ตอนที่ 167.4 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 167.4 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ โดย ProjectZyphon

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่นผู้นั้นก็เป็นคนดุที่เต็มใจฆ่าศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อย “ตายไปนานแล้ว”

ชุยฉานกำลังจะเงื้อมือตบให้ตะพาบน้อยตัวนี้ให้ตาย ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ก็มาปรากฏกายอยู่บนยอดเขา เด็กนักเรียนของสำนักศึกษาคนนั้นรีบหันไปทำความเคารพผู้เฒ่า แล้วลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว

ชุยฉานคำรามเดือดดาล “เจ้าคนแซ่เหมา เจ้าลูกหมาตัวนี้ชื่อแซ่อะไร บ้านอยู่ที่ไหน!”

เหมาเสี่ยวตงมองประเมินชุยฉาน มองบรรยากาศรอบกายอีกฝ่ายจนรู้ตื้นลึกหนาบางก็ตีหน้าเคร่งเดินลงเขาไป ตอนที่เดินสวนไหล่กับชุยฉาน เขาแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ทำตัวดีๆ อยู่ในสำนักศึกษาไปแล้วกัน ข้าเหมาเสี่ยวตงจะคิดซะว่ายอมบีบจมูกตัวเองก็เพื่อไม่ต้องทนดมกลิ่นอาจมเหม็นโฉ่ อย่าลืมว่าที่นี่คือเมืองหลวงต้าสุย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือ!”

ชุยฉานเดินออกไปก้าวเดียว ร่างก็พุ่งวูบไปยังยอดไม้ของต้นอิ๋นซิ่งพันปี สอดส่ายสายตาไปรอบด้านพักหนึ่ง สุดท้ายเพ่งตามองไปยังที่พักเงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขาตงหัว แล้วแหกปากผรุสวาท “เจ้าตะพาบเฒ่าที่ชื่อว่าไช่จิงเสินนั่นน่ะ ใช่ เรียกเจ้านั่นแหละ รีบออกมาพบหน้าบรรพบุรุษเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าผู้เป็นบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าจะอธิบายคำสั่งสอนของบรรพชนกฎของบ้านให้เจ้าฟัง! รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาโขกหัวรับคำสั่งสอน!”

เหมาเสี่ยวตงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รีบเพิ่มความเร็วเดินลงไปจากภูเขา

เด็กหนุ่มชุดขาวยังคงตะโกนดังลั่นไม่หยุด “หลานไช่จิงเสิน อย่าทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่เลย รีบกลับบ้านไปเรียกลูกเรียกหลานของเจ้ามาคำนับบรรพบุรุษพร้อมกัน เร็วๆ เข้า บรรพบุรุษรอเจ้าอยู่ที่นี่นะ!”

แสงรุ้งเส้นหนึ่งระเบิดทะยานขึ้นมาจากบ้านหลังที่อยู่ใกล้ภูเขาตงหัว มาหยุดอยู่กลางอากาศสูงเท่าเทียมกับยอดเขาของภูเขาตงหัว แล้วเรือนกายแข็งแกร่งกำยำของคนผู้หนึ่งก็แผดเสียงเกรี้ยวกราด “รนหาที่ตาย!”

เด็กชายชุดขาวตะโกนตอบกลับด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “บรรพบุรุษเฒ่ามาตามหาหลานตะพาบที่นี่ ไม่ใช่รนหาที่ตาย!”

ผู้เฒ่าร่างกำยำแผดเสียงคำรามกลับ “ไสหัวออกมา!”

หลังจากที่ผู้เฒ่าทะยานตัวขึ้นสูงกลางอากาศ บริเวณใกล้เคียงโดยรอบซึ่งมีภูเขาตงหัวเป็นจุดศูนย์กลางก็มีแสงไฟทยอยถูกจุดขึ้น จากใกล้ไปไกล ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ภายใต้สายตาของคนมากมายที่จับจ้องมองมา เด็กหนุ่มชุดขาวหัวเราะหึหึ “หลานคนดีเจ้ารีบไสหัวเข้ามาเร็วเข้าสิ!”

ดูเหมือนว่าคำพูดของเจ้าเด็กบ้าคนนั้นจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้เฒ่าจนถึงขั้นอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง

เด็กหนุ่มชุดขาวรีบฉวยโอกาสโจมตีทันใด “ใครแม่งมอบดีสุนัข (ดีเปรียบเทียบถึงความกล้าหาญ) ให้เจ้า เจ้าถึงได้กล้าทำร้ายลูกศิษย์ของข้าผู้อาวุโส? ไช่จิงเสิน ขยับมือไม้ให้มันว่องไวหน่อย รีบหยิบมีดมาปาดคอตัวเองให้ตายซะ จำไว้ว่าตอนปาดต้องจริงใจด้วย เอาให้ได้มาดอย่างที่นักพรตขอบเขตสิบสมควรมี! แล้วบรรพบุรุษอย่างข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับผิดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังยอมละเว้นความผิดในอดีตของเจ้าด้วย…”

เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของผู้เฒ่าร่างล่ำสันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วต้าสุยดังก้องกังวานไปเกือบรอบรัศมีสิบลี้ “เหมาเสี่ยวตง! สำนักศึกษาของพวกเจ้าไม่จัดการกับเจ้าบ้าระยำผู้นี้ ข้าไช่จิงเสินจะช่วยจัดการแทนเจ้าเอง! เจ้าแค่ทำหน้าที่เก็บศพอย่างเดียวพอ ส่วนทางฝ่ายของฝ่าบาท ข้าพร้อมน้อมรับผลที่จะตามมา!”

ผู้เฒ่าบังคมลมยืนอยู่กลางอากาศ หันหน้าเข้าหาสำนักศึกษาซานหยา กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง เหวี่ยงแขนขึ้นทำท่าเหมือนจะขว้างอะไรออกไป

ทวนยาวสีขาวหิมะที่รัดพันด้วยสายฟ้าแลบวูบวาบเล่มหนึ่งพุ่งฟิ้วตรงเข้าปักต้นอิ๋นซิ่งที่อยู่บนยอดเขาตงหัว

เด็กหนุ่มชุดขาวหัวเราะร่า “มาได้ดี หลานคนดีรู้จักกตัญญูต่อบรรพบุรุษเสียที! มาเยือนแล้วไม่ต้อนรับนับว่าไร้มารยาท บรรพบุรุษเฒ่าจะให้รางวัล หลานไช่จิงเสินจงรับไว้ให้ดี!”

ทวนสายฟ้าพุ่งเข้าหาต้นไม้ใหญ่ เพียงไม่นานก็บุกเข้าไปเหนือท้องฟ้าในบริเวณขอบเขตพื้นที่ของสำนักศึกษา

แม้ว่าสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อยแห่งนี้จะไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ แต่จะอย่างไรซะก็มีเหมาเสี่ยวตงนั่งบัญชาการณ์ ถือว่ามีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์คล้ายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งของอริยะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะสำนักศึกษาคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นเพราะเหมาเสี่ยวตงไม่ยินดีเป็นศัตรูกับไช่จิงเสิน ถึงได้ถอนการป้องกันในเขตแดนตัวเองออกอย่างไม่ลังเล ปล่อยให้สองคนที่หนึ่งอยู่บนภูเขา หนึ่งอยู่นอกภูเขาเปิดฉากเข่นฆ่ากันอย่างยุติธรรม

ทางฝ่ายของต้นอิ๋นซิ่งก็มีแสงสีทองอ่อนจางเส้นหนึ่งระเบิดจ้ากลางอากาศ เมื่อเทียบกับทวนสายฟ้าใหญ่ยักษ์ที่ยาวประมาณสองจั้ง เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจอันน่าเกรงขามแล้ว แสงทองเพียงแค่นั้นก็เล็กน้อยจนสามารถมองข้ามไปได้เลย

แต่คนนอกมองเห็นแค่ความสนุกสนาน คนในกลับมองเห็นสายสนกลใน

เมื่อแสงทองเส้นนั้นบินออกมาจากยอดเขา พุ่งเข้ารับหน้าทวนสายฟ้าเล่มนั้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่เดิมทียังมีใจนึกดูแคลนกลับเริ่มเพ่งมองอย่างตั้งใจ

บริเวณโดยรอบเส้นทางการโคจรที่แหวกอากาศออกไปเป็นเส้นตรงของกระบี่บินขนาดจิ๋วเล่มนั้นกลับเกิดเป็นรอยปริแตกที่ดำมืดอย่างถึงที่สุด นี่ก็คือการปะทะที่รุนแรงระหว่างวัตถุซึ่งจับต้องได้จริงกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาในตำนาน ความเร็วในการแหวกอากาศของกระบี่บิน ระดับความแข็งแกร่งของวัสดุที่สร้างขึ้น ความมหาศาลของปณิธานกระบี่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใน สามอย่างนี้ล้วนไม่อาจขาดได้แม้แต่อย่างเดียว

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในระดับนี้ถูกขนานนามว่า แสงกระบี่เปล่งวาบ ตัดขาดหมื่นสรรพสิ่ง!

แล้วก็เป็นจริง ทวนสายฟ้าที่คิดจะหยั่งเชิงมากกว่าคิดจะปลิดชีพศัตรูให้ตายในครั้งเดียวถูกแสงสีทองโจมตีจนแหลกสลายในชั่วพริบตา

สะเก็ดสายฟ้าสาดกระจายอยู่กลางอากาศประหนึ่งฝนไฟที่สว่างพร่าจ้าตา

ไช่จิงเสินหัวเราะเหี้ยม “พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง มาอีก!”

ในที่สุดคราวนี้ผู้เฒ่าก็ปล่อยฝีไม้ลายมือเต็มที่ ทวนสายฟ้าเล่มแล้วเล่มเล่าพุ่งแทงเข้าหาภูเขาตงหัวอย่างรวดเร็ว

แสงสีทองเองก็ส่องแสงเจิดจ้ามากกว่าเดิม ประกายไฟพร่างพราวพุ่งออกไปจากตัวภูเขาหลายต่อหลายเส้น

ชุยฉานนั่งขัดสมาธิอยู่บนกิ่งสูงของต้นอิ๋นซิ่งอย่างสบายอารมณ์ กลางฝ่ามือประคองตราหยกสี่เหลี่ยมไว้ชิ้นหนึ่ง

ชุยฉานไม่มีอารมณ์ฮึกเหิมเหมือนคนที่กำลังเข้าร่วมศึกใหญ่แม้แต่น้อย กลับกันยังดูเกียจคร้านเบื่อหน่าย ในใจหัวเราะหยันไม่หยุด

อาจารย์ของข้ามีไม่มาก ตอนนี้มีอยู่แค่คนเดียว ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เข้าตาข้ามีไม่มาก สหายรู้ใจในชีวิตมีไม่มาก สาวงามที่ถูกใจมีไม่มาก…แต่ข้ามีสมบัติอาคมมากนักล่ะ!

คืนนั้นช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมตระการตายิ่งนัก มีช่วงให้ลุ้นขึ้นๆ ลงๆ สุดท้ายคนเกือบครึ่งของเมืองหลวงต้าสุยก็สะดุ้งตกใจตื่น สวมใส่อาภรณ์เดินออกมานอกบ้าน หากไม่มองภูเขาตงหัวจากลานบ้านของตัวเองอยู่ไกลๆ ก็ปีนต้นไม้ ปีนกำแพงหรือปีนหลังคาขึ้นไปดูการต่อสู้อันยาวนานระหว่างเทพเซียนอย่างติดอกติดใจ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่สนุกสนานรื่นเริง เจ็บใจยิ่งนักที่เมล็ดแตงและขนมขบเคี้ยวในบ้านมีให้กินไม่มากพอ

เทพเซียนสองท่านทะเลาะกันตั้งแต่กลางดึกยันฟ้าสาง ทำเอาเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งคืนไปเข้าประชุมเช้าด้วยอาการอิดโรยอ่อนเพลียกันแทบทุกคน

หลังจบเรื่องมียอดฝีมือคนหนึ่งออกมาให้ข้อสรุปคร่าวๆ เซียนชุดขาวผู้มีที่มาไม่ชัดเจนซึ่งอยู่บนภูเขาตงหัวผู้นั้น นอกจากกระบี่บินสีทองที่เอาออกมาใช้ตอนแรกสุด ตอนหลังลำพังแค่สมบัติอาคมที่ใช้อย่างเปิดเผยก็มีมากถึงยี่สิบหกชิ้น ไม่มีชิ้นใดที่ไม่ส่องแสงแพรวพราว คุณภาพชวนตะลึง ลงมือแต่ละครั้งด้วยวิธีการที่ไม่ซ้ำกันอย่างแท้จริง!

คนสอดรู้สอดเห็นบางคนในเมืองหลวงยังแอบเรียกเขาว่าบรรพบุรุษเฒ่าตระกูลไช่แล้วด้วย

คนตั้งแต่บนจรดล่างของตระกูลไช่จิงเสินที่อยู่ในเมืองหลวงคล้ายเพิ่งจะได้ทำความรู้จักกับบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลตัวเองจริงๆ วันต่อมาจึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้าน

วันนั้นหลี่ไหวได้รูปปั้นคนจิ๋วทั้งชุดที่หายตัวไปนานกลับคืนมา รวมทั้งคำขอโทษจากอดีตเพื่อนร่วมหอพักที่มาช้าอย่างถึงที่สุดด้วย

นาทีนั้นเด็กชายอ่อนแอขี้กลัว หลี่ไหวที่แท้จริงก็อายุเจ็ดขวบแล้วกลับไม่ได้ดีใจจนน้ำตาไหลพราก แล้วก็ไม่ได้ตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว

เด็กชายแค่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่และพี่สาวของตัวเอง

หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย เด็กหนุ่มชุดขาวที่เรียกตัวเองว่าชุยตงซาน

เด็กชายล้วนทยอยไปขอบคุณทีละคน

หลินโส่วอีไปที่หอหนังสืออีกแล้ว ในหอพักจึงเหลือแต่เด็กชายเพียงคนเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดดเรียน แม้จะเรียนหนังสือไม่เกง แต่ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร ต่อให้ถูกคนต่อยจนหน้าเขียวปากบวม เด็กชายก็ไม่เคยขาดเรียนสักคาบเดียว ทว่าวันนี้หลี่ไหวนั่งยองอยู่นอกหอพัก ไม่ได้ไปเรียน แต่นั่งตากแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูหนาว ใช้กิ่งไม้เขียนชื่อคนในครอบครัวลงบนพื้นเบาๆ

ครั้งนี้เด็กชายไม่ได้ร้องไห้

……

เมืองหลวงต้าสุย คนสามคนที่สวมเสื้อผ้ามอซอสอบถามเส้นทางจากคนเดินผ่าน ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาซานหยาอย่างเชื่องช้า

หลังจากบุตรสาวถามทางคนที่เดินผ่านด้วยภาษาทางการต้าสุยติดๆ ขัดๆ อีกครั้ง สตรีแต่งงานแล้วเรือนกายอวบอิ่มโฉมแต่กลับมีโฉมหน้าเผ็ดร้อนก็โมโหจนตบป้าบเข้าที่ศีรษะของผู้ชายตัวเองอีกครั้ง “เจ้าคนไร้ประโยชน์ พอไปถึงสำนักศึกษาเจ้าก็รออยู่ตรงตีนเขานั่นแหละ จะได้ไม่ทำให้ลูกชายอับอายขายหน้า!”

ชายร่างเตี้ยม่อต้อสะพายสัมภาระห่อใหญ่หันกลับไปตอบโต้ภรรยาน้ำเสียงค่อนข้างแข็งกระด้างอย่างที่หาได้ยาก “ยังไงก็ต้องเจอสักหน่อย พวกเราเอาของกินอร่อยๆ มาฝากลูกชายตั้งเยอะ ตอนที่พวกเจ้าแบกขึ้นเขามาก็เหนื่อยกันมาก”

สตรีแต่งงานแล้วโมโหปรี๊ด เท้าเอวด่าอีกรอบ “หลี่เอ้อร์ เจ้ามันก็มีความสามารถแค่นี้แหละ! ดีนักนะ พวกเราสองคนแม่ลูกยังแข็งใจตัดความอาลัยได้ลง บอกว่าจะไปก็คือไป แต่เจ้ากลับดีนัก เป็นลูกผู้ชายแท้ๆ กำลังจะไปแล้วยังจะพูดว่าขอพบหน้าลูกชายอีกสักครั้ง?”

สตรีแต่งงานแล้วยื่นมือไปบิดเนื้อตรงสีข้างบุรุษอย่างแรง บิดอยู่นานอีกฝ่ายก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงได้แต่รามือไปเองด้วยความหงุดหงิด “เรือนกายก็แข็งแรงกำยำ กลับดีแต่เอาแรงมารังแกข้ายามค่ำคืน!”

บุรุษหัวเราะหึหึ

สตรีแต่งงานแล้วเตะป้าบอย่างแรง พูดกระฟัดกระเฟียด “คนบ้า!”

เด็กสาวเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวที่ยืนอยู่ข้างกายบุรุษและสตรีไม่ได้สนใจบิดามารดาที่ทำพ่อแง่แม่งอนใส่กัน เพียงแค่คลี่ยิ้มอ่อนโยน พอนึกถึงน้องชายเกเรของตนที่กำลังจะได้เจอกัน นางก็ให้ดีใจ

จู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็ตาแดงก่ำ “ไม่รู้ว่าไหวเอ๋อร์อ้วนหรือผอม แต่ขออย่าให้เขาถูกคนรังแกเลย ข้าที่เป็นแม่ ไม่กล้าด่าคนที่นี่หรอกนะ”

บุรุษเงียบงันเป็นปกตินิสัย

สุดท้ายบุรุษเงียบขรึมที่พ่อแม่ตั้งชื่ออย่างไม่ใส่ใจผู้นี้ก็หันไปมองทางสำนักศึกษาแล้วแสยะยิ้ม

รังแกลูกชายข้า?

หึ หากมีจริงๆ ข้าหลี่เอ้อร์ก็จะไปพบชายชาตรีผู้นั้นดูสักครั้ง จะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว

—–