ตอนที่ 813-814

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 813 + 814 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 813 พาตัวเองเข้าไปพัวพัน

เหตุผลนี้น่าเชื่อถือมาก กู้ซีจิ่วจึงเชื่อ

“เช่นนั้นท่านได้ใช้ฐานะอื่นเข้าหาข้าอีกไหม? ยกตัวอย่างเช่นแสร้งว่ามีความแค้นกับอะไรทำนองนั้น?”

“มี เพราะต้องการรู้จักด้านต่างๆ ของเจ้า” เขายังคงไม่พูดความจริงเช่นเดิม มิเช่นนั้นฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะเผยออกมา

คนลึกลับในตอนนั้นคือเขาจริงๆ ด้วย!

มิน่าล่ะยามนั้นเธอคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกว่าไปล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเข้าตอนไหน ที่แท้เป็นเขาที่ยังคงต้องการตรวจสอบเธอ…

เธอยิ้มขื่น “ตอนนั้นท่านคงต้องการตามหาสานุศิษย์สวรรค์กระมัง? ดังนั้นจึงตรวจสอบเพื่อดูความสามารถพิเศษบางอย่าง”

ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ ไม่พูดอะไร ยอมรับโดยดุษฎี

กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว “วิธีตรวจสอบนี้ของท่านช่างไม่เหมือนใครเลย…”

เขาใช้วิธีจำพวกนี้ตรวจสอบคนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว?

เวรเถอะ ที่แท้คนลึกลับมากมายที่เธอพบเจอในตอนนั้นล้วนเป็นเขาปลอมตัวมา! ทำไมเธอรู้สึกหลอนเหมือนว่าตนวิ่งวนอยู่ในฝ่ามือเขามาโดยตลอด

เมื่อนึกถึงฉากที่เธอพบเขารวมถึงอวตารของเขาอยู่บ่อยครั้งในอดีต กู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างปวดประสาท กล่าวออกมาจากใจริง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ที่แท้บางครั้งท่านก็ว่างเหลือเกิน…”

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร

ตอนนั้นเขาว่างเกินไปจริงๆ นั่นแหละ!

เมทีคิดหาความสำราญให้ตัวเอง กลับนึกไม่ถึงเลยว่าพาตัวเองเข้าไปพัวพันตั้งแต่ยามไหน…

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงอยากถามเรื่องเหล่านี้เล่า? ทำไมเจ้าทราบว่าข้าเคยปลอมเป็นคนพวกนั้น?”

กู้ซีจิ่วกำลังใคร่ครวญว่าจะพูดความจริงดีหรือไม่ ถ้าบอกว่าได้กลิ่นหอมจึงจดจำตัวคนได้ เช่นนั้นหากว่าภายภาคหน้าเขาปลอมตัวมาปั่นหัวเธออีก ย่อมต้องระวังเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเป็นแน่ ถ้าหากไม่พูดความจริง เช่นนั้นเธอใช้ข้ออ้างอะไรดีล่ะ?

เธอนิ่งไปเล็กน้อย ตอบยิ้มๆ “เพียงสัมผัสได้รางๆ ว่าท่านกับคนเหล่านั้นมีบางด้านที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงลองถามดู”

ตี้ฝูอีปราดเปรื่องถึงขั้นไหนแล้ว? เหตุผลนี้ที่กู้ซีจิ่วอ้างฝืดฝืนเกินไป เขาไม่เชื่อเด็ดขาด!

เขามองดูนาง นางยังคงระแวงเขาอย่างล้ำลึกอยู่จริงๆ วาจาก็จริงครึ่งเท็จครึ่ง

เพียงแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปโทษนาง เนื่องจากเขาก็มีความอัดอั้นตันใจที่มิอาจบอกความจริงแก่นางได้

นี่คงเป็นความจนปัญญาของมนุษย์กระมัง? โลกนี้ไหนเลยจะมีคนที่ไม่มีความลับอะไรอยู่เลย โดยเฉพาะคนที่มีฐานะเช่นนี้อย่างเขาและนาง…

ทั้งสองคนเดินเลียบลำธารไปสองสามลี้ ไม่มีใครพูดอะไรไปชั่วขณะ

เดิมทีกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าการเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในยามว่างของคู่รักค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง ว่างเปล่าเหลือเกิน

แม้กระทั่งยามที่เธอเดินเล่นกับหลงซือเย่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างจืดจางไร้รสชาติอยู่บ้าง เดินจนเท้าชา มิสู้เอาช่วงเวลานั้นไปสังสรรค์ร้องเพลงดีกว่า หรือไม่ก็ไปดูหนังกัน…แต่ตอนนั้นหลงซือเย่ชอบเดินเล่น เธอจึงฝืนดันทุรังไปเดินเล่นกับเขา แค่ก้าวตามรอยเท้าเขาไปเรื่อยๆ

แต่ตอนนี้ยามกะสามแล้วเธอกลับไม่หลับไม่นอนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตี้ฝูอี ไม่นึกเลยว่าในใจจะไม่มีความรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย การเดินข้างกายเขาทำให้จิตใจที่หวาดระแวงรู้สึกปลอดภัย ราวกับถ้านภาร่วงหล่นลงมาเธอก็ทราบว่าเขาจะค้ำไว้ให้เธอ…

แน่นอนว่าในระหว่างที่เดินเล่น เธอก็สังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้างไปด้วย ไม่มอะไรสะกดรอยตามมาจริงๆ

หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปเธอคงจะได้ติดต่อกับเขาไม่มากแล้ว และเธอก็ต้องกลับไปชีวิตตามปกติ…

“วางแผนอนาคตไว้อย่างไร?” ตี้ฝูอีทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง

กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “มานะเล่าเรียน ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ!”

ตี้ฝูอีเงียบงัน

“ไม่วางแผนไปอยู่เขาถามสวรรค์กับหลงซือเย่หรือ?”

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ มีความรู้มากมายที่ต้องศึกษา จะไปเขาถามสวรรค์ทำไมกัน?”

————————————————————————————-

บทที่ 814 ยังเป็นเด็กอยู่นะ

“มิใช่ว่าเจ้าต้องการอยู่กับหลงซือเย่หรอกหรือ? เขารั้งอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เพียงครึ่งปีเท่านั้น”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “ก็ไม่จำเป็นต้องไปเขาถามสวรรค์กับเขานี่ ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ”

“เจ้าไม่อยากอยู่ร่วมกับเขาตลอดเวลาหรือ?”

กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง อยู่ด้วยกันตลอดเวลางั้นเหรอ? แบบนั้นน่าเบื่อเกินไป! ต่อให้เป็นคนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกวันนี่นา ระยะห่างก่อเกิดความผูกพัน…

“ข้าและเขาต่างมีเรื่องยุ่งวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวัน”

“เช่นนั้นถ้าเจ้าต้องแยกกับเขานานๆ เล่า จะไม่คะนึงหาเขาเหลือเกินหรือ?”

“ไม่หรอก ขอเพียงพวกเราทราบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีก็พอแล้ว ตอนที่อยู่ในยุคของพวกเรา ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเหมือนกัน  เดือนสองเดือนได้เจอกันสักครั้งคือเรื่องปกติ บางครั้งถึงขั้นว่าครึ่งปีถึงจะได้พบกันสักครั้ง…”

“เช่นนั้นเจ้าเคยคิดจะแต่งกับเขาหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา “มิใช่ท่านหรอกหรือที่บีบให้เขาสาบานว่าจะไม่แต่งกับข้า?”

ตี้ฝูอีหลบตา “เจ้าบอกว่าจะเป็นคนรักของเขามิใช่หรือ? คนรักก็สามารถประกอบกิจของสามีภรรยาได้เช่นกัน”

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ‘ประกอบกิจของสามีภรรยา’ ที่เขาพูดคงจะหมายถึงการร่วมหอของสามีภรรยากระมัง? ก็คือการเล่นพลิกผ้าห่ม…

เธอยังไม่เคยมีความคิดเช่นนี้เลยจริงๆ!

ระหว่างเธอกับหลงซือเย่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง ต่อให้เป็นชาติก่อนมากสุดก็จับมือถือแขน ดื่มชาด้วยกัน ไปดูหนัง  พูดคุยกันเท่านั้น แม้แต่จูบก็ยังไม่เคยเลย…

ตอนนั้นในใจหลงซือเย่น่าจะมีเรื่องต้องพะวงอยู่ ส่วนเธอก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้นเลย

เช่นนี้ภายภาคหน้าถ้าอยู่ร่วมกับหลงซือเย่ ก็ต้องเล่นพลิกผ้าห่มหรือ?

กู้ซีจิ่วลองจินตนาการฉากนั้นดู พบว่าจินตนาการไม่ออกอยู่บ้าง…

ในใจเธอพลันตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ปฏิเสธคำถามนี้ตามสัญชาตญาณ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าเพิ่งอายุสิบห้า ยังเป็นเด็กอยู่นะ!”

ตี้ฝูอีหันมามองเธอ ภายใต้แสงจันทรานัยน์ตาของเขาดั่งคลื่นสมุทร มองจนหนังศีรษะเธอค่อนข้างหนึบชา

เธอลูบหน้าดูตามสัญชาตญาณ “ท่านมองข้าแบบนี้ทำไม?”

ตี้ฝูอียื่นมือมาดึงเธอเข้าไปใกล้ๆ สายตาค่อยๆ เพ่งพินิจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยเนิบๆ ว่า “ซีจิ่ว ในยุคสมัยนี้ เด็กสาวอายุสิบห้านับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถออกเรือนได้แล้ว”

กู้ซีจิ่วเชิดหน้าทันที “แต่ข้าและเขาล้วนเป็นคนที่มาจากยุคสมัยอื่น อายุสิบห้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่! ยังเป็นช่วงวัยที่ต้องศึกษาเล่าเรียน น้อยมากที่จะออกเรือน!”

“เช่นนั้นในยุคของพวกเจ้าออกเรือนกันตอนอายุเท่าไหร่?”

“ยี่สิบสองยี่สามกระมัง…” กู้ซีจิ่วก้ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เธอไม่เคยศึกษากฎหมายการสมรส ดังนั้นจึงไม่มั่นใจมากนัก “แต่นั่นเป็นอายุที่ระบุไว้ตามกฎหมาย อันที่จริงในยุคของพวกข้า ก็มีเด็กสาวน้อยคนนักที่จะแต่งงานตอนอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม ส่วนใหญ่ล้วนศึกษาเล่าเรียนหรือไม่ก็ทำงานหารายได้ ส่วนใหญ่จะแต่งงานกันจริงๆ หลังอายุยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดเป็นไปต้นไป ถึงขั้นที่ว่าอายุสามสิบแล้วค่อยแต่งก็มี…”

“โอ้ ถ้างั้นตอนที่พวกเจ้าอยู่ในยุคนั้น วางแผนว่าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะ?”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ดูเหมือนว่าเธอ…จะไม่เคยใคร่ครวญปัญหาข้อนี้อย่างจริงจังมาก่อนเลย ตอนนั้นเธอคิดว่าแค่ได้อยู่กับเขาก็พอแล้ว…

ตอนนั้นเธอวางแผนจะเก็บเงินให้พอก่อน จากนั้นก็แสร้งว่าตายเพื่อให้หลุดพ้นจากองค์กรนักฆ่า เปลี่ยนชื่อแซ่แล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศ ใช้ชีวิตแบบคู่สามีภรรยาธรรมดาๆ กับหลงซือเย่ เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปกินอยู่อย่างเรียบง่ายในสักเมืองหนึ่ง เขาและเธอหางานทำในโรงพยาบาลใหญ่สักแห่ง ไปทำงานพร้อมกันเลิกงานพร้อมกัน วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน หากเป็นไปได้ก็จะมีลูกสักคน ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกอบอุ่นงดงาม…

“น่าจะหลังจากข้าอายุยี่สิบเจ็ดกระมัง? ข้าไม่อยากแต่งงานเร็วเกินไป” เธอไม่ใช่พวกรีบแต่งงาน เธอชอบชีวิตโสดที่อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่อยากให้คำว่าครอบครัวมาล่ามขาไว้เร็วเกินไป