ตอนที่ 200 ไม่ใช่ฝีมือฉันนะ...

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “อาจารย์ของพวกนายอยากให้ทุกคนตั้งใจเรียนนะ ในอนาคตจะได้ทำงานในวงการวิจัยหรืออะไรเทือกนั้น แบบนั้นจะไม่ดีกว่าเหรอ”

นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น “แต่พวกเราจะเอาแต่พึ่งคนอื่นไม่ได้หรอก”

เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเจียงอู๋ “ได้ ฉันจะสอนพวกนายพรุ่งนี้”

“ขอบคุณ” พวกนักเรียนกล่าวจากใจจริง

คำขอบคุณโถมมาอีกคลื่น เขาได้เหรียญคำขอบคุณมาอีกยี่สิบกว่าเหรียญ เริ่นเสี่ยวซู่พลันคิดว่าที่พาพวกนักเรียนติดมาด้วยนั้นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว!

ขณะเดียวกันนั้น ในหมู่ผู้หลบหนีมีก็มีคนถามเสียงแผ่ว “พวกเราเข้าไปขอโทษพวกเขาดีไหม”

“แบบนั้นจะช่วยอะไรเหรอไง” มีคนสงสัย

หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งว่า “พวกเราแห่กันไปขอโทษ เขายังจะทำอะไรได้อีก”

แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าไปเอ่ยอะไรกับเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวก แม้แต่จะขอโทษก็ยังไม่กล้า

ส่วนผู้หลบหนีคนอื่นที่ไม่ได้ร่วมแย่งชิงกระต่ายนั้นอยู่แยกจากกลุ่มผู้ลงมือ พวกเขากลัวว่าหลังจากนั้นถ้าคนพวกนั้นโดนคิดบัญชีตนเองจะโดนลูกหลงไปด้วย ทว่ามีเพียงกลุ่มคนขนาดเล็กเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมลงมือราวยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ตอนนั้นเขายังคงดำรงไว้ซึ่งศีลธรรมจรรยาได้

สุดท้ายผลก็ออกมาว่าพวกเขาทำถูกแล้ว ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะฆ่าผู้ก่อเหตุไป แต่เขาก็ยังมีโทสะไม่หาย ช่วงกลางดึกเขาเกิดความคิดจะเปิดประตูเงาแล้วโยนหิมะดับกองไฟพวกผู้หลบหนีพวกนั้นเสีย

ทว่าคนที่ได้รับผลกระทบที่สุดไม่ใช่เจียงอู๋และพวกนักเรียน แต่เป็นเฉินอู๋ตี๋ต่างหาก

ตอนที่แบ่งเนื้อกัน เฉินอู๋ตี๋เพียงนั่งอยู่ริมขอบกองไฟ มือถือกิ่งไม้

เริ่นเสี่ยวซู่แบ่งเนื้อให้เขา “เป็นอะไร”

เฉินอู๋ตี๋คิดเล็กน้อย ตอบ “เจ้าคนพวกนั้นราวกับเมฆทมิฬคิดกลืนกินข้าลงไป”

เสียงจากพระราชวังที่รอมาเนิ่นนานดังขึ้น [ภารกิจ ช่วยรักษาเสถียรภาพจิตใจของเฉินอู๋ตี๋]

ที่จริงต่อให้พระราชวังไม่พูดอะไร เริ่นเสี่ยวซู่ก็ย่อมทำเช่นนั้นอยู่ดี ทว่าพระราชวังคงเห็นสภาพจิตใจของเฉินอู๋ตี๋เป็นเช่นนี้และไม่อยากให้เขาพ่ายแพ้ต่อความเป็นจริง มันจึงมอบภารกิจให้เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยเหลือเขา

แต่คำพูดของพระราชวังออกจากแปลกๆ อยู่บ้าง รักษาเสถียรภาพจิตใจของเฉินอู๋ตี๋…ไม่ใช่ทำให้สภาพจิตใจเขาดีขึ้นหรอกเหรอ

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “มนุษย์ก็โดนความเป็นจริงและความน่าเกลียดของสายพันธุ์ตัวเองโจมตีเช่นนี้แหละ สุดท้ายทุกคนก็จะค่อยๆ เข้าใจเองว่าทุกอย่างมันว่างเปล่า ถ้าเจออะไรแบบนั้น มีแต่ต้องลองเสาะหาประกายแสงในความมืดมิด”

เฉินอู๋ตี๋แลดูสับสนไม่น้อย “อาจารย์ โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเข้ม “แต่เฉินอู๋ตี๋เอ้ย ลองคิดในอีกมุมสิ ถ้านายรู้สึกว่าตัวเองถูกความมืดกินแบบนี้ แสดงว่านายคือประกายแสงนั้นหรือเปล่า”

เฉินอู๋ตี๋ตาทอประกาย “เป็นเช่นนั้นจริงหรือท่านอาจารย์”

“จริงสิ”

[ภารกิจสำเร็จ รางวัล พละกำลัง 1.0 แต้ม]

ตอนนี้แต้มสถานะของเขามีพละกำลังอยู่ที่ 9.5 แต้ม ความคล่องแคล่ว 6.1 แต้ม เขาไม่รู้ว่าหมัดของตัวเองมีพลังเท่าไร แต่การใช้ผ่านร่างแยกเงามีแต่จะน่าครั่นครามมากขึ้น

แต่อย่างไรตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ค่อยอยากได้แต้มพละกำลังเพิ่มเท่าไรนัก เขาอยากได้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานหลายๆ ม้วนมาคัดลอกทักษะการขี่จักรยานจากคนอื่นมากกว่า

พอท้องฟ้าเริ่มสว่าง กลุ่มเริ่นเสี่ยวซู่ก็รีบเก็บสัมภาระเตรียมเดินทางต่อ ที่ตามกลุ่มใหญ่มาก็เพราะกลัวหมาป่า แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจว่าหมาป่าไม่โจมตีพวกตนแน่ เขาก็จะเร่งการเดินทางขึ้น ยิ่งพวกเขาหาถิ่นฐานของมนุษย์ได้เร็วเท่าไร ก็จะปรับแผนการเดินทางและทราบว่าป้อมปราการ 88 อยู่ไหนได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่คิดจะหาเข้าป้อมปราการอื่น เขาอยากวนอยู่เมืองน้อยนอกป้อมปราการมากกว่า จะได้ไม่ไปเบาะแว้งกับพวกผู้มีอำนาจในป้อมปราการเข้า

ในกลุ่มพวกเขามีผู้มีพลังพิเศษไม่น้อย ผู้ปกครองป้อมปราการย่อมเห็นว่าเป็นภัย

ตอนนี้มีแค่กลุ่มพวกเขาเท่านั้นทีได้รับประทานเนื้อและมีผ้าห่มคลุมนอน ผู้หลบหนีคนอื่นๆ ไม่ได้สบายขนาดนั้น

ผู้หลบหนีบางรายกินหิมะดับกระหาย ตอนเช้ามาผู้หลบหนีส่วนหนึ่งหน้าแดงก่ำไข้ขึ้น สภาพร่างกายเช่นนั้นคงไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก

เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าแม้หิมะในแดนรกร้างจะขาวสะอาด ทว่ามันต้องต้มอย่างน้อยสิบห้านาทีถึงจะดื่มได้

แบคทีเรียเป็นหนึ่งในสิ่งที่อันตรายที่สุดแล้วในแดนรกร้าง แต่เพียงเพราะมองไม่เห็น บางคนจึงไม่ให้ความสนใจ

ชายหน้าแดงคนหนึ่งยืนบังทางเริ่นเสี่ยวซู่ เขาอ้อนวอน “พวกคุณเตรียมพร้อมขนาดนี้ คงพกยาอย่างพวกยาปฏิชีวนะมาด้วยใช่ไหมครับ ได้โปรด ขอผมเถอะ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รอดแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเหยียนลิ่วหยวน เหยียนลิ่วหยวนจึงพูด “เขาเป็นหนึ่งในคนที่ก่อเรื่องเมื่อคืน”

เช่นนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงสะบัดหน้าหนี ปล่อยให้คนผู้นั้นร้องอ้อนวอนอยู่เบื้องหลัง

ชายผู้นั้นคิดว่าเจียงอู๋น่าจะใจดีมากกว่า จึงหันไปร้องขอความช่วยเหลือจากเธอแทน

แต่เจียงอู๋ไม่ได้เป็นอาจารย์เยาว์วัยอ่อนต่อโลกอีกต่อไป เธอกล่าวกับพวกนักเรียนว่า “รีบตามพวกเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วจำหน้าคนผู้นี้ไว้ด้วย เขาพยายามปล้นเราเมื่อคืน”

ระหว่างทางนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็สอนวิชาเอาตัวรอดพื้นฐานบางอย่างให้คนอื่นๆ เขาพูดเสียงดังว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเก็บเบอร์รี่ป่า แต่ถ้าเจอก็จำไว้ว่า เบอร์รี่สีม่วง น้ำเงิน และดำมีเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่กินได้ ส่วนแดง เขียว และเหลืองมีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่กินได้ ดังนั้นถ้าหิวมาก ก็หาพวกเบอร์รี่สีม่วง น้ำเงิน และดำกินไปก่อน…”

พวกนักเรียนขึ้นขี่จักรยาน พวกเขาพลันรู้สึกว่าแม้เด็กหนุ่มจะอยู่หลังสุด แต่แผ่นหลังเขานั้นใหญ่โตนัก…

เด็กน้อยในหมู่ผู้หลบหนีตะโกนใส่หญิงชราข้างกาย “คุณย่า ผมอยากขี่จักรยานเหมือนกัน ขอจักรยานหน่อย!”

คุณย่าที่เดิมทีชอบสั่งผู้อื่นไม่รู้จะตอบหลานชายอย่างไรดี หลานของเธอสะบัดมือเธอออกจากนั้นก็ร้องไห้ “คุณยายไม่ดี ผมอยากเจอพ่อกับแม่”

ผู้หลบหนีคนอื่นๆ เดินผ่านพวกเธอไปโดยไม่สนใจใยดี ไม่มีใครสงสาร และไม่มีใครคิดจะช่วยพวกเธอด้วย

ที่ชายแดนป้อมปราการ สูเสี่ยนฉู่กำลังค่อยๆ เดินฝ่าพายุหิมะโหมกระหน่ำโดยมีหม้อขวางอยู่เบื้องหน้า หิมะหนาหลายชั้นจนคลุมถึงเอวเขา ถ้าไม่ได้ร่างแยกเงาช่วยแบก เขาคงรุดหน้าต่อไม่ไหว

ทันใดนั้นกลุ่มคนสิบกว่านายในชุดลายพรางสีขาวก็ลุกขึ้นมาเหนือพื้นหิมะ พวกเขาชี้ปืนไปยังหม้อใบโต หนึ่งในนั้นตะโกนแข่งกับลมว่า “พวกเราคือกองพลที่สามแห่งป้อมปราการ 178! ขานนามและระบุจุดประสงค์มา!”

พอสูเสี่ยนฉู่ได้ยินคำว่า ‘ป้อมปราการ 178’ เขาก็ตื่นเต้นดีใจสุดๆ ตะโกนออกมาว่า “ฉันชื่อสูเสี่ยนฉู่มาจากป้อม 113! มีจดหมายแนะนำจากจางจิ่งหลินมาด้วย!”

พอพวกทหารได้ยินชื่อจางจิ่งหลินก็ตะลึงไป พวกเขาเข้ามาใกล้สูเสี่ยนฉู่อย่างระมัดระวัง ทหารนายหนึ่งเข้ามารับจดหมายไป ส่วนที่เหลือเตรียมตัวรับคำสั่ง ปืนยังคงจ่อไปที่สูเสี่ยนฉู่ หม้อดำกับเงาดำนั่นทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “สหายเป็นผู้มีพลังพิเศษงั้นเหรอ ทำไมนายถึงมีพลังสองชนิดเลยล่ะ”

ทหารตรวจการณ์ที่ซ่อนใต้หิมะดูจะเข้าใจผู้มีพลังพิเศษเป็นอย่างดี สูเสี่ยนฉู่ชะงักไป “ไม่มั่นใจเหมือนกัน ว่าแต่ฉันมีพลังสองแบบไม่ได้เหรอ”

ผู้สอบถามอ่านจดหมาย และกล่าวกับคนด้านข้างว่า “เป็นลายมือของผู้บัญชาการจางจริง รหัสลับในจดหมายก็ถูกหมด”

ทุกคนพยักหน้า “สหายตามพวกเรามา!”

จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปทางป้อมปราการ 178 ที่อยู่ไกลออกไป ตอนนี้กำแพงป้อมปราการ 178 ขาวโพลนราวถูกน้ำแข็งผนึกไว้ มันแลดูโชกโชนไปด้วยกาลเวลาอันโหดร้าย ทว่าก็ยังตั้งตระหง่านอย่างสง่าอยู่

ตอนที่พวกเขาเดินฝ่าพายุหิมะกันนั้น ก็มีคนถาม “นี่สหาย นายมาจากป้อม 113 เลยเหรอ ที่นั่นไกลจะตาย!”

สูเสี่ยนฉู่ตะโกนผ่านลมกรรโชก “ฉันออกจากป้อม 113 แล้วก็ไปป้อม 112 จากนั้นก็ถูกบีบให้ไปป้อม 109 ต่อ สุดท้ายก็มาลงเอยที่นี่”

คนที่อยู่ข้างเขาตะลึงไป “นี่สหาย ป้อมปราการพวกนั้นล่มสลายหมดแล้วนะ…”

ทุกคนที่อยู่รอบสูเสี่ยนฉู่ชะงักเท้า ราวกับกำลังพินิจอยู่ว่าจะพาสูเสี่ยนฉู่เข้าป้อมปราการ 178 ดีหรือไม่พาไปดี

สูเสี่ยนฉู่อึกอักพักหนึ่งแล้วว่า “ไม่ใช่ฝีมือฉันนะ…”