ตอนที่ 164 คำขอที่ยุ่งเหยิง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

นี่มันงิ้วฉากใดกัน

 

 

โจวเสาจิ่นถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างเยือกเย็น เพื่อหลบหลีกฮูหยินอู๋

 

 

ฮูหยินอู๋อึ้งไปเล็กน้อย ดวงหน้ามีความขัดเขินสายหนึ่งวาบผ่าน หันไปกล่าวยิ้มๆ กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “เสาจิ่นกลับมาแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน อีกสองวันจะกลับมาเยี่ยมท่านใหม่นะเจ้าคะ!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยกยิ้มพลางตอบว่า “ได้” โดยไม่ได้รั้งนางเอาไว้ แต่ออกไปส่งนางที่ประตูเรือนเจียซู่ด้วยตนเอง โดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง

 

 

โจวเสาจิ่นกระซิบถามท่านยายว่า “ฮูหยินอู๋มาทำไมหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองโจวเสาจิ่นอย่างมีนัยครั้งหนึ่ง ยิ้มพลางกล่าวว่า “บอกว่าใต้เท้าอู๋ปรารถนาจะยกคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ให้เป็นภรรยาคนที่สองของนายท่านสามตระกูลหลิวผู้เป็นพ่อหม้าย คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ไม่ยินยอม คัดค้านหัวชนฝา ซ้ำยังยุยงให้คุณชายใหญ่อู๋ไปตีนายท่านหลิว ทว่าตระกูลหลิวหาได้เกรงกลัว คุณชายใหญ่ตระกูลอู๋ไม่เพียงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในทางกลับกันยังถูกคนของตระกูลหลิวซ้อมจนต้องนอนติดเตียง ตระกูลหลิวยังไม่ยอมหยุดเพียงเท่านั้น กล่าวว่าจะไปฟ้องร้องใต้เท้าอู๋ถึงเมืองหลวง เรื่องแต่งงานนี้จึงเป็นอันล้มเลิกไป แต่ใต้เท้าอู๋กับคุณหนูใหญ่และคุณชายใหญ่ตระกูลอู๋กลับมาคิดบัญชีนี้กับนางแทน ใต้เท้าอู๋โทษว่านางไม่อบรมสั่งสอนคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ให้ดี ส่วนคุณหนูใหญ่กับคุณชายใหญ่ตระกูลอู๋กลับกล่าวหาว่านางแอบไปคุยเรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ลับหลังใต้เท้าอู๋ ตอนนี้นางถูกกล่าวหาจากทั้งภายนอกและภายในเสมือนไม่ใช่คน แม้แต่ที่ให้เอ่ยอธิบายสักที่หนึ่งก็ไม่มี คิดไปคิดมา จึงได้แต่วิ่งมาร่ำไห้ต่อหน้าข้าผู้เป็นป้าคนหนึ่ง”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสามตระกูลหลิวที่ว่า คือตระกูลหลิวแห่งถนนกวนเจียที่ผู้คนเรียกกันว่า ‘จวนดอกเหมย’ นั้นหรือเจ้าคะ”

 

 

“ใช่แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบ

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “ฮูหยินอู๋อยากจะให้ท่านช่วยออกหน้าไปขอจวนหลักหรือไม่ก็คนของจวนรองให้ไปช่วยพวกเขาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้กับตระกูลหลิวหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าวว่า “นางยังไม่ได้เอ่ยปากขอ บอกแต่ว่ารู้สึกอัดอั้นตันใจจึงมาหาข้าที่นี่เพื่อปรับทุกข์ อย่างไรก็ตามข้าคิดว่านางคงจะมาเพื่อหารือถึงเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นในช่วงที่ใต้เท้าอู๋กำลังยุ่งกับการตระเตรียมงานเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลินี้ นางจะมีเวลาว่างมาเยี่ยมข้าครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร”

 

 

ในชาติก่อนอู๋เป่าจางเข้าสู่วงสังคมของสตรีในเมืองจินหลิงได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตอนนั้นจึงไม่มีเรื่องแต่งงานเป็นภรรยาคนที่สองของพ่อหม้ายเกิดขึ้นเฉกเช่นในชาตินี้

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านวางแผนเอาไว้อย่างไรหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มตอบว่า “นายอำเภอหรือจะสู้ผู้รับผิดชอบโดยตรง พวกเราเมินเฉยตระกูลอู๋มากเกินไปก็ไม่ดีนัก ข้าจะรอให้นางเอ่ยปากว่าอย่างไรก่อนแล้วค่อยพิจารณาดูอีกที”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า

 

 

ผ่านไปสองวัน ฮูหยินอู๋ก็กลับมาเยี่ยมอีกจริงๆ

 

 

นางไม่เพียงนำของขวัญมามอบให้ ยังพาอู๋เป่าหวาสองพี่น้องมาด้วย

 

 

“เสาจิ่น” ฮูหยินอู๋เห็นนางแล้วก็พูดจาทำตัวสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน พลางดึงอู๋เป่าหวากับอู๋เป่าจือมาข้างหน้านาง “ได้ยินมานานแล้วว่าฝีมือเย็บปักของเจ้าดียิ่ง บุตรสาวของข้างทั้งสองคนนี้ ติดตามข้าไปอาศัยอยู่แถบชนบทมาเป็นเวลานาน แม้พวกนางมีฝีมือ แต่ไม่เคยได้เปิดหูเปิดตาแต่อย่างใด วันนี้ข้าตั้งใจพาพวกนางสองพี่น้องมาด้วย อยากให้เจ้าช่วยชี้แนะเรื่องงานเย็บปักแก่พวกนางสักเล็กน้อย” จากนั้นไม่รอให้นางได้เอ่ยปฏิเสธ ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานทุกวัน จึงไม่กล้าทำให้เจ้าต้องเสียเวลา วันหลังหากพวกนางสองพี่น้องทำงานเย็บปักอะไร ขอเพียงเจ้าช่วยดูว่าต้องแก้ไขหรือปรับปรุงจุดใดก็พอแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าเสียแต่ตรงนี้!” ขณะที่กล่าวก็อยากจะน้อมกายลงทำความเคารพโจวเสาจิ่น

 

 

หากเรื่องเช่นนี้ถูกเผยแพร่ออกไปล่ะก็ โจวเสาจิ่นจะต้องได้ชื่อตามหลังว่าเป็นหญิงสาว ‘ไม่เอาไหน’ ผู้หนึ่งเป็นแน่

 

 

โจวเสาจิ่นกรุ่นโกรธอยู่ในใจ คิดว่าคนของตระกูลอู๋ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ อยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่นทั้งสิ้น อู๋เป่าจางเคยกล่าวว่านางไม่สนิทสนมกับฮูหยินอู๋สักเท่าใด แต่ตอนนี้เห็นทีว่า นิสัยเสียต่างๆ ของนางเหล่านั้นล้วนเลียนแบบมาจากฮูหยินอู๋ทั้งสิ้น

 

 

แต่ว่านางไม่ใช่โจวเสาจิ่นคนเดิมในชาติก่อนอีกแล้ว นางเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ไม่ยื่นจุดอ่อนให้ผู้อื่นอย่างโง่งมเพื่อกลับมาทำร้ายตนได้อีกต่อไปแล้ว

 

 

“ขอบคุณความเมตตาของฮูหยินอู๋อย่างยิ่งเจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ อย่างเกรงอกเกรงใจ “หากจะกล่าวถึงเรื่องงานเย็บปักถักร้อยล่ะก็ ทั้งครอบครัวของพวกข้าไม่อาจเทียบกับบรรดาช่างผู้เชี่ยวชาญ ณ โรงตัดเย็บเหล่านั้นได้ ข้าอายุยังน้อย ไม่กล้ายกตนเป็นครู หากฮูหยินอู๋ไม่รังเกียจ ยามที่คุณหนูอู๋ทั้งสองท่านมีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจ เพียงมาหาข้า ข้าจะพาพวกนางไปที่โรงตัดเย็บให้บรรดาช่างเย็บปักเหล่านั้นช่วยดู พวกนางต่างเป็นช่างเย็บปักที่โด่งดังของเจียงหนาน ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องการได้รับคำชี้แนะของพวกนาง เพียงได้ชมผลงานเย็บปักของพวกนางอย่างละเอียดก็นับเป็นบุญตาแล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

รอยยิ้มของฮูหยินอู๋แข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อยในทันใด

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ยิ้มพลางเอ่ยถามอู๋เป่าหวาว่า “เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใดหรือ พักนี้พวกเราไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก ช่วงนี้เจ้าทำอะไรกันบ้าง ทางด้านห้องศึกษาจิ้งอันของพวกข้าจะเริ่มเปิดการเรียนการสอนในวันที่สองเดือนสอง ต่อไปข้าก็คงจะยุ่งมากยิ่งขึ้น ว่าแต่พวกเจ้าสองพี่น้องร่ำเรียนกับผู้ใดหรือ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะเรียนตำราเล่มนี้จบเสียที”

 

 

นางถอนหายใจ ประหนึ่งเด็กสาวที่พยายามสร้างสรรค์ศัพท์ใหม่เพื่อระบายความทุกข์ใจก็ไม่ปาน

 

 

แม้อู๋เป่าหวาจะเป็นเด็กสาวที่มีโฉมหน้าธรรมดาผู้หนึ่งแต่กลับเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ครั้นโจวเสาจิ่นเอ่ยปากกล่าวนางก็เข้าใจความหมายโดยนัยของโจวเสาจิ่นได้ในทันที อีกทั้งเนื่องจากฮูหยินอู๋ต้องการเลี้ยงดูฟูมฟักนางให้เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางที่ดูสูงศักดิ์และเพียบพร้อม ฉะนั้นยามอยู่ต่อหน้านางฮูหยินอู๋จึงแสดงออกมาแต่ด้านที่ดีเท่านั้น อู๋เป่าหวาสองพี่น้องจึงไม่ค่อยได้รับอิทธิพลด้านที่ไม่ดีของฮูหยินอู๋มาสักเท่าใด

 

 

เมื่อเห็นมารดาประพฤติตนเช่นนี้ ดวงหน้าของพี่น้องทั้งสองต่างก็เห่อแดงขึ้นมา

 

 

อู๋เป่าหวารีบกล่าวขึ้นว่า “พวกข้าเชิญอาจารย์หญิงท่านหนึ่งมาสอนที่บ้าน ข้ากับน้องสาวเรียนตำรากับอาจารย์หญิงทุกวัน หากมีเวลาก็อยากจะพักบ้าง แต่ไม่อาจสู้คุณหนูรองที่ปลีกตัวจากการเล่าเรียนหรือมีเวลาที่ได้หยุดพักบ้าง” นางใช้โอกาสสั้นๆ นั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างฉับไว “หลังจากที่ข้ามาถึงเมืองจินหลิงก็ได้ยินผู้คนกล่าวชมโรงตัดเย็บของซอยจิ่วหรูว่าเป็นช่างเย็บปักที่มีฝีมือยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งของทั้งเจียงหนาน ได้อาศัยอานิสงส์ของคุณหนูรองไปเยี่ยมชม ล้วนถือเป็นเกียรติอย่างสูงของพวกข้าพี่น้อง เพียงแต่ข้าได้ยินว่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของท่านผู้นำตระกูลเฉิงจากจวนรองล้วนตัดเย็บที่โรงตัดเย็บ หากพวกเราบุ่มบ่ามเข้าไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นการไปรบกวนการงานของบรรดาช่างเย็บผ้าในโรงตัดเย็บหรือไม่” กล่าวเสร็จ ก็ชำเลืองมองฮูหยินอู๋ครั้งหนึ่ง

 

 

ฮูหยินอู๋เงียบกริบราวกับจักจั่นในเหมันตฤดู

 

 

ในยามปกติฮูหยินอู๋ต้องฟังบุตรสาวอย่างนั้นหรือ

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นคาดเดาอยู่นั้น ดวงหน้ากลับแน่นิ่งไม่เผยขุนเขาไม่เผยวารี ยิ้มพลางตอบว่า “คุณหนูรองอู๋เป็นแขก เจ้าบ้านย่อมต้องตามใจผู้เป็นแขก หากจะกล่าวว่าเป็นอานิสงส์ ไม่สู้กล่าวว่าข้าต่างหากที่ได้รับอานิสงส์ของคุณหนูรองอู๋ ได้เปิดหูเปิดตาไปศึกษาผลงานของเหล่าช่างผู้เชี่ยวชาญในโรงตัดเย็บพร้อมพวกเจ้าสักครั้งน่าจะถูกต้องกว่า”

 

 

นัยยะแฝงภายใต้คำกล่าวนี้คือ ปกติแล้วข้าก็ไม่อาจไปชมได้ทุกเมื่อตามใจปรารถนา หากว่าเจ้ารู้ความและวางตัวเป็น ก็อย่าได้หยิบยกเรื่องขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการเย็บปักถักร้อยมาพูดอีก

 

 

อู๋เป่าหวากล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่ปกติในจวนของพวกข้าก็มีบ่าวหญิงสูงวัยคอยชี้แนะเรื่องการเย็บปักถักร้อยอยู่ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ไม่เร่งด่วนแต่อย่างใด ไว้ข้ามีปัญหาอะไรค่อยมาขอคำแนะนำก็แล้วกัน”

 

 

นี่เป็นเพียงบทสนทนาฉากหนึ่งเท่านั้น

 

 

โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกประทับใจอู๋เป่าหวาขึ้นมาทันที

 

 

อย่างน้อยก็ประทับใจมากกว่าฮูหยินอู๋กับอู๋เป่าจาง

 

 

อู๋เป่าหวายิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยถามว่า “คุณหนูรองไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานทุกวันโดยไม่ขาดแม้แต่วันเดียวเลยหรือ”

 

 

“การคัดพระธรรมเป็นสิ่งที่กระทำด้วยใจจริง จะมีวันหยุดพักได้อย่างไร” ขณะที่โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มตอบ ในตอนแรกยังคิดว่านี่เป็นเพียงบทสนทนาเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่ง ทว่าพอนางพบว่าฮูหยินอู๋กำลังเงี่ยหูฟังอยู่ ก็หวนนึกถึงปฏิกิริยาของฮูหยินอู๋เมื่อครู่ นางจึงรู้ตัวในทันทีว่าในประโยคนี้ยังมีนัยอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย

 

 

หรือว่าแท้จริงแล้วเป้าหมายของฮูหยินอู๋คือจวนหลักกันนะ

 

 

ไม่รู้ว่านางต้องการขอร้องจวนหลักให้ช่วยทำอะไรให้กันแน่

 

 

โจวเสาจิ่นคาดเดาอยู่ในใจ แล้วกล่าวหยั่งเชิงว่า “ข้าเพียงไม่มีอะไรทำในช่วงบ่าย หากไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานยังพอจะได้พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้…”

 

 

นางพบว่ายังไม่ทันที่ตัวเองจะกล่าวจบ นัยน์ตาของฮูหยินอู๋ก็แวววาวขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากวน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยกยิ้มพลางพยักหน้าน้อยๆ ให้นาง

 

 

นางรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เห็นพิรุธแล้วเช่นกัน จึงรีบจบบทสนทนาอย่างรวดเร็ว โดยอ้างว่าต้องกลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกจากเรือนเจียซู่ไป

 

 

ตกเย็น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกนางว่า “ฮูหยินอู๋กล่าวอย่างอึกๆ อักๆ แค่ว่ามีเรื่องต้องการพบจวนหลัก อยากให้ข้าช่วยเป็นตัวกลางให้นาง แต่กลับไม่บอกเลยสักคำว่าต้องการพบจวนหลักด้วยเรื่องอะไร!”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกเอือมระอากับคนประเภทนี้ยิ่งนักที่มองผู้อื่นว่าเป็นเครื่องมือโง่งมให้ตัวเองหลอกใช้

 

 

นางบ่นพึมพำเสียงเบาว่า “หากนางคิดจะขอความช่วยเหลือให้ไต้เท้าอู๋ท่านก็จะไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเพื่อนนางอย่างนั้นหรือเจ้าคะ การออกหน้าขอความช่วยเหลือเรื่องที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ ต่อไปจวนสี่ของพวกเราจะตอบแทนอย่างไร ข้าว่าไม่สู้ท่านผลักเรื่องนี้ไปให้ท่านลุงรองหยวนจัดการดีกว่าเจ้าค่ะ!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า รู้สึกชอบใจยิ่งนักที่นางใช้คำว่า จวนสี่ของพวกเรา แทนคำเรียกขานตัวเอง ดังนั้นหลังจากที่โจวเสาจิ่นกลับไปแล้ว นางจึงกระซิบถามหวังมามาว่า “เจ้าคิดว่าโจวเสาจิ่นและอี้เกอเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ข้าเห็นว่าดีเจ้าค่ะ” หวังมามายิ้มพลางตอบ “ไม่ต้องกล่าวถึงความงดงามและความกตัญญู อัธยาศัยก็ดี เป็นมิตรกับทุกคนในเรือน สมดังคำกล่าวที่ว่า ‘ครอบครัวรักใคร่ปรองดองและรุ่งเรืองมีสุข’ เจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนคลี่ยิ้มพลางจิบน้ำชาไปอึกหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าก็คิดเห็นอย่างนั้นเช่นกัน”

 

 

ผ่านไปสองสามวัน ฮูหยินอู๋ก็กลับมาหาอีกครั้ง

 

 

ครั้งนี้นางมาคนเดียว สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่ในห้องนานกว่าพักใหญ่ ตอนที่เดินออกมาแม้ดวงตายังคงแดงก่ำ ทว่าสีหน้าที่ขุ่นหมองเมื่อคราวที่มาพบสองครั้งก่อน ราวกับได้ลมวสันต์พัดโชยมาประทะทั่วทั้งใบหน้า แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับมีสีหน้าตรงกันข้าม คิ้วขมวดมุ่นเป็นปมแน่น ประหนึ่งว่าดักจับยุงได้เลยทีเดียว

 

 

ซื่อเอ๋อร์รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ รอจนโจวเสาจิ่นกลับมาจากเรือนหานปี้ซานแล้วมาคารวะยามเย็นฮูหยินผู้เฒ่ากวน นางจึงแอบไปกวักมือเรียกโจวเสาจิ่นเงียบๆ

 

 

โจวเสาจิ่นไปที่ห้องน้ำชากับนาง

 

 

ซื่อเอ๋อร์รวบรวมเรื่องที่เกิดขึ้นมาเล่าให้นางฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยถามว่า “ท่านว่าฮูหยินอู๋ผู้นั้นจะข่มขู่อะไรฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“ไม่น่าจะเป็นไปได้” โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ค่อยแน่ใจอยู่บ้าง กล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปลอบสำรวจน้ำเสียงและท่าทีของท่านยายดู แต่หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น”

 

 

ซื่อเอ๋อร์พยักหน้าไม่หยุด แล้วถอนหายใจยาว

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้โจวเสาจิ่นประหลาดใจคือ พอนางทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนเสร็จและยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็กวักมือเรียกนางมานั่งลงข้างๆ จากนั้นเล่าวัตถุประสงค์ของฮูหยินอู๋ให้ฟัง “…บอกว่าสหายร่วมสำนักศึกษาที่สนิทสนมกับใต้เท้าอู๋ในกรมขุนนางบอกใต้เท้าอู๋อย่างเป็นนัยว่า มีคนสนใจอยากได้ตำแหน่งเจ้าเมืองจินหลิง ต้องการโยกย้ายไต้เท้าอู๋ออกไป ไต้เท้าอู๋จึงส่งที่ปรึกษาไปสืบข่าวในเมืองหลวงนานพักหนึ่ง ผู้อื่นถึงได้ยอมบอกเป็นนัยว่าได้ยินมาจากคนของจวนหลักที่ซอยจิ่วหรูของพวกเรา บอกว่าต้องการหาผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมมาเป็นเจ้าเมืองจินหลิง กิจการภายในจวนจะได้มีสักคนมาช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุน ไต้เท้าอู๋กับฮูหยินอู๋จึงตื่นตระหนก ไปขอเข้าพบหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พบคนของจวนหลักเลยสักครั้ง พอหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาหาพวกเรา อยากให้พวกเราช่วยนำความไปแจ้งจวนหลัก หากว่าพวกเขากระทำผิดตรงที่ใด ก็ขอให้จวนหลักบอกออกมา พวกเขาจะรีบปรับปรุงในทันที เหตุใดถึงต้องเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองจินหลิงด้วย แล้วเอ่ยอีกว่าใต้เท้าซ่งจิ่งหรันผู้เป็นท่านอาจารย์ของนายท่านของพวกเขายังเป็นสหายร่วมสำนักกับนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักด้วย จึงนับได้ว่าเป็นคนกันเอง…”

 

 

นี่มันเรื่องเหลวไหลสิ้นดี!

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงจนปากอ้าตาค้าง เอ่ยถามว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าว “ไม่ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่ ฮูหยินอู๋กล่าวว่า เรื่องของซินหลานกับหลานทิงนั้น พอลุงใหญ่เหมี่ยนของเจ้ายื่นป้ายชื่อต่อทางการ นายท่านของพวกเขาก็รีบกระทำตามที่ว่าไว้ทั้งหมดโดยไม่ได้เอ่ยถามอะไรสักคำ แม้แต่เรื่องภายในคุก ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เจ้าเมืองที่จะมาใหม่ผู้นั้น อาจจะคุ้นเคยกับจวนหลัก แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะคุ้นเคยกับจวนสี่ เรื่องที่อีกฝ่ายเห็นชอบพวกเขาเองก็เห็นชอบได้เช่นเดียวกัน แล้วเหตุใดถึงต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาด้วย ทำให้ทุกคนไม่สะดวกเสียเปล่าๆ”

 

 

………………………………………………..