ตอนที่ 178 ร้านเครื่องแป้งเก่าแก่

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ตรอกชิงอวี่เป็นสถานที่ที่มีร้านเครื่องแป้งขนาดใหญ่และเล็กมากที่สุดในเมืองลี่โจว ส่วนจุดหมายปลายทางของกลุ่มเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ที่ปลายตรอกชิงอวี่ ร้านค้าเล็กๆ ที่สะอาดและสดชื่นแห่งหนึ่ง มีประตูบานเล็กอยู่ถัดไป ซึ่งมีไว้สำหรับแขกผู้มาเยียนพาคนรับใช้ไปพักผ่อนที่ลานบ้าน

เมื่อมาถึงทางเข้าตรอก ม่านเหอก็ยืดศีรษะออกมาสั่งการคนขับรถม้า ไม่นานเกี้ยวทั้งสี่ตัวก็เข้ามาในเรือนเล็ก หญิงสาวผู้สวยสดงดงามและค่อนข้างเฉลียวฉลาดเผยรอยยิ้มทักทายพลางกล่าวว่า “ที่แท้เป็นแม่นางม่านเหอ ยินดีต้อนรับ พี่ๆ รีบเตรียมน้ำชาเลี้ยงต้อนรับพี่ชายเหล่านี้ ทั้งสี่สาวโปรดตามข้ามานั่งในห้องเถิด!”

เซียงเสวี่ยได้รับบาดเจ็บขณะถือถุงก้อนหินอันหนักอึ้ง แล้วส่งมันให้กับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นรับกับมือหนักนิดหน่อย พยายามออกแรงเต็มที่ เพื่อไม่ให้ห่อสัมภาระร่วงหล่นลงพื้น ใช้โอกาสนี้หมุนตัวแสดงให้เซียงเสวี่ยเห็นว่า ‘ข้าแน่แค่ไหน’ หิ้วถุงสัมภาระโดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย แล้วพาทั้งสี่คนเข้าไป มีเด็กชายอายุแปดเก้าขวบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก ทักทายคนขับรถม้าทั้งแปดและเชื้อเชิญให้เข้าไปดื่มชาพักผ่อน

“นี่คือน้ำผึ้งหอมใหม่ล่าสุดจากร้านเครื่องแป้งเก่าแก่ของเรา ทำมาจากดอกมะลิที่ดีที่สุด สาวๆ ลองดูสิ!” หญิงสาวคลี่ยิ้มพลางส่งน้ำผึ้งหอมใสแวววาวไปให้หนึ่งขวด

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับมาสูดดมเล็กน้อยแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “มันดีจริงๆ เซียงเสวี่ย เจ้าลองดูสิ!”

“ข้าว่าดีทีเดียว!” เซียงเสวี่ยดูสบายๆ แล้วพูดด้วยความพึงพอใจว่า “ฤดูนี้เป็นช่วงที่ดอกมะลิบานสะพรั่งพอดี น้ำผึ้งหอมที่ทำจากดอกมะลิจะวิเศษที่สุด เดี๋ยวเอากลับไปแบ่งปันให้ทุกคน แต่ทำไมที่นี่ไม่มีแป้งชาดสีเข้มกว่านี้เลย พี่สาวสองคนของข้าใกล้งานมงคลเข้ามาแล้ว อยากได้อะไรที่สดใสกว่านี้!”

ผู้หญิงคนนั้นเผยยิ้มจนเห็นสีหน้าแดงเขินอาย จ้องไปที่ม่านเหอกับลู่หลัวของเซียงเสวี่ยอย่างไม่พอใจ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องการแป้งชาดสีสวยงาม แต่ที่นี่ไม่มี ขอให้สาวๆ ลองย้ายไปดูข้างในอีกห้องหนึ่ง! ตงอวี่ พาสาวๆ ไปเลือกแป้งชาดสีสดสวยๆ หน่อย”

“พวกเจ้าไปเถอะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อน แม้ใบหน้าของนางจะถูกปกคลุมด้วยผ้าโปร่ง แต่ลู่หลัวก็รู้ว่านางอารมณ์ดีมาก แล้วพาม่านเหอไปพร้อมกับตงอวี่ที่เพิ่งจะมา

“ยัยสาวใช้ตัวแสบคนนี้!” เมื่อเห็นพวกนางออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็โน้มตัวเข้ามาหยิกเซียงเสวี่ยอย่างมันเขี้ยวทีหนึ่งทันทีแล้วก่นว่าเบาๆ “เมื่อครู่นี้เจ้าเอาอะไรให้ข้า? ทำไมมันหนักเหมือนก้อนหิน ไม่เตือนเลยสักคำ มีเจตนาอยากเห็นข้าปล่อยไก่หรือ?”

“ไม่ใช่เรื่องของข้า เป็นหินที่คุณหนูใส่ต่างหาก!” เซียงเสวี่ยยิ้มร่าแล้วพูดว่า “ตงอวี่ เดี๋ยวเจ้าหาโอกาสไปนั่งในเกี้ยวตัวสุดท้ายนั้นนะ ไปเรือนหิมะสุขใจกับเรา คุณหนูจะหาโอกาสออกมาเดินเล่น ต้องให้เจ้าปลอมตัวแทน!”

“เข้าใจแล้ว!” ตงอวี่มองค้อนนางขวับหนึ่งแล้วยิ้มพูดว่า “คุณหนู หลายวันนี้ลี่โจวมีชีวิตชีวามาก มีข่าวลือทุกรูปแบบบินว่อนไปทั่วท้องฟ้า เรื่องแปลกประหลาดทุกประเภทผุดขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด ข้าเป็นท่านก็อดใจไว้ไม่อยู่ คิดจะออกมาสูดหายใจสักหน่อย!”

“เดี๋ยวจะมีหญิงชาวยุทธ์แบบนั้นมา ให้พวกนางเข้ามา ข้าอยากได้ยินข่าวลือว่ามีอะไรบ้างจากปากพวกนาง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า กะพริบดวงตาด้วยความตื่นเต้น

เซียงเสวี่ยยิ้มอย่างขมขื่น แต่ตงอวี่กลับยิ้มระรื่นเห็นด้วย นางหันออกไปสักพัก หลังจากกลับมาก็เริ่มแนะนำน้ำผึ้งที่มีกลิ่นหอมหลายอย่างให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มองดูสิ่งของที่ปรุงแต่งขึ้นอันประณีตชดช้อยเหล่านี้อย่างคล้อยตาม และลองทดสอบผลทันที “นี่เป็นน้ำผึ้งกลิ่นหอมที่สุดที่พวกเจ้าเอ่ยถึงหรือไม่?” น้ำเสียงที่เจือความหยิ่งผยองเล็กน้อยทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชำเลืองมองไปด้านข้างนิดหน่อย ในพริบตาเดียว กลับเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวสวยงามสามคน ล้วนอยู่ในวัยสิบหกสิบเจ็ดปี ต่างสวมชุดสีน้ำเงินอ่อน สีชมพูอ่อนและสีเหลืองอ่อนตามลำดับ ล้วนมีดาบพกติดกาย

“ใช่แล้ว จอมยุทธ์หญิงทั้งสามลองดูได้!” ผู้หญิงที่พาพวกนางเข้ามานั้นแนะนำพวกนางด้วยรอยยิ้มว่า “น้ำผึ้งหอมที่ทำจากดอกมะลิ ดอกสาลี่ ดอกกล้วยไม้และดอกหอมหมื่นลี้ซึ่งพบได้บ่อยไปจนกระทั่งถึงน้ำผึ้งหอมที่ทำจากดอกบัวหลวง ดอกบัวและดอกพุดซ้อนที่หายากนั้นล้วนมีหมด ขึ้นอยู่กับว่าเหล่าจอมยุทธ์หญิงชอบแบบไหน!”

“ขอลองชมทุกอย่างยกเว้นกลิ่นดอกสาลี่!” หญิงสาวที่สวมชุดชมพูพูดสั้นๆ ผู้หญิงคนนั้นจึงหยิบน้ำผึ้งหอมทั้งหมดออกมาอย่างแข็งขันทันที แล้วแนะนำให้ผู้หญิงทั้งสามคนรู้จักแบบเดียวกัน

“สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าของพวกนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” ลู่หลัวยิ้มเผล่แล้วเลือกแป้งชาดสองสามแบบให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดู เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับมามองพิจารณาใกล้ๆ พยักหน้าแล้วส่งให้เซียงเสวี่ย

“ดีมากเลย กลิ่นหอมวิเศษทีเดียว!” เซียงเสวี่ยยิ้มชมเชย จากนั้นถามม่านเหอที่นิ่งเงียบว่า “พี่ม่านเหอ แล้วเจ้าล่ะ? เลือกอะไร!”

“เราสองคนเลือกด้วยกัน ต่างก็ชอบเหมือนกัน!” ม่านเหอรู้สึกว่าตนกับลู่หลัวมีความชอบเหมือนกัน ชอบอะไรก็คล้ายกัน

“รบกวนพวกนางห่อของที่เลือกให้เรียบร้อย แล้วตรงไปวางไว้บนเกี้ยวเลยก็ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดกับตงอวี่เบาๆ ตงอวี่รู้กันดีจึงขานรับคำทันที

“สะใภ้ใหญ่ ท่านเลือกได้อะไรหรือเจ้าค่ะ?” ลู่หลัวเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มหวานแล้วพูดว่า “อย่าบอกนะว่าท่านยังจะใช้น้ำผึ้งหอมดอกถานฮวาอยู่อีก ดูเหมือนที่นี่จะไม่นิยมใช้น้ำผึ้งหอมดอกถานฮวานะเจ้าคะ”

“ยังดูอยู่เลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิบกระปุกหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าว่าน้ำหอมกลิ่นดอกบัวนี้ก็ดีเช่นกัน เอาไปฝากม่านเหลียนสักกระปุก แล้วม่านเหอชอบน้ำหอมกลิ่นอะไร?”

“ข้าว่า กลิ่นหอมของดอกมะลิก็ใช้ได้เจ้าค่ะ!” ม่านเหอรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงแค่ถือโอกาสออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง ตนจะไม่ซื้อของมากนัก แต่จะนำไปให้แม่นมสาวใช้ที่สนิทข้างกายเป็นแน่

“ข้าว่ากลิ่นส้มนี้ดีทีเดียว มีกลิ่นหอมของผลไม้ที่เข้มข้น และในช่วงอากาศร้อนหมู่นี้ ดมแล้วจะได้กลิ่นที่สดชื่นยิ่งขึ้น!” ลู่หลัวยิ้มกริ่มแล้วเปิดกระปุกออก แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้กลิ่นส้มหอมรัญจวนใจ

“มันดีงามมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วคลี่ยิ้มบอกว่า “เอากระปุกหนึ่งด้วย! มีน้ำหอมกลิ่นดอกสาลี่หรือเปล่า? ข้าว่ากลิ่นดอกสาลี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน!”

“กลิ่นดอกสาลี่อยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ!” ตงอวี่ยื่นกระปุกไปให้อย่างรวดเร็ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปิดออกสูดดมเล็กน้อยแล้วระบายยิ้มกล่าวว่า “ยังหอมดี! เซียงเสวี่ยเจ้าดมแล้วเป็นอย่างไร?”

“ไม่เลวเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยยิ้มรับมาดมแล้วตอบว่า “กลิ่นบริสุทธิ์มาก ดูท่าจะทำจากดอกตูมที่ยังไม่บาน ยังอ่อนอยู่และกลิ่นไม่แรงเจ้าค่ะ”

“แต่นั่นก็เป็นกลิ่นหอมของดอกสาลี่!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองดูคุ้นเคยอย่างเห็นได้ชัดแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูชุดของพี่สาวผู้นี้…แม้จะอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าตาได้ตามใจชอบ น่าจะมาจากอาจารย์สอนประจำตระกูลที่เข้มงวดมากกระมัง! เชื่อน้องสาวเตือนสักคำ อย่าใช้น้ำหอมกลิ่นดอกสาลี่นี้เลย!”

“ทำไม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีใจมาก แต่มีเพียงสีหน้าสับสนในดวงตา

“พี่สาวไม่ได้ยินแม้แต่เรื่องที่วิจารณ์กันเกรียวกราวทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ‘นารีเป็นเหตุ’ กับ ‘นางมารดอกสาลี่’ สินะ!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองยิ้มกล่าว คนรอบข้างนางทั้งสองมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยใบหน้างงงวย ราวกับได้เห็นกบในกะลาครอบก็มิปาน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหัวพลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เชี่ยเซินไม่ค่อยออกไปข้างนอก คราวนี้ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะสาวใช้ข้างกายมากฝีมือมีอายุครบจะแต่งงานออกไป ก็อยากจะซื้อแป้งชาดดีๆ ให้พวกนางสักหน่อย พวกนางจะได้ตบแต่งให้สวยงามออกเหย้าออกเรือนไป ยามปกติจะไม่ได้ออกมาจึงไม่เคยได้ยินเรื่อง ‘เป็นเหตุ’ หรือ ‘นางมาร’ ใดๆ เลย!”

“มิน่าเล่า! ‘นารีเป็นเหตุ’ นี้หมายถึงสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนในลี่โจว ว่ากันว่านางเกิดมางดงามราวกับเทพธิดา มีกิริยาท่าทางสง่างามทรงเสน่ห์ เป็นที่รักของซั่งกวนเจวี๋ยคุณชายใหญ่ซั่งกวนอย่างสุดซึ้ง ทั้งสองแต่งงานกันเพียงครึ่งปี ก็รักใคร่กันจนน่าตกอกตกใจ” หญิงสาวในชุดสีเหลืองถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “พี่สาวเป็นคนมีชื่อเสียงในลี่โจว น่าจะรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยโดดเด่นแค่ไหนกระมัง! เขาเคยจับกระบี่เดินเตร่ท่องเที่ยวยุทธภพ อาภรณ์พลิ้วปลิวไสว สง่างามน่าเกรงขาม เป็นสามีในดวงใจของหญิงสาวชาวยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน วรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศ ครั้งหนึ่งเขาได้ประลองเดี่ยวกับสองจอมยุทธ์ใหญ่ซึ่งติดสิบอันดับแรกของยุทธภพในงานประลองยุทธ์เมื่อปีกลาย ชนะได้อย่างสวยงาม! เพียงแต่เขามีภูมิหลังที่สูงส่ง ไม่มีทางที่เราจะเข้าถึงได้เหมือนคนปกติ แต่มีนางมารตนหนึ่งที่อาศัยความสะดวกสบายว่าอยู่ใกล้ชิดแล้วจะได้เปรียบ เข้าไปพัวพันกับคุณชายจอมยุทธ์ซั่งกวน นั่นคือทั่วป๋าฉินซินที่ถูกขนานนามว่า ‘เทพธิดาดอกสาลี่’ อย่างไรเล่า”

“คุณหนูสี่ของตระกูลทั่วป๋านี่นะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นอย่างคลางแคลงใจเล็กน้อย

“ถูกต้อง แต่ตอนนี้ไม่มีใครเรียกนางว่าเทพธิดา แต่เรียกใหม่ว่า ‘นางมารดอกสาลี่’ พี่สาวรู้ไหมว่าเพราะเหตุใด?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงในชุดสีเหลืองไม่ค่อยได้เห็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยจึงเล่าให้ฟังเป็นคุ้งเป็นแคว

“ขอคำแนะนำจากน้องสาวด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำตามคำพูดของผู้หญิงคนนั้นโดยไม่คำนึงถึงม่านเหอที่หน้าซีดทันที

“มันน่าจะเริ่มตั้งแต่ก่อนคืนวันที่สิบสองแล้ว…” หญิงสาวชุดเหลืองเริ่มเล่าจากเรือนสดับวายุที่ถูกโจมตีโดยไม่ทราบฝ่าย เล่ามาจนกระทั่งถึงข่าวลือมีการเปลี่ยนแปลงและวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาในขณะนี้ ครั้นแล้วก็ยังพูดอย่างไม่หายอยากว่า “แม้ทุกคนจะคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ผู้ชายในฐานะสามีสมควรมีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ใครก็ตามที่เจอเรื่องแบบนี้ควรต่อสู้กลับอย่างดุเดือด ไม่ควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจ แต่เป็นเพราะคนที่เกี่ยวข้องยังมีฮูหยินใหญ่ซั่งกวนด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงมีคนที่กตัญญูผิดทางคิดว่าเขาทำไม่ถูกต้อง จึงใส่ความเขาว่า ‘อกตัญญู’ และ ‘เนรคุณ’ และคิดจะโยนทั้งหมดนี้ไปโทษภรรยาของเขา คนเหล่านี้ก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่า คนเขามีพ่อแม่เลี้ยงดูมา มีสิทธิ์แต่งงานเข้าตระกูลของพวกเจ้า เพียงเพราะเจ้าไม่ชอบ จึงไปขัดขวางเส้นทางของ ‘นางมาร’ ตัวนั้น ซึ่งจะทำให้ถึงตายได้

“ที่แท้เป็นเรื่องเช่นนี้นี่เอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นยามนี้หลายคนในเมืองลี่โจวกังวลกับเรื่องนี้ ต่างคิดกันว่าคุณหนูทั่วป๋าเป็น ‘นางมาร’ แต่กับซั่งกวนเจวี๋ยแล้วกลับเสียงแตก มีบางคนคิดว่าเขาทำถูก ในขณะที่บางคนคิดว่าเขาอกตัญญูและเนรคุณ!”

“คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง และคิดว่าเขาไม่ได้อกตัญญู แต่ก็ไม่โง่งมกตัญญูผิดทาง เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลสูงศักดิ์ จะสืบทอดกิจการของตระกูลในอนาคต ถ้าเป็นคนที่กตัญญูไม่ลืมหูลืมตา ตระกูลซั่งกวนก็อยู่ไม่ห่างไกลจากความเสื่อมถอย แต่เนื่องจากสาเหตุของเหตุการณ์นี้คือภรรยาของเขา ซึ่งเป็นหญิงที่ไร้ความสามารถทว่าสวยสะคราญงามล้ำเลิศในปฐพี จึงมีคนบางส่วนคิดว่า เขาต้องได้รับผลกระทบจากเสน่ห์ยั่วยวนของผู้หญิงคนนั้น ถึงได้ปฏิบัติกับครอบครัวทางฝ่ายย่าอย่างโหดเหี้ยมเยี่ยงนี้” หญิงสาวชุดสีชมพูรับลูกเล่าต่อ

“แต่เรากลับคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยทำถูกต้อง ผู้ชายคนหนึ่งไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องภรรยาและลูกของตนได้ ยังจะทำอะไรได้อีก?” เมื่อหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินพูดเช่นนี้ ก็กะพริบตาปริบๆ

“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว!” หญิงสาวในชุดสีเหลืองคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเกลียดผู้ชายประเภทที่เอาแต่รับปากต่อหน้าผู้อาวุโสลูกเดียวและก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งไม่ว่าอะไรจะถูกหรือผิดก็ตาม พูดทำนองว่าในโลกหล้านี้มีแต่พ่อแม่เท่านั้น แต่นั่นเป็นเพียงเพราะคนที่ได้รับความอยุติธรรมที่สุดไม่ใช่เขา แต่เป็นภรรยาของเขา จึงขอให้อดทนและเชื่อฟัง ต่อให้จะถูกบังคับให้ตาย ก็ไม่โทษโชควาสนา ผู้ชายแบบนั้นน่าตลกสิ้นดี”

“จริงด้วย!” หญิงสาวที่สวมชุดสีน้ำเงินกล่าวต่อ “ที่น่ารังเกียจที่สุดคือไม่เพียงปกป้องภรรยาและลูกไม่ได้ แต่ภรรยาต้องทนทุกข์ทรมานถึงกับทารุณจนเสียชีวิต หรือแสร้งทำเป็นรักใคร่หลังจากหย่ากับภรรยาตามความประสงค์ของพ่อแม่ ดูเหมือนไม่คิดด้วยซ้ำว่า ตอนที่คนถูกทำร้ายนั้นเจ้าทำอะไรอยู่? ดังนั้นเราจึงคิดว่าสิ่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยทำในครั้งนี้สมเป็นชายชาตรีผู้กล้าหาญที่สุด!”

“ขอบคุณคุณหนูทั้งสามที่ช่วยไขความกระจ่าง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “เราพบกันโดยบังเอิญ ทำให้คุณหนูทั้งสามเสียเวลามาเนิ่นนานขนาดนี้ รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เลย! โชคยังดีที่นี่คือร้านเครื่องแป้ง น้องๆ ชอบอะไรก็หยิบได้ตามใจชอบ ถือว่าเป็นของขวัญแรกพบ!”

“ไม่เกรงใจได้อย่างไร!” หญิงสาวในชุดเหลืองไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะสุภาพและมีน้ำใจเช่นนี้ แต่พวกนางเห็นว่า ด้านหน้าของร้านเครื่องแป้งเก่าแก่นี้ไม่ได้ใหญ่โต แต่สินค้าดีจริงๆ แน่นอนว่าราคาไม่ถูก

“น้องสาวอย่าได้เกรงใจไป ถ้าบรรดาน้องๆ ลำบากใจจะเลือก ก็เอาไปอย่างละชุดแล้วกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อน สุดท้ายสาวทั้งสามก็รับน้ำใจของนาง เลือกสิ่งของที่ตนชื่นชอบ ใบหน้ายิ้มแย้มกล่าวขอบคุณเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จากนั้นก็จากไปด้วยรอยยิ้มละมุน

“เราก็กลับกันเถอะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดแผ่วเบา เชื่อว่าตงอวี่จะขึ้นเกี้ยวได้สำเร็จแล้วสินะ!

“เจ้าค่ะ!” ทั้งสามไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น ห้อมล้อมเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปขึ้นเกี้ยวที่เรือนเล็กอย่างระมัดระวัง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ยิ้มหวานออกมา ไม่นึกว่าเจวี๋ยจะทำได้ถึงขั้นนี้…แต่ ไม่มีเหตุผลจะทะเลาะกัน ควรทำอย่างไรดีล่ะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกหนักใจระคนหวานชื่นเล็กน้อย…

—————