บทที่ 92 การประลองกระบี่ที่จวนผู้ว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 92 การประลองกระบี่ที่จวนผู้ว่า

เงาร่างของเด็กสาวผมสั้นก้าวออกมาจากเงามืดพร้อมด้วยกลิ่นเลือดจางๆ แสงสลัวจากโคมไฟริมถนนส่องต้องลงมาที่ใบหน้างดงามเต็มเปี่ยมไปด้วยแววกล้าหาญของนาง

“ท่านพี่เสี่ยวไป่ ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

เยว่หงเสว่อุทานด้วยความตกตะลึงในขณะที่วิ่งเข้าไปช่วยประคองเด็กสาว

บัดนี้ ฟางเสี่ยวไป่ยังไม่ทุเลาจากพิษของเข็มอาบยาสลบสักเท่าไหร่ นางถลึงตาจ้องมองเด็กชายบริกรด้วยแววตาดุ “ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”

เมื่อสักครู่นี้ พวกเขารอดพ้นจากอันตรายได้แล้ว แต่เยว่หงเสว่กลับดึงดันที่จะกลับไปช่วยเหลือเด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากาก ทำไมเยว่หงเสว่ไม่คิดบ้างว่าตนเองอาจได้รับอันตรายก็ได้? หากไม่ใช่เพราะว่าฟางเสี่ยวไป่เป็นห่วงสวัสดิภาพของเด็กชาย มีหรือที่นางจะเสี่ยงใช้พลังลมปราณขับพิษของเข็มอาบยาสลบออกจากร่างกาย และรีบรุดตามเขาออกมาด้วยความรวดเร็วเช่นนี้?

เยว่หงเสว่ก้มหน้าเหมือนเด็กน้อยที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่ากระทำความผิด เขาได้แต่ขยับไปยืนอยู่ข้างทาง และพยายามอธิบายว่า “ท่านพี่เสี่ยวไป่ พี่ชายท่านนี้เป็นคนดี…”

ฟางเสี่ยวไป่หันมามองค้อนเด็กชายอีกครั้ง “หุบปาก”

แล้วเยว่หงเสว่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย

“เอาเป็นว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น…” ฟางเสี่ยวไป่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ตั้งใจช่วยพวกเรา แต่ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้ามาก อย่างน้อยเจ้าก็ถ่วงเวลาให้พวกเราหลบหนีได้สำเร็จ”

ถ้อยคำของเด็กสาวจัดได้ว่าค่อนข้างไร้มารยาท

แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้โกรธเคืองสักนิด

เพราะสิ่งที่ฟางเสี่ยวไป่พูดออกมา เป็นความจริงทุกประการ

เขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือพวกนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

หากชายหัวโล้นไม่ได้มาเล่นงานเขาก่อน เพราะเข้าใจผิดคิดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเจ้าสำนักวายุสะเทือนฟ้า หลินเป่ยเฉินก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตนเองจะลงมือช่วยเหลือพวกของฟางเสี่ยวไป่หรือไม่

“ข้า ฟางเสี่ยวไป่ ถือว่าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว ในอนาคตข้างหน้าจะต้องตอบแทนบุญคุณแน่นอน” ฟางเสี่ยวไป่ประสานมือคำนับศีรษะ “ได้โปรดบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามาด้วย”

แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะเคยเจอกันในค่ายพักตอนแข่งหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง แต่เด็กสาวกลับจำหลินเป่ยเฉินไม่ได้ เพราะขณะนี้เขาสวมใส่หน้ากากอำพรางใบหน้า

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเยว่หงเสว่ผู้ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างกายเด็กสาว หลังจากส่ายศีรษะไม่พูดอะไรแล้ว หลินเป่ยเฉินก็หมุนกายเดินจากมา

หลักการประจำใจข้อแรกของหลินเป่ยเฉินยังคงเหมือนเดิม เขาจะไม่ทำตัวสนิทสนมกับใครในโลกใบนี้ให้มากเกินไปนัก

โดยเฉพาะคนจากพวกสำนักยุทธ์อิสระ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพวกป่าเถื่อนกันทั้งนั้น

แต่เด็กที่ชาญฉลาดอย่างเยว่หงเสว่ไปเกี่ยวข้องกับสำนักพวกนี้ได้อย่างไร?

ช่างน่าสงสารเหลือเกิน!

เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินเดินหายลับไปในเงามืดแล้ว ฟางเสี่ยวไป่ก็ตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่จะทรุดร่างลงนั่งกับพื้นดิน เยว่หงเสว่ถลาเข้ามาประคอง ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ท่านพี่เสี่ยวไป่ ทะ…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฟางเสี่ยวไป่หอบหายใจเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นไร เพียงเหนื่อยล้าจากการโคจรพลังขับพิษออกจากร่างกายเท่านั้น ว่าแต่เจ้ารู้จักคนผู้นั้นหรือไม่?”

เยว่หงเสว่เล่าให้เด็กสาวฟังว่าบุคคลปริศนาผู้นี้ เป็นลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในโรงเตี๊ยมชิงฝูเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา

ฟางเสี่ยวไป่เหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง “เขาสั่งให้เจ้าไปส่งอาหารที่ตำหนักไม้ไผ่ในสถานศึกษากระบี่ที่สามวันพรุ่งนี้ใช่ไหม?”

เยว่หงเสว่พยุงเด็กสาวลุกขึ้นยืนและช่วยประคองนางก้าวเดิน “ใช่แล้วขอรับ พี่ชายท่านนี้เป็นคนสุภาพแล้วก็ใจดีมาก เขามอบเงินพิเศษให้ข้าถึงหนึ่งเหรียญทองแดงด้วย”

“ปกติแล้วตำหนักไม้ไผ่ในสถานศึกษาที่ 3 จะใช้สำหรับต้อนรับคนใหญ่คนโตเท่านั้น แต่คะเนด้วยสายตา เขาคนนี้ไม่น่ามีอายุเกิน 15 ปี ซ้ำยังสวมใส่หน้ากากอำพรางใบหน้า…ช่างมันเถอะ ในเมื่อเขาไม่ได้ยินดีเปิดเผยตัวตน แสดงว่าคงดูถูกพวกเรามากแล้ว”

ฟางเสี่ยวไป่หัวเราะให้กับตัวเอง ก่อนจะไต่ถามอีกครั้ง “เสี่ยวเสว่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเย็นชาเกินไปหรือไม่?”

เยว่หงเสว่เงียบงันไม่ตอบคำใด

ฟางเสี่ยวไป่ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าใจดีมากเกินไป เจ้าไม่เข้าใจว่าโลกนี้มันโหดร้ายและมืดมนขนาดไหน ในยุทธจักร ข้าต้องพบเจอเล่ห์กลอุบายที่แสนชั่วร้ายมาหลายปีแล้ว ข้าเคยเห็นแม้แต่คนครอบครัวเดียวกันทำร้ายกันเอง ข้าเคยเห็นมิตรสหายที่เปลี่ยนไปเพราะผลประโยชน์ ข้าเคยเห็นคนที่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้า จากผู้มีจิตใจเมตตากลายเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้ายได้ในพริบตาเดียว ข้าเคยเห็นคนตกตายมากมายในเวลาชั่วดีดนิ้วมือ…เจ้าโชคดีที่บุคคลปริศนาผู้นี้ไม่ใช่พวกใจร้ายอำมหิต มิเช่นนั้น เจ้าอาจจะต้องนอนทอดร่างอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นได้”

เยว่หงเสว่พึมพำว่า “ท่านพี่เสี่ยวไป่ แต่ข้าน้อยคิดว่าในบางครั้ง สิ่งสำคัญคือเราควรเชื่อใจ…”

ฟางเสี่ยวไป่พลันตวาด “หุบปาก”

เยว่หงเสว่หวาดกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย

ฟางเสี่ยวไป่ระบายลมหายใจยาวแรงอีกครั้ง ก็ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบขวดยามายื่นส่งให้แก่เด็กชาย “นี่คือผงต่อกระดูกสมานเส้นเอ็น เอาไปซะ พี่สาวเจ้าจะได้หายดีเสียที”

เยว่หงเสว่พลันตอบรับด้วยใบหน้าสำนึกผิด “ถ้าไม่ใช่เพราะตัวยานี้ ท่านพี่เสี่ยวไป่กับท่านพี่ต้าซวงก็คงไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางกับหอการค้าสามพันโยชน์ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าคนเดียว…”

“อย่าพูดเช่นนั้นเลย” ฟางเสี่ยวไป่ส่งเสียงหัวเราะเหมือนไม่ใส่ใจ “ข้าเพียงแต่ต้องระมัดระวังคนแปลกหน้าเอาไว้เท่านั้นเอง เดี๋ยวอีกหน่อยเจ้าก็คงเข้าใจ…ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักวายุสะเทือนฟ้า เราทุกคนล้วนเป็นเด็กยากจน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันและกัน หากเราไม่ช่วยกันแล้ว จะมีใครมาช่วยเราได้? คิดหรือว่าเราจะสามารถพึ่งพิงพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงเหล่านั้น? เอาล่ะ เจ้านำยากลับไปให้พี่สาวได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะพาต้าซวงกลับไปรักษาตัวเอง”

หลังพูดจบ ฟางเสี่ยวไป่ก็รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือ เดินแยกออกจากเยว่หงเสว่กลับเข้าไปในตรอกมืดอีกครั้ง

วันต่อมา

เป็นวันเล่าเรียน

หลินเป่ยเฉินได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากศิษย์ที่อยู่ในห้อง 9 ชั้นปีที่ 2

ทุกคนปรบมือให้เขาเสียงดังเกรียวกราว ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าชั้นหยินอี้หรือคนอื่นๆ ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีที่วีรบุรุษของตนเองกลับมาเข้าเรียนอีกครั้ง

ถูกต้องแล้ว ในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นวีรบุรุษประจำชั้นเรียนปีที่ 2 หรือจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษประจำสถานศึกษากระบี่ที่สามเลยก็ว่าได้

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เขาคือหนึ่งในลูกศิษย์กลุ่มแรก ที่สามารถนำป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์กลับมาให้สถาบันได้สำเร็จ

ปีนี้ มีลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามทำได้สำเร็จถึง 4 คน พวกเขาต่างเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายประจำชั้นปีของตนเอง หนึ่งในนั้นคือม้ามืดจากปี 1 หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงจากชั้นปีที่ 2 และฮันปู้ฟู่จากชั้นปีที่ 3 นับเป็นการสร้างสถิติใหม่ โดยเฉพาะหลินเป่ยเฉินที่คว้าตำแหน่งอันดับสองจากการแข่งขันอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

แต่ปรากฏว่าวันนี้ ผู้ที่มาสอนวิชาพลังลมปราณกลับเป็นอาจารย์ท่านอื่น ทำให้หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้

แน่นอนว่าติงซานฉือคงมีธุระให้ไปจัดการ

ว่าแต่ตาแก่นั่นไปทำอะไรกันนะ?

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความสงสัย รู้ตัวอีกที เขาก็ฟุบหลับคาโต๊ะเรียนไปเสียแล้ว

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหลับใหลอย่างสบายอารมณ์ระหว่างที่ตนเองกำลังสอน อาจารย์ผู้มาทำหน้าที่แทนติงซานฉือก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายหัวใจ

เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กหนุ่มคนนี้ดี

หลังหมดคาบเรียน หลินเป่ยเฉินก็ตรงไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ฉู่เหิน เพื่อสอบถามว่าอาจารย์ของเขาหายไปไหนกันแน่

ฉู่เหินให้คำตอบว่า “อ๋อ อาจารย์ติงน่ะหรือ? เขาเก็บตัวฝึกวิชาอยู่น่ะ”

“เก็บตัวฝึกวิชาหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า ถามต่อว่า “ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้เล่า?”

ฉู่เหินกล่าว “อาจารย์ติงถูกศัตรูบุกมาท้าทายถึงถิ่น เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องละทิ้งการสอน เพื่อเก็บตัวฝึกวิชาอย่างหนัก เตรียมพร้อมสำหรับการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น”

การประลอง?

หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงแล้ว

“จะเชื่อดีไหมวะเนี่ย”

“การประลองจะจัดขึ้นเมื่อใดหรือขอรับ?” เด็กหนุ่มสอบถาม

หลินเป่ยเฉินสามารถรับชมพวกของฟางเสี่ยวไป่ประลองกับคนอื่นได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นการประลองของติงซานฉือ…เด็กหนุ่มก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

ฉู่เหินตอบว่า “อาจารย์ติงจะต้องประลองกระบี่ในอีก 8 วัน”

อีก 8 วัน? ทำไมถึงได้กระชั้นชิดอย่างนี้

หลินเป่ยเฉินถามไม่หยุด “คู่ต่อสู้คือใครหรือขอรับ? แล้วอาจารย์ติงมีโอกาสแพ้ชนะมากน้อยแค่ไหน?”

ฉู่เหินส่ายหน้าดิก “บอกยากนะว่าอาจารย์ติงจะชนะหรือไม่ คู่ต่อสู้ของเขาคือไป๋ไห่ชิน หนึ่งในยอดมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุน การประลองกระบี่ครั้งก่อน อาจารย์ติงก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มาแล้ว”

เมืองไป๋หยุน?

นั่นมัน 1 ใน 3 เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตมือกระบี่มากที่สุดของจักรวรรดิเป่ยไห่ไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินเพียงได้ยินชื่อ ก็รู้สึกขนลุกแล้ว

นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมากทีเดียว

ฉู่เหินพลันหยิบเทียบเชิญสีแดงออกมายื่นส่งให้เด็กหนุ่ม “ลองดูนี่สิ…”

หลินเป่ยเฉินรับเทียบเชิญมาเปิดออกดู จึงได้รู้ว่ามันเป็นบัตรเชิญที่ถูกส่งตรงมาหาฉู่เหิน คืนวันที่ 15 ของเดือนนี้ ผู้เป็นอาจารย์หัวหน้าประจำชั้นเรียนปีที่ 2 ได้รับเชิญไปยังจวนผู้ว่า เพื่อรับชมการประลองกระบี่ และข้อความเรียนเชิญมีเพียงอักษรสองบรรทัดว่า…

ค่ำคืนวันที่ 15 แสงจันทราอาบนภา

เชิญท่านมาจวนผู้ว่า ร่วมปรีดางานประลอง

ลายมือที่เขียนอยู่บนกระดาษแฝงพลังลมปราณเอาไว้เปี่ยมล้น หางตัวอักษรถูกตวัดเหมือนคมดาบ แยกซ้ายแยกขวา ตวัดขึ้นบนล่าง เพียงสัมผัสด้วยสายตา หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ว่าผู้ที่เขียนตัวอักษรเหล่านี้เป็นมือกระบี่ที่น่ากลัวเหลือเกิน

ฉู่เหินส่งเสียงทำลายห้วงคำนึงของเด็กหนุ่ม “คนที่เขียนเทียบเชิญนี้ มีนามว่าเฉาพั่วเถียน เป็นศิษย์เอกของไป๋ไห่ชิน นับเป็นมือกระบี่อนาคตไกลผู้หนึ่ง”

หลังจากนั้น ชายชราจึงได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เฉาพั่วเถียนผู้นี้เคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ติงมาก่อน ตอนแรกมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่มีโอกาสได้เข้ามาร่ำเรียนด้วยซ้ำ แต่ภายหลังอาจารย์ติงค้นพบพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ จึงได้ทุ่มเทถ่ายทอดวิชาให้แทบทุกอย่าง เฉาพั่วเถียนกลายเป็นอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง แต่โชคร้ายที่เขาไม่รักดี กลับทรยศอาจารย์ของตนเอง เข้าไปคำนับเป็นลูกศิษย์ไป๋ไห่ชิน และครั้งนี้ เฉาพั่วเถียนก็กลับมาที่เมืองนี้ด้วยเช่นกัน”