เหลือเพียงแค่ศึกแย่งชิง 10 อันดับแรกเท่านั้น ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น นี่น่าจะเป็นตอนที่ท้าทายที่สุดแล้ว
“ทุกท่าน ศึกการจัดอันดับครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่อันดับแรกไล่ลงมายังคงเป็นลำดับที่ 1-10 มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่เก่งที่สุดเท่านั้นถึงจะได้ดำรงตำแหน่งที่ทรงเกียรตินั้น นี่เป็นศึกครั้งสุดท้ายของการจัดลำดับรายชื่อแล้ว ทุกท่านสู้ๆ” หุ่นเชิดร่างหญิงสาวปรากฏตัวแล้วพูดขึ้น
“ในเมื่อมาถึงด่านสุดท้ายแล้ว ข้าก็เป็นอันดับหนึ่งมาตลอด คงไม่มีเหตุอะไรให้ต้องมาพลาดในด่านนี้” หลิวหลีมองตำแหน่งสูงสุดอย่างมุ่งมั่น
“ในที่สุดก็มาถึงรอบสุดท้ายถูกโยมหลงกดมานานขนาดนี้ ข้าก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ” หยวนเจินพนมมือ มองตำแหน่งบนสุดอย่างมุ่งมั่นเช่นกัน
“ในที่สุดก็มาถึงด่านนี้แล้ว ข้าว่าพวกเขาจะต้องร่วมมือกันจัดการกับหลิวหลีแน่ นังหนูท่าไม่ดีแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนวิเคราะห์ด้วยความกังวลใจ
“ในที่สุดก็มาถึงด่านนี้ ควรร่วมมือกันจัดการคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหลงหลิวหลีทิ้งไปเสียก่อน แล้วค่อยมาสู้กันเพื่อแย่งชิงอันดับหนึ่ง” เฟยเผิงเองก็คิดเช่นนี้ แต่กลับไม่คิว่าผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์และมารจะไม่อยากร่วมมือกับผู้บำเพ็ญอสูรอย่างเขา
“สงครามแย่งชิงสิบอันดับแรก หนานกงเวิ่นเทียนจะต้องอยู่กับหลงหลิวหลีแน่นอน ข้าคงต้องยอมลดตัวลงไปหาพันธมิตรก่อน” เยี่ยซิงขวงมองหนานกงเวิ่นเทียนกับหลงหลิวหลีอย่างหวาดกลัว ด่านที่สองเขาถูกหนานกงเวิ่นเทียนบีบให้ต้องใช้โล่โลหิต ช่างน่าอับอาย หนำซ้ำแค่หนานกงเวิ่นเทียนคนเดียวยังขนาดนี้ นี่ยังมีหลงหลิวหลีอีก ได้ยินมาว่านางแข็งแกร่งกว่าหนานกงเวิ่นเทียนเสียอีก ย่อมต้องรับมือยากมากขึ้นไปอีก เขาคงจะไม่สามารถครองอันดับหนึ่งได้แน่ แต่ถ้าร่วมมือกันกำจัดหนานกงเวิ่นเทียนกับหลงหลิวหลี อันดับของตัวเองก็อาจจะดูดีขึ้นมาอีกหน่อย
“ศึกการแย่งชิงสิบอันดับแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ต้องแบ่งออกเป็นสองฝ่ายแน่ ข้าควรจะอยู่ฝ่ายไหนดี ก่อนจะออกมา ผู้อาวุโสได้ทำนายไว้ว่าข้าจะได้อันดับ 5 หรือไม่ก็ 6 ข้าควรจะเอาหน้าเสียหน่อย อย่างไรเสียในอนาคตหลงหลิวหลีก็จะเป็นคนมีชื่อเสียงไปทั่วหล้าแน่นอน” ตวนมู่เหยาพูดขึ้นพลางโยนเหรียญเล่น
“ศึกการจัดอันดับกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ข้ากงเพียวเพียวรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง แม้จะอยากแย่งชิงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ความจริงบอกข้าว่า ความคิดนี้ของข้าเป็นเรื่องเพ้อฝัน ทว่าเมื่อเห็นหลงหลิวหลีนั่งอยู่บนตำแหน่งอันดับหนึ่ง ข้าก็ทำใจยอมไม่ได้” กงเพียวเพียวย่อมรับรู้ความต่างระหว่างตนเองกับห้าอันดับแรกอย่างชัดเจน ความต่างนั้นไม่ใช่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกอย่างความสามารถของหลิวหลีโดดเด่นอย่างอย่างไร้ขีดจำกัด นางไม่ชอบขี้หน้าหลงหลิวหลี ดูแล้วนางคงจะต้องผูกมิตรกับคนอื่นเพื่อจัดการหลิวหลี ส่วนหลังจากนั้นจะแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างไรค่อยว่ากัน
“ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้ ดูตำแหน่งอันดับหนึ่งแล้วรู้สึกดีจริงๆ แต่คาดว่าเขาในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนังหนูแน่ พยายามให้เต็มที่ก็แล้วกัน” หยวนเทียนให้กำลังใจตัวเอง
“อมิตาพุทธ อาตมารู้ความสามารถของตัวเองดี เมื่อเลือกตำแหน่งของตัวเอง แล้วกลับไปพยายามบำเพ็ญเพียรเพิ่มเติมก็แล้วกัน” พระเทียนซินดูจากอันดับของตัวเองในครั้งก่อนจึงยอมรับในอันดับตนเอง ไม่เคยนึกถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตามมา นางไม่เข้าไปยุ่งจะช่วยให้นางไม่ต้องวุ่นวาย
“จนที่สุดก็มาถึงด่านสุดท้ายสักที หากร่วมมือกับองค์ชายเยี่ยซิงขวง น่าจะกำจัดคนไปได้หลายคน อันดับของตนเองกับองค์ชายก็คงจะเลื่อนขึ้นได้” หงอวี้ยังมีความคิดแบบเดิมๆ คิดว่ามารก็คือมาร มารจะต้องอยู่กับมารด้วยกันเท่านั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ธรรมะกับอธรรมไม่อยู่ร่วมกัน นางไม่เคยคิดจะไปรวมกลุ่มกับคนอื่น และไม่คิดด้วยว่าใต้เท้าเยี่ยซิงขวงจะไปรวมกลุ่มกับคนอื่น
เมื่อคำว่า ‘เริ่มต้น’ ดังขึ้น ทุกคนต่างแยกไปอยู่กับฝ่ายตัวเอง หยวนเทียนกับพระเทียนซินที่พอใจในอันดับที่ได้ก่อนนี้ ไม่คิดจะทำอะไรอีก ผลพบว่ามีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่เดินตรงไปนั่งตรงอันดับ 8 และ 9 ส่วนคนที่เหลือยืนประจันหน้ากันราวกองทัพสองกองทัพ
“อ้าว ตวนมู่เหยา เจ้ายืนผิดฝั่งหรือเปล่า” หลิวหลีเลิกคิ้วมองตวนมู่เหยาที่ไม่ได้สนิทสนมกันนัก เขาควรไปยืนในฝั่งตรงข้ามไม่ใช่หรือ หลิวหลีนึกว่าตนเองไม่สนิทกับคนผู้นี้ แถมยังปิดประตูไม่ต้อนรับเขาอีก
“เอ่อ ข้ายืนตรงนี้ไม่ผิดแน่ ข้ารู้ดีในโหราศาสตร์ คิดว่าอยู่กับสหายหลงน่าจะดีกว่า” ตวนมู่เหยาพูดโกหกตาไม่กระพริบ ที่นี่ดูไม่ออกด้วยซ้ำว่ากลางวันหรือกลางคืน จะใช้โหราศาสตร์ได้อย่างไร แต่คนผู้นี้น่าจะรู้อะไรบางอย่างแน่ เพียงแต่เขาไม่พูดเท่านั้นเอง
“อมิตาพุทธ โยมหลง โยมได้ครองอันดับหนึ่งมาหลายด่านแล้ว ตำแหน่งนี้สุดท้ายควรจะเปลี่ยนคนได้แล้ว” หยวนเจินประสานมือพลางกล่าว
“นักบวชละแล้วซึ่งประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือ ไม่ได้มีความรู้สึกต่อสิ่งของภายนอก ในฐานะที่ท่านเป็นนักบวช แถมยังเป็นบุตรของพุทธองค์ แต่กลับเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเช่นนี้ ไต้ซือ อาจารย์ของท่านรู้หรือไม่?” หลิวหลีมองดูไต้ซือหยวนเจินพูดทวงความยุติธรรมอย่างสงสัย ทำไมถึงได้ดูปลอมแบบนี้นะ
“ข้ามาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับวัด พระพุทธองค์ไม่ว่าอะไรอย่างแน่นอน” หยวนเจินเล่นลิ้น
“ไต้ซือ ทุกชีวิตคือบุปผา ล้วนมีโลกของตัวเอง ทุกชีวิตคือใบไม้ ล้วนมีชีวิตของตัวเอง เมื่อดอกไม้ล่วงโรย ใบไม้เหี่ยวเฉา ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับคืนสู่ธรรมชาติ” หลิวหลีพูดออกมาทีละประโยค คำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่หลิวหลีชอบเมื่อชาติที่แล้ว เพียงแต่ว่าแต่ก่อนได้ยินเพียงแค่ “ทุกชีวิตคือบุปผา มีโลกของตัวเอง แต่สุดท้ายทุกชีวิตจะกลับคืนสู่ธรรมชาติ” แต่เพราะนางชอบก็เลยไปหาฉบับเต็มในไป๋ตู้ จำได้ค่อนข้างชัดเจน พูดจนหยวนเจินถึงกับตกใจน้อย ๆ โยมหลงเข้าใจเรื่องหลักสัจธรรมด้วยหรือ พระเทียนซินซึ่งเป็นอันดับที่ 9 ที่ทรุดตัวลงนั่งแล้วก็สัมผัสได้เช่นกัน
“อ้าว นี่ข้าถือว่าผิดต่อคนในใต้หล้าหรือไม่นะ เหอะๆ ผู้บำเพ็ญอสูร ผู้บำเพ็ญมาร นักบวชสายพุทธ นักบวชสายเต๋ารวมตัวเป็นพันธมิตรกัน” หลิวหลีจัดการหยวนเจินได้แล้ว เขากำลังติดอยู่กับคำพูดของหลิวหลี เมื่อมองคนที่เหลือ นางก็เริ่มพูดจายั่วยุ
“หลงหลิวหลี เจ้าเลิกพูดเอาดีเข้าตัวได้แล้ว ถึงเจ้าจะอัจฉริยะมากแล้วจะอย่างไร จะขวางพวกเราที่เป็นพันธมิตรกันได้หรือ” เยี่ยซิงขวงกล่าว ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าหลิวหลีกำลังยั่วยุให้พวกเขาแตกแยก ขอแค่พวกเขาไม่หลงกลก็พอแล้ว
“อืม พันธมิตรของพวกเจ้าเหมือนจะไม่ธรรมดาเลยนะ อสูรตนนั้นคือเฟยเผิงใช่หรือไม่ ร่างเดิมคือครุฑปีกทอง อสูรเทพระดับสุดยอด ร่างกายแข็งแกร่ง บินได้รวดเร็ว ข้าสนใจจริงๆ” คำพูดของหลิวหลีทำให้หน้าของเฟยเผิงเปลี่ยนสี พลังบำเพ็ญเพียรของคนผู้นี้อยู่ในช่วงไหนกันแน่ เหตุใดจึงมองเห็นร่างเดิมของตนเอง
“ข้าค่อนข้างชอบอสูรเทพ ไม่อย่างนั้นเจ้าเลือกตำแหน่งแล้วนั่งลงไปก็ได้ ข้าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน” หลิวหลียื่นข้อเสนอ
หน้าเฟยเผิงเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ในใจสับสน หลิวหลียิ้มร่า เพียงแต่จู่ๆบนตัวนางก็มีพลังอสูรเทพบรรพกาลปรากฏขึ้น
“เจ้าเป็นคนหรือว่าเป็นอสูรเทพกันแน่ เหตุใดจึงมีพลังอำนาจของอสูรเทพที่แรงกล้าเช่นนี้” เฟยเผิงขมวดคิ้วมองหลิวหลี แล้วพูดขึ้น
“เป็นคนสิ คนสกุลหลง ทุกคนต่างรู้ดี” หลิวหลีแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เฟยเผิงเองก็สับสน เพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงมีพลังของอสูรเทพ
“เทพเหมันต์ กงเพียวเพียว เย็นชาอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าข้าน่าจะหลอมละลายเจ้าได้ เจ้าเองก็น่าจะรู้ ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอัคคี อัคคีแต่ละชนิดที่เล่นก็มีแต่ของชั้นยอดทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นธาตุที่แตกต่างกัน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะลองใช้มันกับข้า”หลิวหลีมองดูเทพเหมันต์จอมปลอมกงเพียวเพียวที่ข้างๆ และเอ่ยปากพูดจนหน้าเย็นชาของกงเพียวเพียวแทบจะพังทลาย หลงหลิวหลีพูดถูก หลงหลิวหลีฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ ต้องพิชิตเพลิงอัคคีเท่านั้นจึงจะบรรลุช่วงได้ พลังบำเพ็ญเพียรของหลงหลิวหลีในตอนนี้ต้องพิชิตเพลิงอัคคีไปแล้ว 6 ชนิดเป็นอย่างน้อย ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ตามแต่ ตนเองก็คงจะรับมือไม่ไหวแน่ อีกอย่างหลงหลิวหลีพิเศษกว่านั้น เพลิงอัคคีที่นางพิชิตมีแทบจะครบทุกธาตุ นางไม่พอใจเลยจริงๆ
ส่วนผู้บำเพ็ญมาร หลิวหลีนั้นคร้านจะมอง คร้านจะคุยด้วย เดิมทีก็เป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่มีอย่างอื่นอีก
เมื่อเห็นดูหลิวหลีที่ใช้คำพูดยั่วยุพันธมิตร ถึงจะไม่แตกคอกัน แต่ก็ไม่ให้ความร่วมมือ ตวนมู่เหยาโชคดีที่ไม่ได้เลือกฝั่งผิด ที่ยังไม่ทันได้เริ่มสู้ก็เละเพียงเพราะลมปากหลิวหลี
หนานกงเวิ่นเทียนปิดปากเงียบ เพียงแต่ตั้งท่าป้องกัน เห็นนังหนูใช้ยั่วยุคนเหล่านั้นให้แตกกัน ก็มองนางด้วยแววตาเอ็นดู นังหนูยังคงสุดยอดเหมือนเดิม
ผู้ชมที่ดูอยู่รอบๆตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าหลงหลิวหลีไม่เพียงแต่มีพลังบำเพ็ญเพียรที่โดดเด่น แล้วยังมีฝีปากเป็นอาวุธอีกด้วย ยังไม่ทันได้เริ่มต่อสู้กัน ก็ยั่วยุคนพวกนั้นจนใจไม่เป็นสุข แผนเดิมที่วางไว้ก่อนหน้านั้นหายไปราวกับอากาศ
ฮัวจิงเฟยปาดเหงื่อที่ไม่มีจริงบนหน้าผาก เขารู้อยู่แล้วว่าฝีปากของหลงหลิวหลีไม่ธรรมดา จะหาเรื่องรวมกลุ่มกันทำไม ตอนนี้คงอยากร้องไห้แล้วล่ะสิ
หลงเสี่ยวเสี่ยวยื่นปาก ไม่รู้มาก่อนเลยว่าท่านพี่จะฝีปากดีเช่นนี้ คนกลุ่มนี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก อยู่ๆเสี่ยวเสี่ยวก็สงสารคนฝั่งตรงข้ามท่านพี่ของนางมาตงิดๆมีเรื่องกับใครไม่มี ดันมามีเรื่องกับท่านพี่ นี่มันหาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ
ชิงหลวนมองหลิวหลีอย่างชื่นชม นางพยายามคาดเดาร่างเดิมของเฟยเผิงมาตลอดแต่ต้นแบบของนางกลับพูดได้ในทันที สุดยอดจริงๆ
“หลงหลิวหลีอายุยังไม่มาก เหตุใดจึงรู้กระทั่งเรื่องหลักธรรมด้วย”
“สายตาก็แหลมคมเช่นกัน เพียงครู่เดียวก็มองเห็นร่างเดิมของเฟยเผิง ข้าเดามาตั้งนาน แต่ที่เดามาก็ผิดหมดเลย”
“หลงหลิวหลีเกรงขามยิ่งนัก เทพเหมันต์เจอเข้ากับยอดฝีมือด้านอัคคี น้ำแข็งล้วนหรือจะสู้เพลิงไฟได้”
“ท้ายที่สุดสิจึงน่าสนใจ นางไม่สนใจเผ่ามารเลยด้วยซ้ำ เจ้าเห็นสีหน้าของเผ่ามารสองคนนั้นหรือไม่ สีหน้าย่ำแย่จนน่ากลัว”
“เหอะๆ หลงหลิวหลี เจ้านี่ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นทุกที” เยี่ยซิงหวงมองหลงหลิวหลีอย่างสนอกสนใจ ดูสีหน้าพี่ชายเขาสิ ช่างน่าตื่นตาจริง ๆ
…………………………………