บทที่ 157 เพื่อนเล่นในตอนเด็ก มิตรภาพในตอนนี้

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

“ให้ตายเถอะ ผู้อำนวยการหลู คุณไม่เห็นเหรอครับ? ไอ้ลูกเต่านี่มันลงมือทำร้ายผม…” หวางจื้อลี่โกรธจนดิ้นพล่าน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ต่อหน้าหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินจะยังกล้าลงมือทำร้ายตนเองอีก ทำให้โกรธจนแทบกระอักเลือด

แต่ว่า เขาใช้ดวงตาอันแดงก่ำทั้งสองจ้องมองเย่เทียนเฉิน คำพูดยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ตบจนหัวชนกำแพงแตกมีเลือดไหลออกมาในทันที เขากรีดร้องอย่างอนาถและด่ากราด เหมือนกับหมูที่ถูกตี

“ผู้อำนวยการหลู ผมทำร้ายคนอีกแล้ว แล้วยังตบจนหัวแตกด้วย จับผมสิครับ?” เย่เทียนเฉินยิ้มมองหลูเซิ่งต๋าแล้วพูดขึ้น

“นี่…นี่…สหายเย่ล้อเล่นแล้ว สั่งสอนสวะแบบนี้ คุณไม่ต้องลงมือหรอกครับ ผมเองก็อดไม่ไหวอยากที่จะลงมือเหมือนกัน!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มอันกระอักกระอ่วน

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มึนงง มองอย่างโง่งมไปแล้ว มองฉากนี้อย่างไม่อยากที่จะเชื่อสายตาตนเอง เดิมทีคิดว่าหวางจื้อลี่เชิญหลูเซิ่งต๋าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงมา ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็จะต้องถูกจับไปและไม่กล้ามีปัญหากับหวางจื้อลี่อีก ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะตบหน้าหวางจื้อลี่อีกครั้งต่อหน้าหลูเซิ่งต๋า แล้วครั้งนี้ยังรุนแรงยิ่งกว่าการตบก่อนหน้านี้ ทำให้หวางจื้อลี่หัวแตกเลือดไหล

คนจำนวนมากคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องจบสิ้นแล้ว จะต้องตายอย่างแน่นอน แม้ว่าหวางจื้อลี่กับหลูเซิ่งต๋าจะมีความสนิทสนมกันหรือไม่ แต่ทำร้ายคนอื่นต่อหน้าผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะ ต่อให้จะเป็นการแสร้งทำ ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะคนนี้ก็จะต้องจับคนร้ายไป ไหนเลยจะรู้ว่า หลูเซิ่งต๋าไม่เพียงแต่ไม่จับเย่เทียนเฉินไป แต่ยังมีท่าทางเข้าข้างเย่เทียนเฉินอีกด้วย ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เกาหัวอย่างงุนงง

“ผู้อำนวยการหลู ทำไมคุณไม่จับคนร้ายไปล่ะครับ?” หวางจื้อลี่ใช้มือซ้ายกุมหน้าผากของตนที่มีเลือดไหลออกมา เปิดปากพูดอย่างดุดัน

“หุบปาก หากคุณพูดจามั่วซั่วอีกประโยคเดียว ใครก็ช่วยคุณไม่ได้แล้ว!” หลูเซิ่งต๋าพูดกับหวางจื้อลี่เสียงขรึม

“ผู้อำนวยการหลู นี่คุณ…”

หวางจื้อลี่เองก็รู้สึกงุนงง หลูเซิ่งต๋าที่สมคบกับเขามาโดยตลอด วันนี้ทำไมถึงได้เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งได้? ในยามปกติทั้งสองต่างก็ทำงานร่วมกัน ใช้อำนาจและผลประโยชน์จากหน้าที่การงานของแต่ละคนในการคอรัปชั่น เคยรู้จักกันเพราะแลกเปลี่ยนศึกษาด้านการเล่นไพ่ด้วยกัน สุดท้ายจึงกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันเหมือนพี่น้อง ขอเพียงแค่หวางจื้อลี่มีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ ก็จะไปหาหลูเซิ่งต๋า แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายด้านผลประโยชน์นี้ก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ใครก็รู้ถึงหลักการนี้ดี เมื่อตำรวจออกหน้าจะมีสักกี่คนที่ยังกล้าไม่ไว้หน้า ไม่ยอมถอยให้สักหลายส่วน?

ในครั้งนี้ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง ก่อนจะมาหลูเซิ่งต๋าตอบรับเขาเต็มปาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ก็จะจับไปที่สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะก่อนค่อยว่ากัน นี่เป็นวิธีการจัดการที่เขาถนัด แต่คาดไม่ถึงว่า เมื่อหลูเซิ่งต๋าพบเย่เทียนเฉิน จะหงอลงโดยสิ้นเชิง กระทั่งคำพูดจาใหญ่โตก็ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว นี่ทำให้หวางจื้อลี่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ จนถึงตอนนี้เขาถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าไปแล้วสองครั้งจนสติแจ่มชัดขึ้นไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ มีฐานะอะไรกันแน่? ขนาดหลูเซิ่งต๋าก็ยังหวาดกลัวแบบนี้ คงจะไม่ใช่ลูกหลานของข้าราชการระดับสูงหรอกนะ?

“รีบขอโทษสิครับ คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?” หลูเซิ่งต๋ามองหวางจื้อลี่ปราดหนึ่ง จะอย่างไรเขาก็คิดจะช่วยหวางจื้อลี่ เขาทนมองหวางจื้อลี่หาเรื่องเย่เทียนเฉินแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว หากว่าอีกฝ่ายโกรธขึ้นมา คนคนนี้อาจจะต้องตายจริงๆ ก็เป็นได้

“ใคร?” หวางจื้อลี่อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้น

“เย่เทียนเฉิน คุณชายใหญ่เย่!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

เมื่อได้ยินชื่อเย่เทียนเฉิน นอกจากสาวสวยทั้งสองอย่างเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นที่ไม่รู้เรื่องราวจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว แต่หวางจื้อลี่ตลอดจนหมอทั้งสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายที่ตามหลังหลูเซิ่งต๋ามาด้วย ทั้งหมดต่างก็สูดหายใจเย็นยะเยือก

ระยะนี้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการและกลับเมืองมา เรื่องทุกอย่างที่กระทำเรื่องไหนบ้างที่ไม่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวงหรือกระทั่งทั้งประเทศ? โดยเฉพาะภายในคืนเดียว สามารถทำให้ตระกูลฉินและตระกูลลั่วซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ทั้งสองตระกูลนี้ตกต่ำลงได้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เกือบจะเลือนหายไปจากผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวง เรื่องแบบนี้เกรงว่าคนที่สามารถทำได้ ทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเพียงไม่กี่คน

อัดฉินเทาหยวน ฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โมโหจนตาย ฆ่าล้างตระกูลลั่วทั้งตระกูล เรื่องเหล่านี้เย่เทียนเฉินยังกล้าทำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรองผู้อำนวยการตัวเล็กๆ ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแบบหวางจื้อลี่เลย? นี่ทำให้หลูเซิ่งต๋าแอบรู้สึกว่าหวางจื้อลี่โชคดีอยู่ในใจ หาเรื่องเย่เทียนเฉินแล้วยังไม่ถูกคนคนนี้ฆ่าตาย ยังสามารถพูดว่าไม่โชคดีได้อีกหรือ?

“ยะ เย่ คุณก็คือเย่เทียนเฉิน?” หวางจื้อลี่ตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก

“ไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่หรอกนะ เป็นปู่ของแกฉันรู้สึกเศร้าใจมาก!” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

เสียงพลั่กดังขึ้น หวางจื้อลี่คุกเข่าอยู่บนพื้นในทันที โขกหัวให้เย่เทียนเฉินอย่างตกใจไม่หยุดพลางพูดขอโทษ “ขะ ขะ ขอโทษครับคุณชายใหญ่เย่ ผะ ผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นคุณ ขอโทษครับ ขอโทษครับ…”

“ผู้อำนวยการหลู คนแบบนี้ถ้าไม่จับขังคุกสักหลายปี คงจะทำร้ายคนมากกว่านี้ คุณดูแล้วไปจัดการเถอะ!” เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าปราดนึงแล้วพูดขึ้น

“ครับๆ พวกแกสองคนยังจะตะลึงอะไรกันอยู่ จับหวางจื้อลี่กลับไปให้ฉันซะ แล้วก็ยังมีหมอสองคนนี้ก็จับไปด้วย…” หลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมา จึงตะโกนไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่ตามหลังมาด้วยเสียงอันดัง

เหตุการณ์นี้จะเหมือนละครเกินไปแล้ว เดิมทีหวางจื้อลี่คิดว่าเชิญหลูเซิ่งต๋าที่เป็นที่พึ่งของเขามา จะสามารถเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่าหลูเซิ่งต๋าจะไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าเย่เทียนเฉินเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งยังทำตัวเคารพนอบน้อม สุดท้ายกลับเป็นหวางจื้อลี่เองที่ถูกจับไป ทำให้ผู้คนร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้มากจริงๆ

แน่นอนว่า หวางจื้อลี่ที่ถูกจับขึ้นรถตำรวจไป ในใจไม่เพียงไม่เกรงกลัว กลับผ่อนคลายลงมากด้วยซ้ำ ต้องทราบว่าเขาเองก็ได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมาก่อน คนคนนี้ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน หากว่าโมโหขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เขามีเก้าชีวิตก็ไม่พอ ตอนนี้ถูกจับไปที่สถานีตำรวจ จะมากจะน้อยก็นับว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว

เมื่อเห็นว่าหวางจื้อลี่และหมออีกสองคนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้องของตนจับขึ้นรถตำรวจไปแล้ว หลูเซิ่งต๋าก็พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “สหายเย่ ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมก็ขอตัวไปก่อนนะครับ ไม่รบกวนคุณแล้ว!”

“อืม ลำบากผู้อำนวยการหลูแล้ว หวังว่าวิธีการที่พวกเราจะได้เจอกันครั้งหน้าจะเป็นมิตรมากกว่านี้สักหน่อยนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่…ขอโทษด้วยครับ ขอโทษครับๆ!”

หลูเซิ่งต๋าเองก็เดินหงอออกไป เกรงว่าจุดจบของหวางจื้อลี่และหมออีกสองคนจะไม่ดีสักเท่าไหร่ หลูเซิ่งต๋าไม่กล้าล่วงเกินเย่เทียนเฉินอย่างเด็ดขาด ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่มีอำนาจอะไร อีกทั้งตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงไปแล้ว แต่เมืองหลวงในตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องตระกูลเย่ตามใจชอบ ไม่กล้าหาเรื่องเย่เทียนเฉินตามใจชอบอีก ขนาดเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วที่ก่อเรื่องออกมาใหญ่หลวงขนาดนี้ สุดท้ายคลื่นลมอะไรแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี คนที่ฉลาดอยู่บ้างต่างก็สามารถวิเคราะห์อะไรบางอย่างออกมาได้ ไหนเลยจะกล้าบุ่มบ่ามกดขี่เย่เทียนเฉินอีก เป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง

“สาวสวยทั้งสองคนนี้ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ อย่าให้เวลายืดเยื้อออกไปอีกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ มองหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาที่กำลังจ้องมองมาทางตนเองอย่างตกตะลึงอยู่

“นาย…นายสนิทสนมกับผู้อำนวยการหลูเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างตกใจในทันทีที่ได้สติกลับมา

“จะบอกว่าสนิทก็คงไม่สนิท จะบอกว่าไม่สนิทก็ไม่สนิท จะสนิทหรือไม่สนิทก็แบบนั้นแหละ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยักไหล่

“นายนี่ ยังกล้ามาทำเป็นไก๋ต่อหน้าฉันอีก พูดลิ้นพันกันไปหมดแล้วล่ะสิ?” หลิงอวี่สวิ๋นใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

ไม่ว่าจะอย่างไร เย่เทียนเฉินก็ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขามีความรู้สึกที่ทำให้คนอื่นมองไม่ออก ในตอนที่เหลาะแหละก็ทำตัวเหมือนอันธพาล ตอนที่เอาจริงเอาจังขึ้นมาก็มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเสน่ห์อันมาดแมนของผู้ชาย เป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่กล่าวไม่ได้ว่า เย่เทียนเฉินทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกใจเต้นอย่างรุนแรง

ส่วนเสี้ยวหยานั้น เธอไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น แล้วก็ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มี เพียงแต่ในส่วนลึกของจิตใจของเธอ ได้ขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งสองคนเป็นคนที่อยู่กันคนละโลก เย่เทียนเฉินสามารถกระทำตัวเปิดเผยไปได้ทุกที่ แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง สามารถได้รับความช่วยเหลือจากเขาก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าคาดหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินอีก!

ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินถูกหลิงอวี่สวิ๋นทรมานจนทนไม่ไหว ผู้หญิงคนนี้ถามไปถามมา คิดจะถามถึงสาเหตุ ถามว่าทำไมตนเองถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ มีฝีมือเปลี่ยนไปเป็นเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อกวนจนเย่เทียนเฉินแทบจะรำคาญใจจนตาย

ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเดินไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งได้ หลังจากที่สั่งอาหารมา เย่เทียนเฉินก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ หลีกเลี่ยงจากการไล่ถามของหลิงอวี่สวิ๋น เสี้ยวหยาก็หัวเราะออกมาเป็นระยะ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กคู่นี้ ช่างน่าสนใจมากจริงๆ หากจะพูดถึงชาติตระกูล หลิงอวี่สวิ๋นเป็นคนที่มีชาติตระกูลดีที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งสามคน เย่เทียนเฉินรองลงมาและหลิงอวี่สวิ๋นอยู่รั้งท้าย แต่เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนก็ไม่ได้วางมาดอะไรเลย ไม่ได้เป็นคุณหนูคุณชายที่หยิ่งยโสประเภทนั้น กลับกันในตอนที่ก่อกวนขึ้นมาก็สามารถทำให้รู้สึกใกล้ชิด นี่ทำให้เสี้ยวหยาถูกหลอมรวมไปไม่น้อย อารมณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา

“น้องหยาเอ๋อร์ เธอต้องช่วยพี่จับเย่เทียนเฉินนะ จะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว พวกเราสองคนต้องร่วมมือกันถึงจะสำเร็จ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดขึ้น ยู่ปากเล็กๆ แล้วมองไปยังทิศทางที่เย่เทียนเฉินเดินไปห้องน้ำ

“พี่อวี่สวิ๋น หนูคิดว่าความสัมพันธ์ของพี่กับเทียนเฉินไม่เลวเลยนะคะ ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ก็ยังสามารถหยอกล้อกันได้เหมือนตอนเด็กๆ หาได้ยากมากจริงๆ เลยค่ะ!” เสี้ยวหยาพูดยิ้มๆ

“นั่นน่ะสิ น้องหยาเอ๋อร์ เธอไม่รู้ว่าเจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้ ตอนเด็กๆ เคยฉี่รดที่นอน…”

หลิงอวี่สวิ๋นเล่าให้เสี้ยวหยาฟังอย่างเมามัน เล่าเรื่องน่าอายตอนเด็กๆ ของเย่เทียนเฉิน ยิ่งเล่าก็ยิ่งเบิกบานใจ เสี้ยวหยาได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โดยที่ไม่รู้ตัวเย่เทียนเฉินก็ได้เดินมาถึงข้างหลังของพวกเธอแล้ว แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็ยังเล่าเรื่องน่าอายของเย่เทียนเฉินอย่างออกรส เย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังของเธอได้ฟังก็ทำหน้าเอือมระอา

“หลิงอวี่สวิ๋น ยัยขี้มูกโป่ง ยังมีหน้ามาพูดถึงฉันอีก ตอนเด็กๆ ชอบเอาน้ำมูกไหลย้อยของเธอมาป้ายฉัน แอบป้ายอยู่ที่หลังของฉัน…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินที่อยู่ด้านหลังของหลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาเสียงดัง

“อา!” เสียงดังปักเกิดขึ้น ก้นของหลิงอวี่สวิ๋นตกจากเก้าอี้กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ก้นงอนงามพลันเกิดความเจ็บปวดขึ้น…