“หลังจากนั้นล่ะ……” อาจารย์สวีคำรามออกมา

“หลังจากนั้น……หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดปาดคอของอาจารย์หรง น่ากลัวมาก ความเร็วของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่แววตาของเขากลับยิ่งน่ากลัว ข้าไม่เคยเห็นสายตาที่น่ากลัวเช่นนี้ของเยี่ยเฟิงเลย”

หลี่เหิงดูเหมือนจะหวาดกลัว เป็นเวลานานกว่าที่เขาจะกลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงพูดจาติดๆ ขัดๆ

ผู้ที่อยู่ข้างหลี่เหิงกล่าวต่อ “หลังจากนั้นผู้พิทักษ์สถานที่ก็ออกมา พวกเขาล้อมเยี่ยเฟิงเอาไว้ แต่……ทั้งแปดคนไม่สามารถทำอะไรกับเยี่ยเฟิงได้เลย และยังทำให้เยี่ยเฟิงหลบหนีไปได้”

“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าคนคนนั้นคือเยี่ยเฟิง? หรือว่าดูผิดไป?” เซี่ยวอวี่เซวียนพูดขัดจังหวะแทรกขึ้นมา

เพราะคำพูดของเขานี้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยจ้องมองเขาด้วยความโกรธ

“ข้าก็คิดว่าข้าดูผิดไป แต่ทุกคนต่างก็เห็นกัน ผู้พิทักษ์ที่มีฝีมือขั้นสูงยังได้ประลองฝีมือกับเขา พวกเขาก็คงไม่ได้จำคนผิดหรอก”

“ใช่ คนนั้นคือเยี่ยเฟิง รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่ผิด พวกข้าจำคนไม่ผิดหรอก”

“ไม่แน่ คนคนนั้นอาจปลอมตัวเป็นเยี่ยเฟิงก็เป็นได้?” เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าว

“ผู้พิทักษ์สถานที่ก็เคยสงสัยในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงได้จงใจทดสอบอีกครั้ง แต่ผลกลับไม่ใช่ ใบหน้าของเขาไม่ได้มีการปลอมแปลงเลย”

แม้แต่หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างสั่นคลอน “พี่ใหญ่ ใช่เยี่ยเฟิงจริงๆ พวกข้าก็ได้เห็นแล้ว”

ร่างกายของเซี่ยวอวี่เซวียนเซเล็กน้อยและสีหน้าก็ดูซีดลง จากนั้นจึงมองไปที่กู้ชูหน่วนที่เงียบไม่พูดอะไร

“แม่……แม่สาวอัปลักษณ์……หรือว่าเยี่ยเฟิงจะเป็นคนฆ่าจริง?”

ที่คนอื่นพูดมานั้นเขาไม่เชื่อ แต่หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยไม่มีทางโกหกเขาได้

กู้ชูหน่วนสวมผ้าคลุมใบหน้าอยู่ จึงไม่สามารถเห็นได้ว่าสีหน้าของนางเป็นอย่างไร เห็นเพียงดวงตาของนางเท่านั้นที่เย็นชาและแน่วแน่

ถึงแม้ว่าทุกคนจะพากันบอกว่าเยี่ยเฟิงเป็นฆาตกร ถึงแม้ว่าหลักฐานทุกอย่างจะชี้ไปที่เยี่ยเฟิง แต่นางก็ไม่เชื่อว่าเยี่ยเฟิงจะเป็นผู้ร้าย นางเชื่อในการตัดสินของตัวนางเอง

ดวงตาของกู้ชูหน่วนหรี่ลงเล็กน้อยและกวาดสายตาไปที่ห้องนอนของหัวหน้าสำนักศึกษา ในใจก็ยังวนเวียนคิดแต่เรื่องนี้

หัวหน้าสำนักศึกษาตายที่หอเก็บสะสมตำรา อาจารย์หรงตายลงที่หน้าห้องนอนของหัวหน้าสำนักศึกษา ทั้งสองต่างก็เกี่ยวพันกันกับหัวหน้าสำนักศึกษา หรือเพราะอีกฝ่ายต้องการอะไรจากหัวหน้าสถานศึกษา?

มิฉะนั้น เรื่องบังเอิญเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

เพราะเรื่องของหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์หรง ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตื่นตระหนกและหวาดกลัว ทุกคนต่างหวาดผวาว่าตัวเองจะเป็นคนต่อไปที่ถูกฆ่า

เพราะกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนออกมาปกป้องเยี่ยเฟิง จึงทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างพากันกีดกันออกห่าง

วันเวลาสองวันกับหนึ่งคืนผ่านไป แต่กู้ชูหน่วนก็ยังหาตัวฆาตกรไม่เจอ และเยี่ยเฟิงก็ราวกับหายตัวไปอากาศ ไม่ว่าสำนักศึกษาหลวงจะใช้วิธีการใดก็ไม่สามารถหาตัวเขาเจอ

ทุกคนในสำนักศึกษาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ และตัดสินว่าเยี่ยเฟิงก็คือฆาตกรที่ลงมือฆ่า ดังนั้นเขาจึงหนีไป

ยามไฮ่

ถัดจากวัดร้างทางตอนใต้ของเมือง

เซี่ยวอวี่เซวียนพูดพลางบ่นออกมา “ต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนถึงจะถึงหมู่บ้านเสี่ยวเหอน่ะ? เราเดินกันมาทั้งวันแล้ว ขาของข้าปวดจนแทบจะหลุดออกมาแล้วนะ”

“เดินอีกประมาณสองภูเขาก็ถึงแล้วล่ะ”

“อะไรนะ……ยังต้องปีนเขาอีกสองลูกเลยหรือ? ปัดโธ่ ข้าไม่ไปแล้ว ขืนยังเดินต่อไปเช่นนี้ ขอทั้งสองของข้าจะต้องพิการแน่ๆ”

กู้ชูหน่วนกลอกตาไปมา

นางเป็นผู้หญิงนางยังไม่บ่นว่าเหนื่อยเลย เขากลับบ่นเหนื่อย?

ที่ทำให้ต้องเดินหลงทาง ก็ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ

นางไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลาหลายวันและหลายคืนแล้ว ตอนที่นั่งรถม้าเดินทางไปเยี่ยมยายของเยี่ยเฟิงที่หมู่บ้านเสี่ยวเหอนั้น นางก็แค่เผลองีบหลับไปเพียงแปปเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายเซี่ยวอวี่เซวียนกลับบังคับรถม้าลงไปที่หน้าผา หากไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาโชคดี เช่นนั้นเกรงว่าก็คงต้องตายและไปเจอกับพญายมเข้าแล้ว มีหรือที่เขาจะยังบ่นได้อยู่เช่นนี้

“ในป่ารกทึบและภูเขาที่ไร้ผู้คน หากเจ้าต้องการออกไป ก็ทำได้เพียงพึ่งพาสองขาของเจ้า นอกเหนือจากนี้ ไม่มีใครที่ไหนสามารถช่วยเจ้าได้”