ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นยะเยือก หนานกงเยี่ยคลี่ยิ้ม พยายามทำลายน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นมา “ฉู่หนิงซยา อย่าโกรธผมเลยนะครับ หืม?” น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังปลอบใจเด็ก “ความรักที่ผมมีต่อเหลิ่งรั่วปิง มันแผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูกของผม ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่การที่ไม่มีเธอมันทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ” แววตาลุ่มลึกมีน้ำใสๆ ก่อตัวขึ้น “นอกจากหน้าตาของคุณแล้ว ทุกอย่างของคุณเหมือนกับเธอมาก ผมไม่อาจปล่อยตัวคุณไปได้ในตอนนี้ คุณให้เวลาผมสามเดือนนะครับ ให้หัวใจที่ว่างเปล่าของผมได้สงบลง หลังจากสามเดือนผ่านไป ถ้าคุณอยากจะไปจากผม ผมจะไม่รั้งคุณเอาไว้ ถึงเวลานั้นต่อให้ผมจะเป็นหรือตายก็ไม่ต้องสนใจผม นะครับ?”
เวลาสามเดือน จะว่ายาวนานก็ยาวนาน จะว่าสั้นก็สั้น เขาอยากใช้เวลาสามเดือน เพื่อที่จะเอาชนะใจเธอกลับมา เขาโลภแล้วขอเวลาเธอมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะเธอเป็นผู้หญิงดื้อดึง ความอดทนของเหลิ่งรั่วปิงไม่มีวันมากเกินกว่าสามเดือน
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ เขาบอกว่าถ้าไม่มีเธอเขาไม่รู้จะมีชีวิตอย่างไร เธอนึกถึงกระเพาะของเขา เพื่อเธอแล้วเขาทรมานตนเองจนร่างกายตกอยู่ในสภาพอิดโรยไปหมด ทั้งยังป่วยอีกด้วย หลังจากใจเย็นลงแล้ว เธอรู้สึกสงสารเขา
หนานกงเยี่ยลูบจับใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ นิ้วที่อบอุ่นจับเธอด้วยความทะนุถนอม ราวกับกลัวว่ามันจะแตกสลาย “ฉู่หนิงซยา สามเดือนนี้ ผมจะไม่ทำอะไรคุณ ขอแค่คุณไม่ต้องเจอหน้าไซ่ตี้จวิ้นอีก ได้ไหมครับ”
สัมผัสที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ทำให้หัวใจของเหลิ่งรั่วปิงสั่นเทาเล็กน้อย เธอเคยอาลัยอาวรณ์และอยากจะได้ความอบอุ่นจากเขา แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าร้องขอมันอีกแล้ว เหลิ่งรั่วปิงเลี่ยงตัวจากสัมผัสของเขาด้วยความลำบาก เธอก้มหน้าลง ผมสั้นประบ่าร่วงหล่นลงมา บดบังใบหน้าของเธอไปกว่าครึ่ง
มือของหนานกงเยี่ยหยุดชะงัก ค่อยๆ ดึงมือกลับมา เขามองดูแววตาที่มองลงต่ำของเธอ รู้ว่าเธอต้องการเวลาในการคิดพิจารณา
เหลิ่งรั่วปิงกำลังคิดพิจารณาจริงๆ ความรักที่หนานกงเยี่ยมีต่อเธอทำให้เธอปวดใจ อีกทั้งอาการป่วยของเขา เธอวางใจลงไม่ได้ เธอเองก็รู้ดีว่า ด้วยนิสัยเผด็จการของเขา ถ้าตอนนี้เธอยืนกรานที่จะเจอกับไซ่ตี้จวิ้น เขาต้องฆ่าไซ่ตี้จวิ้นอย่างแน่นอน
บางที พวกเขาสามคนควรจะให้เวลากันและกันสามเดือน เธออยู่กับหนานกงเยี่ย ช่วยให้เขาลืมเหลิ่งรั่วปิง และระหว่างที่ห่างจากไซ่ตี้จวิ้นสามเดือน ปล่อยไซ่ตี้จวิ้นคิดให้ดี สรุปแล้วเธอเหมาะสมกับเขาหรือเปล่า
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นมา มองลึกเข้าไปในแววตาของหนานกงเยี่ย “ได้ค่ะ สามเดือน”
หัวใจของหนานกงเยี่ยเปี่ยมล้นด้วยคลื่นแห่งความสุข ดวงตาสีดำและขาวเป็นประกายชัดเจนมีคลื่นกำลังเต้นรำ มุมปากยกขึ้นอย่างมีความสุข “ครับสามเดือน”
“หวังว่าคุณจะรักษาคำพูดนะคะ”
“ผมจะรักษาคำพูดครับ”
“ฉันขอโทรคุยกับไซ่ตี้จวิ้นหน่อยนะคะ”
“ได้ครับ งั้นผมลงจากรถ”พูดจบ หนานกงเยี่ยเปิดประตูแล้วลงจากรถอย่างรวดเร็ว เขาปิดประตูรถลงเบาๆ เขารู้จักนิสัยของเหลิ่งรั่วปิงเป็นอย่างดี เธอตกลงแล้วก็ไม่มีวันผิดคำพูด เธอต้องการคุยกับไซ่ตี้จวิ้นให้ชัดเจน เช่นนั้นเขาก็จะให้เวลากับเธอ
ลงจากรถ หนานกงเยี่ยเดินตรงไปด้านหน้า อิงตัวลงกับราวข้างถนนพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด พ่นควันออกไปอย่างมีสง่า แววตาอ่อนโยนจ้องมองไปยังเหลิ่งรั่วปิงที่อยู่ในรถยนต์
เหลิ่งรั่วปิงหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกดโทรหาไซ่ตี้จวิ้น
หลังจากปลายสายรับสาย ทั้งสองฝ่ายเงียบอยู่นาน ลมหายใจของไซ่ตี้จวิ้นบางเบา แม้จะมีหูฟังกั้นกลางเอาไว้ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา
“คุณไซ่ตี้จวิ้นคะ คุณไม่มีอะไรอยากจะพูดกับฉันเหรอคะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
ไซ่ตี้จวิ้นถอนหายใจ “ให้ผมพูดอะไรครับ โทษตัวเองที่ไม่มีความสามารถเหรอครับ” รักษาผู้หญิงของตนเองเอาไว้ไม่ได้ เป็นความอับอายที่สุดของผู้ชาย เขาคือไซ่ตี้จวิ้น แบกรับทั้งตระกูลไซ่เอาไว้ เขาทำอะไรตามความต้องการของตนเองไม่ได้ และไม่อาจสู้ได้
“คุณไซ่ตี้จวิ้น ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนครั้งที่แล้วที่เมืองเฟิ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของคุณ” เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดจะโทษเขาแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเธอรู้สึกผิดต่อไซ่ตี้จวิ้น “ฉันอยากให้คุณคิดดูให้ดีอีกครั้ง ฉันเหมาะสมกับคุณจริงๆ หรือเปล่า ฉันเป็นผู้หญิงที่มีแต่ปัญหามากมาย การที่คุณอยู่กับฉันรังแต่จะทำให้คุณเดือดร้อน ดังนั้น…” เม้มริมฝีปาก พูดประโยคสุดท้ายออกมา “ฉันหวังว่าคุณจะยอมปล่อยมือค่ะ”
“…” ไซ่ตี้จวิ้นเงียบอยู่นาน แล้วพูดขึ้นช้าๆ “คุณจะกลับไปอยู่กับเขาเหรอครับ”
“ไม่ถือว่าเป็นการกลับไปค่ะ” ขนตางอนยาวของเหลิ่งรั่วปิงไหวขึ้นเล็กน้อย เธอมองไปยังหนานกงเยี่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลรอบตัวโอบล้อมด้วยควันบุหรี่ “ฉันจะอยู่กับเขาสามเดือน ในฐานะตัวแทน เพื่อช่วยให้เขาเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่แสนเจ็บปวด หลังจากสามเดือนผ่านไป โปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลงก็ใกล้จะออกแบบเสร็จพอดี แล้วฉันจะไปจากที่นี่ค่ะ แต่ว่า..” เงียบไปสองวินาที ถอนหายใจเบาๆ “คุณไซ่ตี้จวิ้นคะ ฉันอยากให้เราเป็นเพื่อนกันต่อไปนะคะ เวลาสามเดือนนี้ ฉันอยากให้คุณลองคิดดูให้ดี”
ไซ่ตี้จวิ้นรู้ นี่เป็นแผนการยื้อเวลาของหนานกงเยี่ย หนานกงเยี่ยไม่มีวันปล่อยเหลิ่งรั่วปิงให้เป็นอิสระอย่างแน่นอน สามเดือน เพียงพอให้เขาทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจเธอ ไซ่ตี้จวิ้นถอนหายใจเบาๆ “ครับ”
คำว่า ”ครับ” คำนี้ สำหรับเหลิ่งรั่วปิง คือการคิดพิจาณา แต่สำหรับไซ่ตี้จวิ้น กลับเป็นการบอกลา เขารู้ สุดท้ายเขาก็ต้องเสียเธอไป งานหมั้นที่ได้มาจากการฝืนใจ สุดท้ายย่อมไม่อาจจบลงด้วยดี อีกทั้งยังจบลงด้วยความรีบร้อนแบบนี้อีกด้วย
สุดท้ายสิ่งที่เหลืออยู่ คล้ายจะมีแค่คำว่า “ตลก” คำนี้เพียงคำเดียว
เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงวางสาย หนานกงเยี่ยดับบุหรี่ เดินกลับไปที่รถ ยิ้มอ่อนโยน “อยากกินอะไรครับ ผมจะพาคุณไปกินข้าว?”
เหลิ่งรั่วปิงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า เอ่ยพูดเสียงเรียบ “ในเมื่อคุณขอร้องให้ฉันเป็นตัวแทนของเธอสามเดือน ถ้าอย่างนั้นฉันมีสิทธิ์ในการพูดใช่ไหมคะ”
ใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงเยี่ยที่อยู่ตรงหน้า คล้ายจะแผ่ความอ่อนโยนออกมา ปะทะเข้ากับหน้าของเธอ “แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์ในการพูด ถ้าคุณพูดหนึ่งผมต้องไม่ไปสองอย่างแน่นอน คุณชอบพระจันทร์ผมไม่มีวันชอบดวงดาวแน่นอน หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น สบตากับเขา รู้สึกเหมือนกำลังจะหลอมละลาย “สูบบุหรี่ไม่ดีต่อกระเพาะ คุณเลิกสูบไม่ได้เหรอคะ”
หนานกงเยี่ยชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาลุ่มลึกมากกว่าเดิม “ครับ ผมจะเชื่อฟังคุณ” เขานึกว่าเธอจะพูดเงื่อนไขอะไรเสียอีก แต่เธอกลับเป็นห่วงเขา หัวใจของเขาถูกมืออบอุ่นโอบกอดเอาไว้ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ได้รับการปลอบโยนที่อบอุ่น
“เรากลับวิลล่าหย่าเก๋อกันเถอะครับ ผมให้แม่บ้านเตรียมอาหารที่คุณชอบเอาไว้”
หนานกงเยี่ยสตาร์ตรถแล้วขับออกไป เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ปฏิเสธ เขาบอกแล้วว่าจะไม่ทำอะไรเธอ เธอเชื่อว่าเขาทำได้ กลับไปวิลล่าหย่าเก๋อ สำหรับเธอแล้ว เป็นการทดสอบ เมื่อไรที่เธอทำทุกอย่างที่นั่นให้เป็นเรื่องปกติได้ ก็หมายความว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว ถูกต้อง หลังจากสามเดือนผ่านไป เขาจะอยู่หรือตาย เธอจะไม่ถามสารทุกข์สุกดิบของเขาอีก
ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงกลับมาที่เมืองหลง นี่เป็นครั้งที่สองที่หนานกงเยี่ยพาเธอกลับมาวิลล่าหย่าเก๋อ พ่อบ้านและสาวใช้ต่างดีใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ผู้หญิงตรงหน้าจะเป็นคุณฉู่ไม่ใช่คุณเหลิ่ง ทว่าตั้งแต่คุณชายเยี่ยพาเธอกลับมา คุณชายดูอารมณ์ดีขึ้นมาก อีกทั้งวันนี้คุณชายเยี่ยยังประกาศอีกว่าหลังจากวันนี้เธอจะพักอยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋อ ดูท่าคุณชายเยี่ยจะเจอคนที่แทนที่ความรู้สึกแล้ว
ทำตามคำสั่งของหนานกงเยี่ย แม่บ้านทั้งสามเริ่มทำอาหารในห้องครัว อาหารที่พวกเธอทำทั้งหมดล้วนเป็นอาหารที่เมื่อก่อนเหลิ่งรั่วปิงชอบกิน ระหว่างทำอาหารก็ซุบซิบพูดคุยกันเสียงเบา
“ดูเหมือนคุณชายเยี่ยจะดีกับคุณฉู่มาก”
“อื้ม แววตาที่มองเธอก็เหมือนกับแววตาที่มองคุณเหลิ่ง”
“ถึงแม้คุณฉู่จะหน้าตาไม่เหมือนคุณเหลิ่ง แต่บุคลิกของเธอเหมือนกับคุณเหลิ่งมาก”
“ใช่แล้ว แม้แต่อาหารที่ชอบกินก็ยังเหมือนกัน เธอดูสิ อาหารที่คุณชายเยี่ยสั่งให้พวกเราทำ เป็นอาหารที่คุณเหลิ่งชอบกินทั้งนั้น”
“ดูท่า คุณชายเยี่ยหาตัวแทนมาแทนที่คุณเหลิ่ง”
“ชู่ อย่าพูดเหลวไหล ระวังเดี๋ยวคุณชายเยี่ยได้ยินเข้า พวกเราซวยแน่”
พาเหลิ่งรั่วปิงกลับมาวิลล่าหย่าเก๋ออีกครั้ง หนานกงเยี่ยดีใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้หัวใจของเธอจะไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อย่างน้อยตัวเธอก็กลับมาแล้ว เขาต้องการเพียงเวลาเพื่อเอาชนะใจเธอ มองดูเธอเดินไปมาในห้อง สวมเสื้อผ้าที่เธอเคยใส่ แม้แต่สวมรองเท้าใส่ในบ้านที่เธอเคยสวม ทำให้หัวใจของเขาถูกเติมจนเต็ม
หลายเดือนที่เธอจากไป วิลล่าหลังนี้ราวกับบ้านผีสิง ไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว เหมือนว่าวิลล่าทั้งหลังอบอวลด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ ความหนาวเย็นถูกขับออกนอกหน้าต่างไปจนหมด
เหลิ่งรั่วปิงมองดูของทุกอย่างในวิลล่าที่ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย โดยเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ที่เธอเคยใช้ ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ภายในใจของเธอรู้สึกสบายใจ ใส่เสื้อผ้าที่เธอเคยใส่ในอดีตอย่างเป็นธรรมชาติ ของที่เมื่อก่อนเคยใช้ เธอไม่รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นฉู่หนิงซยา แต่เธอเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น เป็นเพียงตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิง ถ้าอย่างนั้นการใช้ข้าวของเครื่องใช้ของเหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ระหว่างรอมื้อดึก เหลิ่งรั่วปิงหยิบกรรไกรขึ้นมา ตัดแต่งใบไม้ที่อยู่ในกระถางตรงระเบียงห้องนอน แววตานิ่งสงบราวกับนางฟ้า
หนานกงเยี่ยเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน มือทั้งสองล้วงกระเป๋า เอียงศีรษะพิงขอบหน้าต่าง แววตาของเขาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น “คุณเอาแต่จ้องฉันแบบนี้ อยากให้ฉันตัดโดนมือตัวเองใช่ไหมคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มบางเบา “ผมแค่ดู ไม่ได้พูดอะไร ส่งผลกระทบต่อคุณด้วยเหรอครับ”
“หรือว่าคุณหนานกงชอบให้คนอื่นจ้องคะ”
“ถ้าคนคนนั้นเป็นคุณ ผมชอบมากครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก กลอกตามองบนให้กับหนานกงเยี่ย แล้วก้มหน้าลงตัดแต่งดอกไม้ใบไม้ของเธอ เธอลืมไปได้อย่างไร ผู้ชายคนนี้นอกจากเผด็จการแล้วยังชอบพูดให้คนอื่นคิดไปไกล
เธอทำหน้ามุ่ยแบบนี้ เป็นอะไรที่สวยมากจริงๆ เหมือนกับหนึ่งในสี่หญิงงามของจีนที่แม้จะป่วยแต่ก็ยังคงสวยเหมือนภาพวาด หนานกงเยี่ยมองดูเธอราวกับกำลังลิ้มรสไวน์ชั้นดี แทบจะหลงใหลจนเมามาย ภาพของเธอในตอนนี้ เขาไม่ได้เห็นมานานเท่าไรแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเดินเข้าใกล้ความสุข
เพราะประตูในห้องไม่ได้ปิด ตอนที่พ่อบ้านเดินเข้ามาจึงเห็นภาพที่งดงามนี้ หญิงสาวก้มลงตัดแต่งดอกไม้ ชายหนุ่มมองดูด้วยแววตาอ่อนโยน ดอกไม้สวย แต่หญิงสาวสวยยิ่งกว่า ภาพทิวทัศน์ในตอนกลางคืนชวนหลงใหล แต่ชายหนุ่มชวนหลงใหลยิ่งกว่า จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้คือคุณเหลิ่ง
พ่อบ้านไม่อยากที่จะรบกวน จึงทำได้เพียงยืนรอที่ประตูเงียบๆ หลังจากเหลิ่งรั่วปิงตัดแต่งดอกไม้กระถางสุดท้ายเสร็จ จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณชายเยี่ยครับ คุณฉู่ครับ อาหารค่ำเรียบร้อยแล้วครับ”
หนานกงเยี่ยละสายตาไปจากเหลิ่งรั่วปิงด้วยความอาลัยอาวรณ์ หันไปบอกพ่อบ้าน “ตั้งโต๊ะเถอะ พวกผมกำลังจะลงไป”