ภาคที่ 2 บทที่ 184 ถ้ำหิน

มู่หนานจือ

จงเทียนอี้ไม่ชอบเป็นอย่างมาก จึงกระซิบบอกหลี่เชียนว่า “เจ้าหาสาวใช้ให้ท่านหญิงสักสองคนดีกว่ากระมัง? แบบนี้คนนอกเห็นแล้วยังไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร? เจ้าไม่เห็นที่พวกพระในวัดเมื่อวานหาข้ออ้างมามุงดูหลิวตงเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่าหรือ?”

ตอนที่หลี่เชียนเพิ่งเข้าวังก็ไม่ชอบเหมือนกัน ทว่าหลังจากเขาอยู่ในวังระยะหนึ่งก็ค่อยๆ เข้าใจเช่นกัน

เขาตวาดด่าจงเทียนอี้เสียงเบาว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล! นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน อย่างครั้งนี้พวกเรามาจากเมืองหลวง หากข้างกายเจียหนานไม่ใช่หลิวตงเยว่แต่เป็นนางใน พวกเราจะกลับซานซีได้อย่างราบรื่นแบบนี้หรือ? ในวังกับข้างนอกไม่เหมือนกัน สถานที่ในวังใหญ่ จึงต้องการคนที่รับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ มาก หากไม่ใช้ขันทีเหล่านี้แล้วจะทำอย่างไร?”

จงเทียนอี้บ่นพึมพำว่า “อย่างไรข้าก็รู้สึกไม่ดี!”

“เช่นนั้นก็ทำเป็นมองไม่เห็น!” หลี่เชียนเอ่ย “ท่านหญิงเติบโตในวังมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนกับคุณหนูจากตระกูลขุนนางทั่วไป ต่อไปเจ้าก็จะค่อยๆ เข้าใจเอง”

จงเทียนอี้ไม่เห็นด้วย จึงเอ่ยว่า “ข้าตกลงกับศิษย์พี่ของข้าไว้นานแล้ว อีกไม่กี่วันจะไปทางตะวันตกของแอ่งเสฉวนกับเขา ตอนปีใหม่ถึงจะกลับมา ข้าชอบหรือไม่สำคัญตรงไหน? ถึงอย่างไรเจ้าก็ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะแต่งงานกับนางแล้ว ต่อไปนางอยู่เรือนด้านใน ข้าอยู่เรือนด้านนอก ทั้งปีก็ไม่ได้เจอกันสักครั้งอยู่ดี”

หลี่เชียนได้ยินก็ยิ้มและเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปเมื่อไร?”

“ข้าคุ้มกันพวกเจ้าถึงไท่หยวนแล้วก็ไป” จงเทียนอี้พูดอยู่ก็เอ่ยว่า “เฮ้ ” และใช้ข้อศอกสะกิดหลี่เชียน แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าให้ข้ายืมเงินหน่อย ตอนข้าออกมาท่านพ่อให้เงินข้ามาร้อยตำลึง บอกว่าให้ข้าช่วยเจ้าทำงานให้เสร็จและกลับไป…แต่ข้าคิดว่าจะไปเลย!”

หลี่เชียนพยักหน้า พอเห็นว่าหลิวตงเยว่ประคองเจียงเซี่ยนดูพระพุทธรูปที่แกะสลักในถ้ำหินเย็นเสร็จแล้ว ก็ทิ้งจงเทียนอี้ และเดินไปหาอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจำได้ว่าในวัดวั่นโซ่วของเมืองหลวงก็มีปฏิมากรรมแบบนี้เหมือนกัน ทั้งสองที่มีอะไรแตกต่างกันหรือไม่?”

เจียงเซี่ยนตั้งใจดู พลางเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าเคยไปวัดวั่นโซ่วด้วย พระพุทธรูปของที่นั่นเป็นฝีมือของช่างทางเหนือ จึงดุดันและทรงพลัง แต่ที่นี่เป็นฝีมือของช่างทางใต้ จึงละเอียดและประณีต ทว่าข้าก็ยังชอบฝีมือของช่างทางเหนืออยู่ดี เจ้าดูพระพุทธรูปแกะสลักองค์นี้สิ หน้าตาโศกเศร้าและโกรธแค้น แต่ร่างกายกลับผอมบางเกินไปหน่อย จึงทำได้เพียงวางไว้ในซุ้มหินและให้คนชมแบบนี้”

หลี่เชียนแค่อยากหลอกให้เจียงเซี่ยนพูดมากขึ้นอีกหน่อย นางยอมคุยด้วย แน่นอนว่าเขาย่อมดีใจจนออกนอกหน้า จึงอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เช่นนั้นครั้งหน้าพวกเราว่างก็ไปเที่ยววัดฉงซั่นด้วยกันเถอะ? ที่นั่นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ก่อน ท่าทางทรงพลังและยิ่งใหญ่ เจ้าต้องชอบอย่างแน่นอน”

เจียงเซี่ยนปรายตามองหลี่เชียนอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม และเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะชวนข้าไปเที่ยววัดหลิงเหยียนเสียอีก!”

วัดฉงซั่นอยู่ไท่หยวน วัดหลิงเหยียนอยู่เฝินหยาง

หลี่เชียนหัวใจเต้นผิดจังหวะกับสายตาที่มองมา ครู่ใหญ่ถึงจะสงบสติอารมณ์ได้ และรู้สึกว่าไม่ว่าตนเองจะตอบหรือไม่ก็ผิดทั้งนั้น จึงเพียงแค่ยิ้ม แล้วชี้บ่อน้ำแปดเหลี่ยมที่อยู่ใต้ถ้ำหิน พลางเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ นั่นก็คือน้ำศักดิ์สิทธิ์ของถ้ำหินเย็น เย็นมากใช่หรือไม่?”

เมืองหลวงมีน้ำน้อย เจียงเซี่ยนชอบน้ำมากกว่าภูเขา พอได้ยินจึงเดินเข้าไปข้างรั้วหินข้างบ่อน้ำ และเห็นว่าบ่อน้ำนั้นเป็นเพียงตาน้ำ น้ำแร่ใสแจ๋วจนเห็นก้นบ่อ ทั้งไม่ไหลออกมาข้างนอกและไม่ลดลง เหนือบ่อน้ำมีแสงส่องเข้ามาเล็กน้อย มังกรยักษ์ที่แกะสลักอยู่ในถ้ำจึงสะท้อนเงาแบบกลับหัวในนั้น ช่างประณีต งดงาม และหาได้ยากมาก

เจียงเซี่ยนสนใจมาก และสั่งหลิวตงเยว่ว่า “ไปตักน้ำขึ้นมาหน่อย พวกเรามาลองชิมกันว่าจะรสชาติเป็นอย่างไร!”

หลิวตงเยว่ลังเลยู่ชั่วครู่

ท่านหญิงร่างกายไม่แข็งแรง และน้ำที่กินมาตลอดทางนี้ก็เป็นน้ำจากภูเขาอวี้เฉวียน…

เวลานี้เขานึกขึ้นมา ถึงจะสังเกตเห็นที่หลี่เชียนดีกับเจียงเซี่ยน

เขาอดที่จะมองไปทางหลี่เชียนไม่ได้

หลี่เชียนเห็นก็แอบพยักหน้าในใจ

หลิวตงเยว่ผู้นี้ไหวพริบดี รู้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องถามเขา

“เป่าหนิง!” หลี่เชียนยิ้มและเข้าไปเอ่ยกับนางว่า “เจ้าดื่มน้ำจากภูเขาอวี้เฉวียนมาตั้งแต่เด็กจนโต ระวังจะไม่ชินกับอาหารและเครื่องดื่ม พวกเราอย่าดื่มน้ำนี้เลย ตักขึ้นมาให้เจ้าล้างมือเป็นอย่างไร? ข้าได้ยินว่าคนที่นับถือพุทธจุดธูปบูชาต้องล้างมือขวา เจ้าล้างมือแล้ว พวกเราไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ที่อุโบสถดีหรือไม่?” แล้วก็กลัวว่านางจะไม่ฟัง จึงชี้ก้นบ่อน้ำและเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ ข้างๆ นั้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าปกติมีแมลงปีนเข้ามาดื่มน้ำหรือไม่…”

เดิมทีเจียงเซี่ยนก็กลัวพวกตะไคร่น้ำชื้นๆ ข้างบ่อน้ำนั้นเล็กน้อยอยู่แล้ว พอได้ยินหลี่เชียนเอ่ยเช่นนี้อีก จึงหมดอารมณ์ดื่มน้ำทันที

หลี่เชียนเห็นสถานการณ์ก็รีบส่งสายตาให้หลิวตงเยว่

หลิวตงเยว่นับถือมาก

นึกไม่ถึงว่าใต้เท้าหลี่พูดสองสามคำก็ทำให้ท่านหญิงเปลี่ยนใจได้แล้ว

เขาวิ่งเหยาะๆ ไปหยิบถุงน้ำมาถุงหนึ่ง และตักน้ำมาเล็กน้อย หลี่เชียนรับถุงน้ำไป และส่งสัญญาณให้เจียงเซี่ยนนั่งข้างบ่อน้ำ แล้วล้างมือให้นาง

น้ำเย็นเฉียบ แต่เมื่อครู่นางเดินมาไกลมาก ร่างกายกำลังร้อนเล็กน้อย น้ำบ่อนี้จึงเป็นเหมือนน้ำค้างรสหวานที่แก้กระหายน้ำ ทำให้นางรู้สึกเย็นสบายและสดชื่น

หลี่เชียนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เจียงเซี่ยนเช็ดมือ

เจียงเซี่ยนถือโอกาสนั่งลงบนรั้วหินข้างบ่อน้ำ นางมองภูเขาที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่นี่เงียบสงบมาก”

หลี่เชียนยิ้มและนั่งลงบนม้านั่งหินข้างกายนาง แล้วหยิบถุงน้ำกับถ้วยชาในมือของปิงเหอมารินน้ำให้เจียงเซี่ยนเองกับมือ และยิ้มพลางเอ่ยว่า “ดื่มน้ำสักหน่อย เจ้าเดินมาครึ่งก้านธูปแล้ว”

เจียงเซี่ยนก็ไม่เกรงใจเช่นกัน จึงรับถ้วยชามาจิบทีละนิด

จงเทียนอี้นั่งอยู่บนขั้นบันไดหินที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยว่า “อยู่ที่นี่ชั่วคราวสักสองสามวันยังไหว หากอยู่นาน นอกจากพระแล้วก็ต้นไม้ ต้องเป็นบ้าแน่”

เจียงเซี่ยนคิดถึงสิ่งที่หลี่เชียนเอ่ยเมื่อครู่ จึงถามหลี่เชียน “เจ้าไม่ได้นับถือพุทธหรือ? นับถือเต๋าหรือ?”

หลี่เชียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้านับถือทั้งสอง” แล้วถามเจียงเซี่ยน “เจ้าน่าจะนับถือพุทธใช่หรือไม่? ข้าเห็นไทฮองไทเฮาตื่นมาก็ต้องจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ทุกเช้า แถมยังคัดพระไตรปิฎกด้วยพระองค์เองด้วย…”

นับถือทั้งสอง?!

ก็หมายความไม่นับถือทั้งสองเหมือนกันนะ!

เจียงเซี่ยนเบ้ปากอย่างเย็นชา

จงเทียนอี้ดูอยู่ข้างๆ อย่างสนใจ แล้วก็หัวเราะออกมา และเลื่อยขาเก้าอี้หลี่เชียน “ท่านหญิง ใต้เท้าหลี่ผู้นี้นั้นนับถือทั้งพุทธและเต๋า ขอเพียงเป็นผลดีต่อเขา เขาก็สามารถเป็นสาวกของสำนักใดก็ได้ตลอดเวลา…”

“จงเทียนอี้!” หลี่เชียนถลึงตา และหันหน้าไปกระซิบกับเขาว่า “เงิน”

จงเทียนอี้ปิดปากทันที

หลี่เชียนหันกลับไปยิ้มให้เจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “เจ้าอย่าฟังเขาพูดจาเหลวไหล เขาหวังให้ใต้หล้านี้เกิดความวุ่นวายจนบรรลุเป้าหมายของตนเอง บางครั้งข้าแค่รู้สึกว่าศาสนาพุทธพูดมีเหตุผล บางครั้งก็รู้สึกว่าลัทธิเต๋าพูดมีเหตุผลก็เท่านั้นเอง”

“หือ?” ทว่าเจียงเซี่ยนกลับรู้สึกว่าสิ่งที่จงเทียนอี้พูดต่างหากที่เป็นความจริง นางจึงเลิกคิ้วและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกคำพูดไหนมีเหตุผล? คำไหนไม่มีเหตุผลล่ะ?”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “อย่างเช่น ในศาสนาพุทธบอกว่า ‘เพียงแค่คนที่ทำชั่วสำนึกผิดและแก้ตัวใหม่ก็จะกลายเป็นคนดีทันที’ ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ส่วนในลัทธิเต๋าบอกว่า ‘อย่าบำเพ็ญตบะชาติหน้า ให้บำเพ็ญตบะชาตินี้’ ข้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเช่นกัน…”

เพราะแบบนี้หรือเปล่า ชาติก่อนหลี่เชียนจึงสามารถสังหารชนกลุ่มน้อยทางเหนือสองหมื่นคนและเอาศพมากองรวมกันได้โดยไร้ซึ่งความรู้สึกกดดัน เพราะเขาเชื่อว่าทำผิดแล้วเพียงแค่แก้ตัวใหม่ พระโพธิสัตว์ก็จะให้อภัย เช่นเดียวกัน เพราะเขารู้สึกว่าชาติหน้าเลือนรางและเป็นมายา จึงควรจะคว้าปัจจุบันเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าได้อะไรมาก็จะทำทันที…

ส่วนนางสวดมนต์กับไทฮองไทเฮาเป็นประจำมาตั้งแต่เด็ก จึงเชื่อเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมากกว่า

เพราะแบบนี้หรือเปล่า นางจึงฆ่าจ้าวอี้แล้วกลับรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา เวลาที่คิดถึงจ้าวอี้ก็มีแต่ถอนหายใจและไม่ได้เคียดแค้น?

หลี่เชียน…เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งมากกว่าที่นางคิดเสียอีก

ชาติก่อนนางแพ้เขา ก็สมควรแล้ว