“เพราะฉะนั้นอยากพูดอะไรกันแน่ครับ ชานาเนส”

 

“ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะคะเวสติน”

 

ชานาเนสส่ายศีรษะไปมา

 

“ที่ผ่านมาคุณยักยอกเงินทองไปจากลอมบาร์เดียเยอะทีเดียว และข้าก็ได้รู้เรื่องที่ว่านั้นแล้ว แต่นี่คุณยัง…”

 

“ทั้งหมดก็เพื่อพวกเราทั้งนั้นนะครับ”

 

“เพื่อ…พวกเราอย่างนั้นเหรอคะ”

 

เวสตินแสร้งทำหน้าเศร้า

 

ชานาเนสเป็นพวกใจอ่อนเพราะฉะนั้นเขาถึงได้ตั้งใจใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์

 

“ชานาเนส ข้ารักเจ้ามากจริงๆ ข้าแต่งงานกับเจ้าโดยยอมรับความน่าอับอายที่ไม่อาจมอบชื่อตระกูลต่อให้บุตรชายได้”

 

ถึงแม้จะโดนจับได้ว่าที่ผ่านมาเขาขโมยเงินของลอมบาร์เดีย แต่ยังมีเหตุผลอื่นให้เขาสามารถหลุดพ้นข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้อยู่

 

“แต่คนของตระกูลเจ้ากลับเอาแต่เมินเฉยข้าอยู่เรื่อย รวมถึงตระกูลชูลส์ด้วยน่ะสิ”

 

คนที่เมินเฉยเวสตินกับตระกูลชูลส์ หลักๆ ก็คือเบเจอร์กับลอเรนซ์

 

แต่คนที่เข้ามาสนิทสนมใกล้ชิดที่สุดในตอนสุดท้ายกลับกลายเป็นสองคนนั่น

 

ทว่าเวสตินเลือกที่จะโยนความจริงดังกล่าวทิ้งไป แล้วพูดต่อ

 

“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ต้องทำแบบนั้น ข้าอยากจะทำให้ตระกูลชูลส์กลายเป็นตระกูลที่เหมาะสมกับลอมบาร์เดีย แม้จะแค่น้อยนิดก็ยังดีน่ะครับ”

 

“เพราะอย่างนั้นก็เลยยักยอกทรัพย์สินของลอมบาร์เดียเหรอคะ”

 

“คิดว่าข้ารู้สึกดีหรือครับที่ทำเรื่องพวกนั้นลงไป”

 

เวสตินยังคงเรียกร้องความสงสารจากชานาเนสต่อไป

 

“ก็มีเงินช่วยเหลือที่ลอมบาร์เดียมอบให้เพื่อสนับสนุนตระกูลชูลส์แล้วไม่ใช่เหรอคะ เงินเท่านั้นยังไม่พออีกเหรอคะ”

 

ทุกปีลอมบาร์เดียจะมอบเงินจำนวนหลายพันเหรียญทองให้เป็นการสนับสนุนตระกูลชูลส์ มันคือความเอาใจใส่ของรูลลักที่มีต่อตระกูลของบุตรเขย

 

เมื่อถูกแทงตรงจุด เวสตินก็ได้แต่ถอนหายใจ แสร้งทำเป็นอึดอัดใจ

 

“ใช่แล้วครับ เป็นความจริงที่ข้าแอบเอาเงินของลอมบาร์เดียให้ตระกูลชูลส์ แต่เงินแค่นั้นสำหรับลอมบาร์เดียแล้วมันไม่สำคัญเลยไม่ใช่หรือครับทั้งหมดนั่นข้าก็แค่พยายามทุ่มเทเพื่อหาวิธีให้พวกเราสามีภริยาได้มีความสุขกันก็เท่านั้นเอง”

 

มันไม่เกี่ยวหรอกไม่ว่ามันจะมากหรือน้อยแค่ไหน นั่นก็เป็นทรัพย์สินของลอมบาร์เดีย

 

มันไม่ใช่เงินที่เวสตินจะเที่ยวหยิบฉวยเอาไปให้ตระกูลของตัวเองได้ตามใจชอบแบบนั้น

 

ชานาเนสเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีแต่นางไม่อาจพูดคำพูดพวกนั้นต่อหน้าเวสตินได้

 

ชานาเนสรักสามีของนางมากเกินกว่าจะทำเช่นนั้น

 

ประโยคที่อีกฝ่ายบอกว่า ‘ทั้งหมดก็เพื่อพวกเรา’ กลับทำให้ชานาเนสยิ่งรู้สึกเศร้าใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

 

“การที่ไม่มีใครรู้เลยสักคนว่าเงินหายไปหลายปีแล้ว ก็เป็นหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ มันอาจจะเป็นเงินที่ไร้ความหมายสำหรับลอมบาร์เดีย แต่สำหรับชูลส์แล้วมันจำเป็นจริงๆ นะครับ”

 

ชานาเนสอยากร้องไห้เหลือเกิน

 

นางต้องยอมรับและทำความเข้าใจในอะไรหลายๆ เรื่อง ในเมื่อนางเกิดมาในฐานะลอมบาร์เดีย มันก็เป็นโชคชะตาที่นางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้วแต่นี่มันเหมือนกับว่า แม้แต่สามีที่นางรักก็ยังต้องยอมเสียสละชาติกำเนิดของตัวเองเพื่อนางเลย

 

มันทำให้นางรู้สึกผิดอย่างหนัก

 

สุดท้ายชานาเนสจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางพูด

 

“เรื่องนี้ข้าจะไม่แจ้งให้ท่านพ่อทราบก็แล้วกันค่ะ”

 

ว่าแล้วเชียว!

 

เวสตินแอบกู่ร้องตะโกนในใจด้วยความดีใจ

 

“แต่จะทำมากไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้วนะคะ ส่วนเงินที่ยักยอกไปให้ตระกูลชูลส์ตลอดเวลาที่ผ่านมา…ก็ถือเสียว่าตระกูลชูลส์ยืมมันไปจากลอมบาร์เดียก็แล้วกันค่ะ ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน ก็ต้องส่งทั้งหมดกลับคืนให้ลอมบาร์เดียด้วยนะคะ”

 

แน่นอนว่าเวสตินไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว

 

แต่เขาก็ยังพยักหน้าตอบรับอย่างแข็งขัน

 

ชานาเนสเดินออกไปจากห้องนอนด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในขณะที่พูดกับเวสตินเป็นครั้งสุดท้าย

 

“พวกเด็กๆ คิดถึงพ่อของพวกเขามาก ข้าทราบดีว่าท่านงานยุ่ง แต่ยังไงก็ช่วยโผล่หน้าไปให้สองแฝดเห็นบ้างเถอะนะคะ เวสติน”

 

ชานาเนสเดินออกไป ประตูห้องนอนถูกปิดลง

 

ใบหน้าของเวสตินที่ถูกทิ้งไว้ในห้องตามลำพังบิดเบี้ยวไม่น่ามองด้วยความโกรธ

 

“เย่อหยิ่งจนถึงที่สุดจริงๆ”

 

เขาเกลียดท่าทางหยิ่งยโส แสร้งทำตัวสง่าอยู่เสมอราวกับมีแต่ตัวเองที่อยู่เหนือคนอื่นนั่นเสียจริง

 

ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังคงรักษาใบหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ น่าขนลุก!

 

ในตอนนั้นเอง สายตาของเวสตินก็พลันเห็นของสิ่งหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง

 

ของดูต่างหน้ามารดาที่ชานาเนสหวงแหนที่สุด

 

มันเป็นเพียงแค่สร้อยคอเรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษน่ารำคาญลูกตาเสียจนอยากจะกวาดมันทิ้งไปเสีย

 

“ไหนดูซิ ถ้าทำแบบนี้แล้วจะยังสงบแบบนั้นได้อยู่อีกหรือเปล่า”

 

เวสตินหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะหยิบเอาของสิ่งนั้นยัดใส่กระเป๋าตัวเอง

 

“วันนี้จะเล่นอะไรดีล่ะ”

 

“เรื่องนั้นน่ะ…เฮ้อ”

 

เจ้าเด็กแสนซนนี่

 

เครนีย์เป็นเด็กที่มีพละกำลังล้นเหลือไม่ว่าจะเล่นด้วยขนาดไหน ก็ไม่รู้จักเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว

 

ขนาดลาลาเน่เองยังถึงกับล้มป่วย เพราะหักโหมเล่นเป็นเพื่อนกับเครนีย์หนักเกินไป แต่จะปล่อยให้เครนีย์ร้องห่มร้องไห้เพราะโดนอาสทัลลีอูลากไปล่าสัตว์ก็ทำไม่ลง เธอเลยต้องพาตัวเขามาอย่างช่วยไม่ได้

 

เขาเป็นเด็กที่น่ารักมากขนาดช่วยรวบรวมเศษขนมปังเหลือทิ้งเพื่อที่จะเอาไปให้หนูที่อาศัยอยู่ในห้องครัวเพราะเห็นว่าพวกมันน่ารักเชียวนะ

 

พาเด็กตัวเล็กๆ ไปลานล่าสัตว์ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

 

“พวกเราไปอ่านหนังสือกันดีมั้ย หรือไปทำมงกุฎดอกไม้เหมือนเมื่อคราวก่อนดี”

 

“ไปหาสองแฝด”

 

วันนี้เป็นวันหยุด

 

พวกสองแฝดเองวันนี้ก็น่าจะไม่ได้ฝึกซ้อม แต่พักอยู่ที่บ้านกันละมั้ง

 

ในบรรดาคนที่เธอรู้จัก คนที่พอจะรับมือกับพละกำลังดั่งลูกม้าของเครนีย์ได้ก็มีแต่พวกนั้น

 

ถ้าพาตัวเครนีย์ไปโยนทิ้งไว้ให้สองคนนั่น พวกนั้นคงจะช่วยเล่นกับเขาได้อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว

 

ฟีเรนเทียเดินไปเรื่อยตามทาง ฟังเสียงเครนีย์พูดเจื้อยแจ้วไปด้วยอยู่ข้างกาย เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ บ้านของคู่แฝดกันแล้ว

 

“ว่าแต่ทำไมบรรยากาศเป็นแบบนี้ล่ะ”

 

ประตูหน้าบ้านเปิดทิ้งไว้ บรรยากาศวุ่นวายชอบกล

 

“ได้ยังไงกัน…”

 

“ใครกัน…”

 

ได้ยินเสียงลูกจ้างหลายคนกระซิบกระซาบในขณะที่มองประตูที่เปิดทิ้งไว้

 

“เครนีย์ มานี่”

 

เธอจับมือเครนีย์ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง

 

“ขออภัยค่ะ ขออภัยค่ะ!”

 

“ข้าสมควรตายค่ะ! ”

 

สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงดังลั่นของใครบางคน

 

พอเดินเข้าไปด้านในห้องรับรอง ถึงได้เห็นข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มศีรษะ ดูแล้วนางน่าจะเป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่

 

ทั้งสองคนเอาแต่ขอโทษเรื่องอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าซีดเผือด

 

“ขออภัยค่ะ ท่านชานาเนส!”

 

หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าข้ารับใช้ผู้ดูแลรับผิดชอบคฤหาสน์หลัก

 

ส่วนชานาเนสที่ยืนรับคำขอโทษของข้ารับใช้อยู่ตรงนั้น นางยืนหันหลังให้กับข้ารับใช้สองคนนั่น เลยไม่มีใครเห็นใบหน้าของชานาเนส

 

หัวหน้าข้ารับใช้เงยหน้าขึ้นมองภาพด้านหลังของชานาเนสด้วยความสิ้นหวัง นางหลับตาแน่นอีกครั้ง ในขณะที่ตะโกนขึ้นเสียงดัง

 

“สะ…สร้อยคอนั่น ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ก็จะตามหาให้เจอค่ะ! ”