“เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่มู่นั่งอยู่บนม้า ใจนึกสงสัยจึงกวาดสายตามองไป
เห็นบนถนนด้านหน้ามีขบวนรถประดับบุปผชาติผ่านมา
ม้าสีขาวปลอดลากรถม้าสีขาวทำพิเศษ คารรถยาวเหยียด หวาไก้[1]หลากสีสันดึงดูดสายตาผู้คน คนขับรถเป็นสตรีสวมชุดเกราะ บนรถม้ามีเหล็กเส้นหนาประมาณนิ้วมือถักทอสอดประสานกันเหมือนกรงขังเล็กๆ ปิดสนิท มองผ่านซี่กรงเข้าไป จะเห็นว่าบนรถม้าทุกคันมีสตรีนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่ห้าคน
สตรีเหล่านี้ล้วนสูงโปร่ง ส่วนโค้งเว้าเด่นชัด สายตาของคนบนโลกอย่างหลี่มู่มองไปแล้วยังอดตื่นตะลึงไม่ได้ ทุกคนล้วนเป็นสตรีอวบอัดเหมือนกับสาวยุโรปสุดฮอตบนโลก รูปร่างสมบูรณ์แบบจนถึงขีดสุด และสิ่งที่ยิ่งทำให้หลี่มู่แปลกใจก็คือ สตรีเหล่านี้ล้วนมีผมสีทอง เหมือนคนยุโรปบนโลกอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมเหมือนกับทาสเลย”
หลี่มู่ขี่ม้า แต่ผู้คนเบียดเสียดจนโดนดันมาจนถึงหน้าขบวนรถ
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะพบว่า สาวร้อนแรงผมทองเหล่านี้นอกจากจะนุ่งน้อยห่มน้อยสุดๆ และคลุมผ้าโปร่งที่แทบจะโปร่งแสงแล้ว ยังมีเพียงสามจุดอัศจรรย์บนร่างที่ใช้ผ้าสีดำบดบังไว้ การบดบังเช่นนี้กลับทำให้ทั่วร่างของพวกนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนใจ
สตรีทุกคนสวมโซ่ล่ามเท้าและมือที่ทำอย่างประณีต
โซ่ล่ามเท้าและมือพวกนี้ส่องประกายแสงสีเงิน มองไกลๆ ดูเหมือนกับเครื่องประดับ ดูใกล้ๆ ถึงจะพบว่าโซ่ล่ามเท้าและมือตรึงให้พวกนางอยู่ในที่ที่จำกัดเอาไว้ในกรงเหล็กบนรถม้า ทำให้พวกนางไม่มีที่ว่างให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระมากนัก แขนขาไม่อาจยืดเหยียดได้ ขาทั้งสองก็ทำได้แค่เขย่งปลายเท้ายืน ใช้ท่าทางเกินสมควรแสดงความงดงามของร่างกายตนออกมาจนถึงที่สุด
สตรีเหล่านี้ส่วนมากหน้าตาค่อนข้างดี ผิวสีน้ำผึ้ง สำหรับคนฉินที่อยู่ในเมืองฉางอัน หน้าตาเช่นนี้มีความงดงามและความยั่วยวนที่แตกต่างออกไป
เพียงแต่บนใบหน้าของพวกนางฉายแววแค้นเคืองและอับอาย
หนึ่งในนั้นมีหลายคนกระทั่งรัดปากไว้ด้วยผ้าขาว ไม่อาจพูดจาได้ น้ำลายซึมผ้าขาวจนเปียก เห็นได้ชัดว่าป้องกันไม่ให้พวกนางกัดลิ้นฆ่าตัวตาย
“นี่คือทาสสาวที่จับมาจากที่ราบทุ่งหญ้า” เจิ้งฉุนเจี้ยนอธิบายอยู่ข้างๆ
หลี่มู่อึ้งไปเล็กน้อย
สตรีจากทุ่งหญ้ามีหน้าตาแบบนี้เองหรอกหรือ ผมยาวสีทอง ขาดแค่ดวงตาไม่ใช่สีเขียวมรกตเท่านั้น มิฉะนั้นจะมีพร้อมทั้งผมทองตาสีเขียว เป็นชาวยุโรปบนโลกแล้วจริงๆ
“จักรวรรดิและชนเผ่าเร่ร่อนในที่ราบทุ่งหญ้ามักจะเกิดสงครามอยู่บ่อยๆ ทหารกวาดล้างทุ่งหญ้าจะจับคนที่ราบทุ่งหญ้ามาเป็นทาสเชลย ผู้ชายนำมาใช้แรงงาน ผู้หญิงที่หน้าตางดงามจะถูกเลือกมาอบรมเป็นทาสอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรองเอาไว้คอยต้อนรับแขก ทาสสาวชุดนี้น่าจะเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งส่งมาจากทางเหนือ ขบวนรถบุปผชาติของหน่วยเลี้ยงรับรองจึงพาพวกนางเดินอวดโฉมบนถนนเพื่อดึงดูดสายตาและความสนใจของคนเมือง เมื่อเดินอวดโฉมตลอดสามวัน ดึงดูดสายตาของบุคลระดับชั้นต่างๆ ในเมือง สร้างชื่อเสียงให้โด่งดังที่สุดก่อนตลาดเปิดแล้ว วันเปิดตลาด ทาสสาวพวกนี้จะสามารถประมูลขายได้เหมือนสิ่งของ ผู้ประมูลสูงสุดจะเป็นผู้ได้ไป พวกที่ขายออกไม่ได้ก็จะอยู่รับแขกในหน่วยเลี้ยงรับรอง”
เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดอธิบาย
เขาเห็นสายตาของหลี่มู่จ้องขบวนรถบุปผชาติไม่วางตา ยังนึกว่าหลี่มู่สนใจสตรีที่เต็มไปด้วยความงดงามอันแตกต่าง จึงตั้งใจพูดให้มากหน่อย
นี่เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
ตามที่เจิ้งฉุนเจี้ยนรู้มา หลี่มู่ยังไม่มีคู่สมรส ข้างกายนอกจากเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองก็ไม่มีอนุคนใด ดังนั้นน่าจะเป็นเด็กหนุ่มบริสุทธิ์อยู่ ในจักรวรรดิฉิน องค์จักรพรรดิสนับสนุนให้ประชากรมีทายาท อายุสิบสองสามารถแต่งภรรยารับอนุได้ จากการอนุมานตามอายุ คุณชายสองของสกุลหลี่ผู้นี้ซวีซุ่ย[2]สิบห้าปี เลยช่วงอายุนั้นไปนานแล้ว คนหนุ่มกระฉับกระเฉงมีเรี่ยวแรง มีพลังงานไร้ขีดกำจัด จะลุ่มหลงโลกีย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หากหลี่มู่ชื่นชอบรสชาติแบบนี้ละก็ สำหรับเจิ้งฉุนเจี้ยน เรื่องบางเรื่องก็มีช่องว่างให้ลงมือแล้ว
หลี่มู่ฟังแล้วก็เข้าใจทันที
การกระทำแบบนี้คือกิจกรรมโฆษณาประชาสัมพันธ์นี่นา
เขานึกประหลาดใจ จึงมองอย่างละเอียดยิ่งนัก ขณะขี่ม้าไปท่ามกลางกลุ่มคนที่เฮโลกัน ก็เฉียดผ่านขบวนรถบุปผชาติ
รถม้าทั้งหมดสิบคัน ทาสสาวที่มาจากที่ราบทุ่งหญ้าทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน
ทุกคนล้วนหน้าตางดงาม เรือนร่างร้อนแรง นับว่าเป็นหญิงงามในหมู่สตรี
สิ่งที่ควรค่าแก่การสนใจคือ หนึ่งในนั้นมีทาสสาวคนหนึ่งดูแล้วอายุน้อยมาก ถูกขังเดี่ยวอยู่ในขบวนรถบุปผชาติ เรียกได้ว่างามหยาดฟ้า หน้าตาสวยวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง บนร่างสวมชุดคลุมยาวซึ่งไม่เหมือนสตรีจากทุ่งหญ้าคนอื่น บุคลิกท่าทางเย็นชา ในดวงตาฉายประกายโกรธแค้น ทำให้หลี่มู่มองไปแล้วเหม่อลอยไปชั่วครู่
หลี่มู่สูดลมหายใจ
สตรีผู้นี้เหมือนดอกกุหลาบหนามที่แย้มบานเต็มที่ มีความสวยอันเป็นภัยแก่ชีวิตไม่ต่างจากยาพิษ
เสี้ยวขณะนี้ ในหัวของหลี่มู่มีอีกใบหน้าหนึ่งที่งามล้ำเช่นกันลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ที่โต๊ะร้านบะหมี่ในตำบลสุขสงบ ยามที่สตรีชุดขาวคนนั้นเปิดผ้าคลุมโปร่งบางกินบะหมี่ เผยให้เห็นดวงหน้าขาวเนียนละเอียด ก็งดงามไร้ใครเทียมเช่นกัน แต่ทั้งสองเปรียบเทียบกันแล้ว สตรีชุดขาวเหมือนเทพธิดาที่ลอยล่องอยู่ในตำหนักจันทรา ส่วนทาสสาวต่างเผ่าซึ่งถูกกักขังอยู่นี้เหมือนเทพธิดาแห่งสงครามที่ไฟโทสะลุกโชน แตกต่างแต่ก็งดงามเช่นเดียวกัน โดดเด่นในมวลมนุษย์กันทั้งคู่
เจิ้งฉุนเจี้ยนสืบข่าวอะไรในกลุ่มฝูงชนด้านข้างมาได้ จากนั้นจึงพูดอย่างตื่นเต้น “คุณชายขอรับ ที่แท้ทาสสาวสี่สิบเจ็ดคนนี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา ครั้งนี้หน่วยเลี้ยงรับรองของเมืองฉางอันจ่ายเงินก้อนโตถึงจะแย่งพวกนางมาได้เชียว…ฮ่าๆ ทำให้ข้าแปลกใจเสียจริงๆ”
หลี่มู่มองเจิ้งฉุนเจี้ยน ไม่ได้พูดอะไร
แต่สายตาของเขามีความหมายชัดเจนมาก มีที่มาที่ไปอะไรก็พูดมาสิ ยังจะมาอมพะนำ กวนประสาทกันหรืออย่างไร?
เจิ้งฉุนเจี้ยนสั่นสะท้าน ด้วยรู้นิสัยฉุนเฉียวของนายท่านคนนี้ดี จึงไม่กล้าปกปิดอีกต่อไป รีบพูดขึ้นว่า “ทาสสาวสี่สิบเจ็ดคนนี้เป็นองครักษ์เทพหมาป่าของวิหารหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้า โดยเฉพาะผู้นำที่อยู่หัวขบวนคนนั้น อ้อ ก็คือทาสสาวที่ถูกขังเดี่ยวในขบวนบุปผชาติพิเศษ ฐานะของนางไม่ธรรมดาเลย เป็นบุตรสาวของพี่น้องต้าเจ๋อเปี๋ย[3]แห่งที่ราบทุ่งหญ้า เทพสงครามแห่งท้องทุ่งหญ้าในอดีตคนนั้น ว่ากันว่าเคยถูกวิหารเทพหมาป่าเลือกเป็นธิดาเทพ ภายหลังไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ได้เข้าวิหารเทพหมาป่า แต่กลายเป็นองครักษ์เทพหมาป่าแทน ฮี่ๆ ส่วนทาสสาวสี่สิบหกคนที่เหลือล้วนเป็นทหารคนสนิทใต้บังคับบัญชาของนาง ในอดีตหลายปีก่อน องครักษ์เทพหมาป่าที่สตรีเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมีชื่อในทุ่งหญ้าไม่น้อยเลย…”
อ้อ ที่แท้ก็เป็นเทพธิดาแห่งสงครามจริงๆ
หลี่มู่พยักหน้า
เกี่ยวกับที่ราบทุ่งหญ้า เรื่องที่เขารู้มีไม่มาก แค่พอรู้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
ครึ่งหนึ่งในนั้นที่เข้าใจ เป็นเพราะเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยยัดความรู้ให้เมื่ออยู่บนโต๊ะอาหาร อีกครึ่งหนึ่งกัวอวี่ชิงเล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่สาบานเป็นพี่น้องกัน พี่กัวเหมือนจะเข้าใจที่ราบทุ่งหญ้าเป็นอย่างดี ระหว่างพูดมีความรู้สึกลึกซึ้งยิ่ง ตอนนั้นหลี่มู่เคยเดาว่าบางทีพี่กัวอาจจะมาจากที่ราบทุ่งหญ้า แต่ไม่มีเวลาได้ไถ่ถาม
ที่ราบทุ่งหญ้าในแผ่นดินใหญ่เสินโจวไม่เป็นส่วนหนึ่งของฉินตะวันตก ซ่งเหนือ และฉู่ใต้ทั้งสามจักรวรรดิ แต่ปกครองโดยชนเผ่าเร่ร่อน เป็นขั้วอำนาจใหญ่แบบภาคีที่มีเอกภาพด้านการปกครองและศาสนาจากความร่วมมือของชนเผ่าทั้งหลาย เทพหมาป่าเป็นเทพสูงสุดที่ชนเผ่าเร่ร่อนเลื่อมใสศรัทธา และวิหารเทพหมาป่าคือตัวแทนแห่งเทพหมาป่า อยู่ในที่ราบทุ่งหญ้ามีอำนาจดุจจักรพรรดิ สามารถสั่งการได้ทุกชนเผ่า
ทาสสาวพวกนี้เคยเป็นองครักษ์เทพหมาป่าของวิหารเทพหมาป่า ฐานะและตำแหน่งเช่นนี้สูงส่งมากนัก หากเปรียบเทียบกันโดยเปลี่ยนมาเป็นจักรวรรดิฉินตะวันตก พวกนางนับได้ว่าสูงศักดิ์ยิ่ง จะได้รับตำแหน่งที่เป็นที่เคารพและค่าตอบแทน
โดยเฉพาะองครักษ์เทพหมาป่าสตรียิ่งหายากยิ่ง
น่าเสียดาย สุดท้ายกองทัพฉินตะวันตกจับมาเป็นนักโทษชั้นล่าง นับจากนี้ชะตาชีวิตตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก
ในใจของหลี่มู่เห็นใจสตรีพวกนี้นัก
โดยเฉพาะสตรีที่ถูกขังเดี่ยวในกรงขังรถบุปผชาตินางนั้น ช่างทำให้คนตกตะลึงเกินไป ราวกับไม่ใช่มนุษย์ มีความงามอันเป็นภัยถึงแก่ชีวิต สามารถทำให้บุรุษลุ่มหลงทำพลั้งพลาดได้แน่นอน
สตรีที่งดงามไม่มีใครเทียมเช่นนี้ เทพผู้สร้างรักใคร่เอ็นดู เดิมควรจะอยู่สูงส่งได้รับความรักและการเกี้ยวพา แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ ถูกบดขยี้ในโคลนตม ชวนให้นึกเสียดายยิ่งนัก
“คุณชาย หากท่านสนใจ ข้าสามารถจัดการให้ท่านได้ ในเมืองฉางอันข้าน้อยยังพอจะพูดอะไรได้บ้าง” เจิ้งฉุนเจี้ยนพิจารณาน้ำเสียงและท่าทางของหลี่มู่ แล้วจึงกล่าวหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง
หลี่มู่มองเขาแวบหนึ่ง แค่นเสียงเย็นก่อนพูด “ไปรับแม่ของข้าก่อน นี่ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”
สายตาของหลี่มู่เช่นนี้ มองจนเจิ้งฉุนเจี้ยนสั่นงันงกขึ้นอีกรอบ “ขอรับๆๆ ข้าน้อยเลอะเลือน คุณชายรองเป็นคนกตัญญู ฮูหยินรอท่านอย่างยากลำบากมานานหลายปี แน่นอนว่าจะต้องไปหาก่อน ข้าน้อยคิดผิดไปแล้ว คุณชายอย่าได้ถือสาเลย”
“ถึงเมืองฉางอันก็จะเป็นถิ่นของเจ้า ข้ารู้ ในใจของเจ้ามีแผนการมากมาย” หลี่มู่เฆี่ยนม้าเดินไป สายตาเหมือนจะยิ้มแต่ก็คล้ายไม่ยิ้ม พูดขึ้นว่า “หากเจ้าคิดจะไปบอกผู้ชายเฮงซวยนั่น หรือคิดจะยืมพลังของผู้อื่นมาจัดการข้า เช่นนั้นก็เชิญเจ้าลองดูตามสะดวก ข้าไม่สนใจ…ฮี่ๆ ขอแค่เจ้าไม่กลัวตายเท่านั้น” ชายชั่วจากปากของเขาแน่นอนว่าหมายถึงหลี่กัง เจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองฉางอัน
“ข้าน้อยไม่กล้า ขอคุณชายอย่าได้เข้าใจผิด” เจิ้งฉุนเจี้ยนตกใจจนขวัญเสีย รีบร้อนพูดอธิบาย
ไม่ใช่เขาไม่คิด แต่ไม่กล้าทำต่างหาก
เพราะตอนที่ออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลี่มู่ได้ลงยันต์ชื่อว่า ‘ยันต์เป็นตาย’ ไว้ในกายของเขา ทั้งยังเคยทดลองพลังของ ‘ยันต์เป็นตาย’ แล้ว…แน่นอนว่าทดลองกับเขา ความรู้สึกแบบนั้น…เจิ้งฉุนเจี้ยนสาบาน ต่อให้เขาโดนทัณฑ์พันมีดหมื่นแล่ ก็ไม่อยากจะลิ้มลองความเจ็บปวดที่ ‘ยันต์เป็นตาย’ สำแดงฤทธิ์อีกครั้งแล้ว
มี ‘ยันต์เป็นตาย’ กำราบไว้ เจิ้งฉุนเจี้ยนทำได้แค่ดับความคิดที่จะจัดการหลี่มู่ในเมืองฉางอันทิ้งไป
หลังจากที่รู้ว่าหลี่มู่ก็เป็นจอมเวทฝึกฝนวิชาเวทที่น่ากลัวเช่นกัน เจิ้งฉุนเจี้ยนใจเย็นวาบ เขารู้ถึงความน่ากลัวของจอมเวทที่ฝึกฝนวิชาเวทพวกนี้ มนตร์คาถาลึกลับต่างๆ สามารถสังหารคนได้โดยไร้ร่องรอย ตอนนี้ยังหาจอมเวทผู้แข็งแกร่งที่ขอบเขตล้ำหน้าหลี่มู่มาแก้ ‘ยันต์เป็นตาย’ ไม่ได้ เขาก็ไม่คิดจะทำการหุนหันพลันแล่น
หลี่มู่หัวเราะ ไม่สนใจเขาอีกต่อไป
เจิ้งฉุนเจี้ยนนำทางอยู่ข้างหน้า ทั้งสองขี่ม้าด้วยความเร็วไม่มากนัก หลังจากเดินไปประมาณครึ่งชั่วยามก็มาถึงปากทางตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เขตถนนทางทิศตะวันตกของเมืองฉางอัน
“ตรอกไล่หมู?”
หลี่มู่เห็นชื่อตรอกเล็กแห่งนี้อยู่บนกำแพงหิน
ชื่อนี้ทั้งเห็นได้น้อยครั้งและมีชีวิตชีวานัก
ที่นี่คือเขตชาวบ้านยากไร้
“ฮูหยินอยู่ที่เรือนหลังลึกที่สุดในตรอกแห่งนี้” เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ย
……………………………………………………
[1] หวาไก้ ลักษณะคล้ายฉัตรหรือร่ม ผ้าเย็บเป็นทรงกลมทิ้งชาย มีลวดลายปักงดงาม บ้างมีพู่ห้อยหรือมุกประดับชาย
[2] ซวีซุ่ย เป็นการนับอายุแบบจีน จะนับอายุตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ส่วนการนับอายุอีกแบบหนึ่งจะเรียกว่า ‘โจวซุ่ย’ ซึ่งจะเริ่มนับตั้งแต่ทารกถือกำเนิดออกมา
[3] เจ๋อเปี๋ย หรือ เจอเป (Jebe) ภาษามองโกลหมายถึงธนู ในประวัติศาตร์คือนามยอดขุนพลผู้เชี่ยวชาญธนูของทัพเจงกิสข่าน