของมันก็เหมือนเส้นสายบางๆ ที่หมุนวนไปรอบๆ

ฉินมู่อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อชื่อซีเรียกผานกงสั่วมา ทุกคนก็ออกไปจากเมืองเทพยดาใต้น้ำ และมุ่งหน้าไปยังสันตินิรันดร์

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและชื่อซีเดินทางได้รวดเร็วอย่างยิ่งยวด ดังนั้นพวกเขาจึงพาผานกงสั่วและฉินมู่เหาะไป พวกเขาเร็วกว่าเรือเหาะเร็วของฟ่านอวิ๋นเซียวหลายเท่า ดูได้จากภูเขามากมายข้างล่างที่เคลื่อนที่ผ่านพวกเขาในพริบตา หลังจากไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเมืองหลวงของสันตินิรันดร์

เดิมทีฉินมู่คอยจ้องหาโอกาสที่จะบูชายัญผานกงสั่วแก่มีด แต่เขาหาโอกาสไม่สำเร็จ

ได้สังหารคนสักจำนวนหนึ่งก็คงจะดี… เด็กหนุ่มลูบคลำกล่องเล็กที่อยู่ในถุงเต๋าตี้ พลางคิดในใจ

ผานกงสั่วใจเต้นตุ้มต่อมตลอดการเดินทาง เขากลัวว่าจู่ๆ ฉินมู่ก็จะกระโดดขึ้นมาและสังหารเขา โชคดีที่ว่า ชื่อซีป้องกันเขาไว้เป็นอย่างดี

เมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลวง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็เหาะลงไปในวังหลวงตรงๆ ฉินมู่เรียกทหารยามมา และให้เขาไปรายงานจักรพรรดิ สักครู่หนึ่งเอี้ยนจือกุยก็รีบเดินออกมามาจากวังด้วยฝีเท้าฉับๆ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “กษัตริย์มนุษย์ฉิน ทุกท่าน ฝ่าบาทได้รอต้อนรับทูตจากยุคสมัยแสงฉานอยู่ในท้องพระโรงแล้ว! โปรดตามข้ามา…”

“ใต้เท้าเอี้ยน เชิญนำทาง” ฉินมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ขณะที่พวกเขาเดินตรงไปยังท้องพระโรง เอี้ยนจือกุยก็หันกลับมามองชื่อซีผู้มีสามเศียรหกกร เขาถามฉินมู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ทูตจากยุคสมัยแสงฉาน? เขามีที่มาอย่างไรหรือ”

“เมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อน ยุคสมัยแสงฉานได้ก่อตั้งสภาสวรรค์ หลังจากที่สภาสวรรค์จมลงไปในทะเลใต้ พวกเขาจำนวนเล็กน้อยก็หนีไป ชื่อซีผู้นี้เป็นเพชฌฆาตแห่งสภาสวรรค์จากยุคสมัยนั้น เขามีกำลังฝีมือระดับเทพเที่ยงแท้หรือไม่ก็เทพสวรรค์”

เอี้ยนจือกุยตกตะลึง

เมื่อพวกเขามาถึงท้องพระโรง พวกเขาก็เห็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ชื่อซีโค้งคารวะเมื่อเข้าไป “ทูตชื่อซีแห่งสภาสวรรค์แสงฉาน น้อมคารวะจ้าวผู้ปกครองแห่งสันตินิรันดร์!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยกมือขึ้นและแย้มยิ้ม “ลุกขึ้นสนทนากันเถิด ในเมื่อเจ้าเป็นทูตจากรัชสมัยก่อนหน้า ข้าก็ไม่ดูดายได้ นำเก้าอี้มาให้เขา”

เขาหันไปหากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและทักทาย “กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ ราชาที่ต่ำต้อยผู้นี้รู้สึกเป็นเกียรตินัก!”

บรรพชนแรกคารวะตอบไป “กษัตริย์มนุษย์นั้นเป็นเพียงนามเรียกหา แต่ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ ไม่มีความจำเป็นต้องสุภาพมากมาย”

“กษัตริย์มนุษย์ เชิญนั่ง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าว

ทหารยามข้างนอกนำเอาเก้าอี้สองตัวมาให้พวกเขา ชื่อซีนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งอันมีผานกงสั่วยืนอยู่ทางฝั่งซ้าย กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็นั่งลงไปเช่นกัน

สายตาของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกลอกไปและตกลงมาที่ฉินมู่ เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนนางฉินที่รัก มาใกล้ๆ ข้าสิ ข้าไม่ได้เห็นเข้ามาตั้งนานแล้ว มาสนทนาข้างๆ ข้า”

ฉินมู่เดินเข้าไปข้างในท้องพระโรง และมายังฝั่งขวาของบัลลังก์มังกร

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาถามฉินมู่ด้วยเสียงเบาราวแมลงหวี่ “เกิดอะไรขึ้น เขามาจากที่ไหน ยุคสมัยแสงฉานคือยุคสมัยใด มันนานแค่ไหนมาแล้ว”

สำนึกรู้ของฉินมู่ส่งคลื่นกระเพื่อมไปอย่างอ่อนโยน เมื่อเขาใช้วิธีการสื่อสารของเผ่าขนนกสวรรค์ เขาอธิบายทุกสิ่งอย่างสังเขป และกล่าวปิดท้าย “ฝ่าบาท ชื่อซีมีเรื่องจะขอร้องพวกเรา พวกเราสามารถขูดรีดเขาให้หมดตัวได้”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงวางใจลงทันที และเขาก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ข้าทราบมานานแล้วว่าสภาสวรรค์แสงฉานได้ล่มลงไปในทะเลใต้ และข้าเองก็รู้สึกเสียดายที่รัชสมัยอันเคยยิ่งใหญ่รุ่งเรืองได้สาบสูญไป ข้ามักจะไปที่ทะเลใต้เพื่อสักการะแก่รุ่นอาวุโสและผู้มาก่อน และแม้แต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะยังมีโอกาสได้พบพานกับยอดฝีมือแห่งยุคสมัยแสงฉานในวันนี้! ท่านที่นับถือชื่อซี เจ้าเป็นอาคันตุกะจากแดนไกล และในเมื่อเจ้าต้องการที่จะร่วมก่อตั้งพันธมิตรกับสันตินิรันดร์ นี่ก็ย่อมเป็นเรื่องดียิ่งสำหรับพวกเรา แต่ทว่าในเมื่อจักรวรรดิสันตินิรันดร์ของข้านั้นอ่อนแอ เรายังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ที่ด้านนอก พวกเรามีเผ่ามารอันก่อความวุ่นวายอยู่ในสวรรค์ไท่หวง และด้านใน เทพเจ้าแห่งสภาสวรรค์ทั้งหลาย ก็พร้อมที่จะฟื้นคืนชีพจากรูปสลักหินได้ในทุกเมื่อ ด้วยความกังวลทั้งนอกและใน จักรวรรดิของข้าก็ย่อมขาดแคลนสมบัติวิเศษสะกดชะตาอย่างแท้จริง…”

ฉินมู่กระแอมไอและกล่าว “ฝ่าบาท สิ่งที่อยู่ในมือของท่านที่นับถือชื่อซีนั้นคือสมบัติแห่งยุคสมัยแสงฉาน มันมีทั้งหมดหนึ่งพันชั้น และมีเทพศาสตรานับล้านห้อยอยู่ที่ชายคา มันเรียกว่าตึกแสงฉานสยบสวรรค์”

ชื่อซีสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ฝ่าบาท ข้าเป็นเพียงทูตคนหนึ่ง และข้ามิได้นำสมบัติล้ำค่าใดมาสำหรับการเยี่ยมเยือนนี้…”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเอียงร่างเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงเบา “ขุนนางฉิน งั้นทูตนี้ก็มิได้นำเครื่องบรรณาการใดมาเพื่อพบข้าเลยหรือ”

ฉินมู่ลังเลเล็กน้อย และกล่าวด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้ดังเกินไปนัก “คนยากจน”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเข้าใจขึ้นมาทันทีและกล่าว “การเป็นพันธมิตรนี้ไม่มีความจริงใจ”

ชื่อซีขมวดคิ้ว และเขาก็กัดฟันกรอด ขณะที่เขากะจะนำเอาตึกแสงฉานสยบสวรรค์ออกมาเป็นเครื่องบรรณาการ ผานกงสั่วก็รีบกระซิบบอก “อาจารย์ อย่าปล่อยให้พวกเขาหลอกท่าน จักรพรรดิผู้นี้และไอ้เด็กแซ่ฉินเป็นคนจำพวกเดียวกัน พวกเขาเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย! อาจารย์อย่าไปเล่นตามเขาก็พอ”

ชื่อซีสะกดกลั้นเอาไว้ เขานำเอาจี้หยกรูปมังกรอันหนึ่งออกมาจากตึกแสงฉานสยบสวรรค์ และกล่าว “เครื่องกำนัลเล็กน้อยแด่ฝ่าบาท!”

ขุนนางท้องพระโรงถือมันไปข้างหน้าและมอบแก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง เมื่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตรวจตราดูจี้หยก มันก็แยกตัวออกเป็นจี้หยกหกอัน ซึ่งแปลงร่างเป็นมังกรแท้หกตัว และหลังจากที่มันร่ายรำในอากาศเสร็จ พวกมันก็เข้าไปม้วนพันรอบๆ เสาหกต้น

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงปีติยินดีอย่างเหลือล้น ฉินมู่รีบกระตุกฉลองพระองค์มังกรของเขา พลางยัดกระดาษพับให้ เขากล่าวด้วยเสียงเบา “ฝ่าบาท นั่นเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในทะเลเท่านั้น! ข้าได้เขียนรายการสิ่งของ และฝ่าบาทสามารถใช้รายการนี้เพื่อเจรจาต่อรองได้”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลอบเปิดโพยกระดาษนั้น และดวงตาเขาก็เบิกกว้าง “ขุนนางฉิน นี่น่ะหรือคนยากจน ต่อให้เจ้าเอาจักรวรรดิสันตินิรันดร์ของข้าไปขาย ข้าก็ไม่มีสมบัติมั่งคั่งขนาดนั้น!”

ต่อให้เขาเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจหนาวเหน็บเมื่อเห็นรายการสิ่งของเหล่านั้น

“ทูตเดินทางมาไกล ดังนั้นเชิญท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจัดแจงตนเองและกล่าว “ส่วนเรื่องรายละเอียดของการเป็นพันธมิตรกันนั้น ใต้เท้าเอี้ยนจือกุยจะเป็นผู้ทำหน้าที่เจรจา เลิกสภาได้” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็รีบเดินกลับเข้าไปข้างหลังโถงวัง เขาหันกลับไป กวักมือเรียกฉินมู่อย่างร้อนใจ เรียกให้เขาตามมา

ฉินมู่ตามเขาไป เมื่อพวกเขามาถึงข้างหลังท้องพระโรง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ยกเสื้อคลุมมังกรและกระทืบเท้า “ร่ำรวยอะไรขนาดนั้น”

ฉินมู่รีบกล่าว “เดี๋ยวก็จนแล้ว”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยกไม้ยกมือเต้นรำพลางหัวเราะร่า “ราชครูไปสู้ศึกที่สวรรค์ไท่หวง และเขาก็ขูดท้องพระคลังข้าไปจนเกลี้ยงเกลา ในที่สุดเงินทองก็ไหลกลับมาเข้ามา!”

ฉินมู่อ้าปากค้าง ดูท่าจักรพรรดิคงยากจนจนเสียสติไปแล้ว…ข้าสงสัยจริงว่าลัทธินักบุญสวรรค์พอจะมีเงินทองอยู่ไหม พวกเราควรปล่อยเงินทองไหลไปทางเขาบ้างจะดีไหม