“ไปเถอะ” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้ว พยักหน้า แต่ยังไม่ละสายตาจากเชวียหลงเฟยที่ยิ้มอยู่ นางมองเชวียหลงเฟยอย่างระวัง
ตงเฟิงโฮ่วรีบกลับไปที่โรงแรมโดยที่ไม่มีใครขัดขวางเขาทั้งสิ้น นั้นยิ่งทำให้ชีอ้าวชวางสงสัยว่าเชวียหลงเฟยมีเจตนาอะไรกันแน่
“เจ้าคิดเข้าหาข้าเพื่ออะไร?”เชวียหลงเฟยโบกมือให้หญิงสาวข้างๆ ออกไปแล้วเขาก็เดินเข้ามา
ชีอ้าวชวางมองเชวียหลงเฟยที่ใกล้เข้ามาแต่กลับไม่รู้สึกถึงเจตนาจะต่อสู้หรือกลิ่นอายสังหารจากเขาเลย
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีปัญหาอะไรกับพวกกลุ่มเทพเจ้านั่นหรอก ข้าก็แค่อยากจะสู้กับเจ้าเท่านั้นเองแล้วตอนนี้ข้าก็รู้ผลแล้วว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า” เชวียหลงเฟยเก็บดาบแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าหญิงเงือก” ชีอ้าวชวางเก็บดาบแล้วพูดจุดประสงค์ของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตอนนี้นางมั่นใจในจุดหนึ่งแล้วว่าเชวียหลงเฟยเป็นคนที่มีความคิดเป็นอิสระของตนเอง เขาจะไม่ทำตามใครหรืออะไรเพราะแค่ยึดตามเหตุผล ลักษณะนิสัยที่เป็นอิสระเช่นนี้ทำให้ชีอ้าวชวางอึ้งและอิจฉาอยู่เล็กน้อย
“หืม? เจ้ามาตามหาเชี่ยนเอ๋อร์หรือ?” เชวียหลงเฟยลูบคางมองชีอ้าวชวางอย่างสงสัยจากนั้นก็พูดประโยคต่อมา “หรือว่าเจ้าจะหลงรักในความงามของนาง? เจ้าชอบผู้หญิงงั้นหรือ?”
ชีอ้าวชวางสีหน้าเย็นชาแล้วในมือนางก็ปรากฏดาบชังหลันขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“ล้อเล่น! ข้าล้อเล่นน่า!” เชวียหลงเฟยรีบถอยหลังไปแล้วโบกมือ “ใจเย็นๆ ข้าแค่ล้อเล่น”
“หึ!” ชีอ้าวชวางส่งเสียงแล้วก็เก็บดาบไป
“ว่าแต่เจ้ามาหาเชี่ยนเอ๋อร์ทำไมล่ะ?” เชวียหลงเฟยยังคงสงสัยในเรื่องนี้อยู่
“ข้าต้องการมงกุฎบนศีรษะของนาง อีกอย่างข้าจะพานางกลับคืนอยู่อ้อมอกของพ่อแม่นางด้วย” ชีอ้าวชวางพูดขณะที่มองเชวียหลงเฟยด้วยสายตาไม่พอใจ
“เฮ้ย อย่ามามองข้าด้วยสายแบบนั้นนะ ข้าไม่ได้ลักพาตัวนางมา นางมากับข้าด้วยความสมัครใจ” มุมปากของเชวียหลงเฟยกระตุกแล้วอธิบายอย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาก็ปัดผมหน้าด้วยท่าทางสง่างามแล้วพูดอย่างขมขื่น “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ใครใช้ให้ข้ามีเสน่ห์ขนาดนี้ล่ะ?”
ในใจของชีอ้าวชวางรังเกียจคำพูดและการกระทำของเชวียหลงเฟยมาก แต่ภายนอกนางยังคงเงียบแล้วมองเขาด้วยสายชาเย็นชาเท่านั้น
“เอาเถอะ ตอนนี้เจ้ารีบไปช่วยเพื่อนของเจ้าก่อนแล้วค่อยไปเจอกันที่ท่าเรือฝั่งตะวันออก เรือของข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะนำของที่เจ้าต้องการไปให้และจะให้เซี่ยนเอ๋อร์กลับเผ่าเงือกของนางด้วย” เชวียหลงเฟยยักไหล่แล้วพูด
ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วมองอย่างสงสัยว่าคนๆ นี้มีเจตนาอะไรกันแน่
“รีบไปสิ ตอนนี้เพื่อนของเจ้าคงจะกำลังต่อสู้อย่างลำบากกันแน่” เชวียหลงเฟยเตือน
“หากเทียบความแข็งแกร่งของคนที่ไปล้อมพวกเขากับความแข็งแกร่งของเจ้า ผลจะเป็นอย่างไร?” ชีอ้าวชวางไม่ขยับแต่พูดประโยคนี้ออกมา
“แน่นอนว่าสู้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว คนแข็งแกร่งอย่างข้าต้องสู้กับเจ้านี่แหละ” เชวียหลงเฟยเลิกคิ้วขึ้น
“อ้อ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้ารอพวกเขาที่นี่แหละ” ชีอ้าวชวางพูดจบก็เดินไปนั่งอยู่ข้างน้ำพุเลย
“ห๊ะ?!” เชวียหลงเฟยมองชีอ้าวชวางที่มีสีหน้าเรียบเฉยอย่างอึ้งๆ นี่นางไม่สนใจเพื่อนหรือว่านางมั่นใจในความแข็งแกร่งของเพื่อนมากเกินไปกันแน่? แต่ดูท่าทางแล้วคงจะเป็นอย่างหลัง เชวียหลงเฟยเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนของนางมีความแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นกันจริงๆ หรือ?
ชีอ้าวชวางยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคงโดยไม่พูดอะไรเลย
“เห้อ เจ้าคิดจะทำอะไรล่ะ?” เชวียหลงเฟยนั่งลงข้างๆ ชีอ้าวชวางแล้วพูดคุยราวกับเป็นเรื่องทั่วไป “ข้าเองก็เกลียดพวกวิหารแห่งแสงนั่นเหมือนกัน วันๆ เอาแต่กินดื่มสบาย เดิมทีที่นี่ก็มีสำนักงานย่อยอยู่นะ แต่ข้าแอบไปถล่มอยู่เรื่อยๆ เองแหละ พวกเขาสั่งให้ข้าตามหาตัวคนร้ายด้วย เขาล้อข้าเล่นหรือไง ทำไมข้าต้องไปมอบตัวเองด้วยล่ะ?” เชวียหลงเฟยพูดคุยกับชีอ้าวชวางโดยที่ไม่ได้ปิดบังหรือระแวงอะไร
“ทำลายวิหารแห่งแสง” ชีอ้าวชวางตอบคำถามของเชวียหลงเฟยอย่างเรียบนิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองตรงไปพร้อมคิดในใจว่าเมื่อไหร่ทางด้านนั้นจะจัดการเสร็จสักที อีกทั้งก็แอบถอนหายใจกับความไร้สาระไปเรื่อยของเชวียหลงเฟยด้วย ชื่อเมืองปู้จีนี่เป็นเหมือนกับนิสัยนี้ของเขาเลยจริงๆ
“ห๊ะ จริงหรือ? ฮ่าๆ ไม่เลวนี่” เชวียหลงเฟยเลิกคิ้วพูดอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็ขมวดคิ้วพูดต่อ “แต่ว่าตอนนี้วิหารแห่งแสงคอยไล่ตามฆ่าเจ้าไปทุกที่แบบนี้ เจ้าจะทำลายวิหารได้หรือ?”
ชีอ้าวชวางมองเชวียหลงเฟยอย่างเย็นชาแล้วพูดนิ่งๆ “เจ้าคิดว่าเจ้าใช้คำถูกต้องหรือไม่?”
“อ้อ ฮ่าๆ ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าวิหารแห่งแสงไล่ตามเจ้าแต่ก็ล้มเหลวตลอดมากกว่า” เชวียหลงเฟยหัวเราะแล้วแก้ไขคำพูดก่อนหน้าของเขา
ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วมองเชวียหลงเฟย “ทำไมเจ้าถึงเลือกที่จะช่วยข้าแทนที่จะช่วยวิหารแห่งแสงจับตัวข้าให้พวกเขาได้อัญเชิญเทพีแห่งแสงล่ะ?” ชีอ้าวชวางไม่ได้สนใจวิหารแห่งแสงเลยสักนิด ก็อย่างที่เชวียหลงเฟยบอก คนที่วิหารแห่งแสงส่งมาติดตามนางก็มีแต่ล้มเหลวเท่านั้น นางไม่ได้กลัวคนจากวิหารแห่งแสงพวกนั้นหรอก แต่กลัวเทพีแห่งแสงต่างหาก! ชีอ้าวชวางยังคงจำได้ดีว่าความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของหญิงผู้นั้นเอาชีวิตชีอ้าวชวางได้เลย ดังนั้นชีอ้าวชวางจึงต้องเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเทพีแห่งแสงตรงๆ
เชวียหลงเฟยยื่นมือไปเสยผมที่หน้าผากของเขาแล้วพูดอย่างเหยียดหยาม “ไม่ทำไมหรอก ข้าก็แค่ชอบเป็นการส่วนตัวน่ะ”
ชีอ้าวชวางหมดคำพูดไปเลย ท่าทางและคำพูดแบบนี้มันคงเป็นสไตล์ของเชวียหลงเฟยจริงๆ บนโลกนี้คงมีแค่เขานี่แหละ
“จริงสิ แคลร์…” เชวียหลงเฟยมองผมสีดำของชีอ้าวชวางแล้วจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ชีอ้าวก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน “ตอนนี้ข้าชื่อชีอ้าวชวาง แคลร์เสียชีวิตตามคนๆ หนึ่งไปนานแล้ว”
“อ้อๆ ชีอ้าวชวาง ในกลุ่มเพื่อนของเจ้ามีคนจากหอการค้าตระกูลเฟิงอยู่คนหนึ่งใช่หรือไม่? ” เชวียหลงเฟยเปลี่ยนหัวข้ออย่างกะทันหันเพราะเขาสังเกตเห็นร่องรอยความเศร้าในตาของชีอ้าวชวาง เขาเลยคิดว่าคนที่นางเอ่ยถึงนั้นคงจะหมายถึงแม่ของนาง เชวียหลงเฟยไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าหญิงสาวตรงหน้านี้จะฆ่าแม่ตัวเองได้ สิ่งนี้ต้องเป็นผลงานของพวกวิหารนั่นแน่ๆ
หืม? ชีอ้าวชวางมองเชวียหลงเฟยอย่างไม่เข้าว่าใจทำไมเขาถึงถามคำถามนี้ ชีอ้าวชวางรู้ดีว่าชื่อเสียงของหอการค้าตระกูลเฟิงโด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน แต่จู่ๆ ทำไมเชวียหลงเฟยถึงถามแบบนี้ล่ะ มีปัญหาอะไรหรือไม่?
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร็วๆ กำลังรีบมาที่จัตุรัส
“เฮ้ คนผมแดงนั่นเขาคือเฟิงอี้เซวียนลูกชายของประธานหอการค้าตระกูลเฟิงนี่” เชวียหลงเฟยมองเฟิงอี้เซวียนที่วิ่งมาอย่างรีบร้อนพูด
ในระหว่างที่คุยกัน เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็วิ่งมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ข้างหลังพวกเขาตามมาด้วยสองพี่น้องตระกูลสี เฉียวฉู่ซินและตงเฟิงโฮ่ว
ตอนที่พวกเขามาถึงแล้วเห็นชีอ้าวชวางนั่งคุยอยู่กับชายที่แต่งตัวสง่างามผู้นั้นก็อึ้งไปเลย โดยเฉพาะตงเฟิงโฮ่วที่แทบจะกรามค้างเพราะก่อนหน้าที่เขาจะไป สถานการณ์ของชีอ้าวชวางกับคนๆ นี้ยังตึงเครียดอยู่เลย ทำไมตอนนี้เป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะ?
“อ้อ คนจากหอการค้าตระกูลเฟิงมาปะปนอยู่กับอาชญากรที่วิหารแห่งแสงและประเทศอันพาแกรนด์ต้องการตัวหรือนี่” เชวียหลงเฟยมองเฟิงอี้เซวียนที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดหยอกล้อ
สีหน้าของเฟิงอี้เซียนเปลี่ยนไปทันที เขาจะโวยวายออกมาแล้ว
แต่แล้วเชวียหลงเฟยก็พูดสิ่งที่ทำให้เฟิงอี้เซวียนต้องหยุดการกระทำของเขาลง “ตระกูลเฟิงถูกวิหารแห่งแสงและประเทศอันพาแกรนด์กดขี่อย่างรุนแรงก็เพราะเจ้า เจ้าจะไม่ไปดูสักหน่อยหรือ?”
เมื่อคำพูดของเชวียหลงเฟยจบลง ทุกคนก็ตกตะลึง
เฟิงอี้เซวียนอึ้งแล้วมองเชวียหลงเฟยอย่างงุนงง สายตาของเชวียหลงเฟยไม่ได้มีการหลบเลี่ยงและไม่มีท่าทีของการโกหกเลย
“เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเฟิงหรือ?” ชีอ้าวชวางมองเชวียหลงเฟยที่ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่ดวงตาของเขาดูจริงจังมาก
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? ข้ายังจำตัวตนของเจ้าได้ เจ้าคิดหรือว่าคนอื่นจะจำไม่ได้? พวกคนที่เจ้าได้เจอระหว่างการเดินทางมันก็แค่พวกที่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่านั้น” เชวียหลงเฟยยักไหล่แล้วพูดท่าทางสบายๆ “มันคงจะไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น วิหารแห่งแสงคงจะกำลังรวบรวมเหล่าคนแข็งแกร่งจำนวนมากอยู่เพื่อจะฆ่าเจ้า เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเฟิงกันแน่?” ชีอ้าวชวางนิ่งเฉยไม่ได้แล้ว ตอนนี้นางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มที่สดใสของอันลิซ่า อันลิซ่าพิเศษสำหรับชีอ้าวชวางมาก คนที่ภายนอกดูแข็งกร้าวแต่ภายในอ่อนโยนผู้นั้น คนที่พาชีอ้าวชวางไปที่เกาะสายลมเพื่อให้ท่านลมเทียนกังช่วยกำบังสายฟ้าให้ คนที่คอยโอบอุ้มชีอ้าวชวางในยามลำบาก
เวลานี้เฟิงอี้เซวียนนิ่งแล้วถามอย่างเย็นชา “ตระกูลเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าช่วยบอกข้าที”
สีหน้าของเชวียหลงเฟยเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ แม้ว่าเด็กหนุ่มผมแดงเพลิงตรงหน้านี้จะมีลมหายใจที่เรียบนิ่งราวกับสายน้ำ แต่เขากลับให้ความรู้สึกที่บีบคั้นที่อธิบายไม่ได้ ความรู้สึกแบบนี้มันยิ่งกว่าของชีอ้าวชวางเสียอีก ความคิดที่น่ากลัวเกิดขึ้นในใจของเชวียหลงเฟย เด็กหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าชีอ้าวชวางอีกงั้นหรือ?! ดังนั้นเมื่อกี้ชีอ้าวชวางจึงนั่งรออยู่ตรงนี้กับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยงั้นหรือ?
“บอกข้ามาเถอะ” น้ำเสียงของเฟิงอี้เซวียนสงบเยือกเย็น แต่กลับทำให้คนฟังหนาวเย็นจนใจสั่นเลย
“ตอนนี้ตระกูลเฟิงถูกบีบคั้นอย่างมาก ในหลายๆ สาขาก็ถูกกดขี่ ขณะที่อันพาแกรนด์เองก็กดดันและหาเรื่องลากัคไม่หยุด”เชวียหลงเฟยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขอแนะนำให้เจ้ากลับไปดูสักหน่อย” เชวียหลงเฟยรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเฟิงอี้เซวียนทันทีที่เตือนไปเช่นนี้
ดวงตาของเฟิงอี้เซวียนร้อนราวกับไฟที่แผดเผา
“จัดการกับคนของวิหารแห่งแสงกับกลุ่มสายฟ้าสีดำเรียบร้อยแล้วหรือ?” ยังไม่ทันที่ตงเฟิงโฮ่วจะได้ตอบ เชวียหลงเฟยก็ยกมือขึ้นเป่าปากแล้วกลุ่มทหารพร้อมอาวุธครบมือก็ปรากฎตัวขึ้นรอบๆ จัตุรัส
“ท่านเจ้ามีอะไรจะสั่งครับ?” กลุ่มทหารกลุ่มนี้เห็นได้ชัดเลยว่าถูกฝึกมาอย่างดี ทุกคนมีลมหายใจสงบและย่างก้าวที่มั่นคง
“ไปดูที่โรงแรมว่าพวกวิหารแห่งแสงกับสายฟ้าสีดำยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เชวียหลงเฟยออกสั่งด้วยท่าทางสบาย “ถ้ามีคนที่มีชีวิตอยู่ก็เติมคมมีดให้เขาไปสักหน่อยนะ ส่วนศพก็จัดการให้สะอาดล่ะ”
“ครับ” คนกลุ่มนั้นวิ่งออกไปจากจัตุรัสในทันที
เชวียหลงเฟยโบกมือให้หญิงที่ยืนอยู่ไกลๆ หญิงผู้นั้นคือคนที่วิ่งไล่ตงเฟิงโฮ่วเมื่อครู่นั่นเอง ตอนนี้นางกำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง