เล่ม 1 ตอนที่ 158 ข่ายมนตร์ธรรมชาติ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เลือกที่จะมองดูพวกพ่อบ้านจากไป

เมื่อนึกถึงสีหน้าตัดใจไม่ได้ของพ่อบ้านก่อนที่จะจากไป เธอจึงแอบให้สัตย์สาบานในใจว่าในภายหน้าจะต้องพาพวกเขาออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ไปยังโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ให้จงได้

เธอเรียกพวกเว่ยจือฉีออกมา ทุกคนเห็นแววเศร้าโศกในดวงตาของเธอแล้วจึงพากันตบบ่าเธอแล้วพูดว่า “จากกันคราวนี้เพื่อกลับมาพบกันในภายหน้า”

“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าอยากจะกลับไปกันสักระยะหนึ่งหรือไม่ ถ้าหากพวกเจ้าอยากกลับไป พวกเราก็จะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน”

เจ้าอ้วนชวีมองเว่ยจือฉีปราดหนึ่ง ทั้งสองคนต่างพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จากไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด จะกลับมาได้หรือไม่ ข้าอยากกลับไปบอกลาท่านพ่อท่านแม่ก่อน โยวเย่ว์ เจ้าอยากกลับไปหรือไม่”

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า “ข้าบอกลาท่านพ่อบ้านไปเรียบร้อยแล้ว ข้ากับเป่ยกงและโอวหยางจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่แหละ ถ้าหากพวกเจ้าจะไม่มา ก็ให้คนส่งจดหมายมาบอกแล้วกัน”

“พวกเราจะกลับมาอย่างแน่นอน พวกเจ้ารอพวกเราแค่ไม่กี่วันเท่านั้น” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างแน่วแน่

“อื้ม ไปเถิด อีกสิบวันให้หลังพวกเรามาพบกันที่นี่นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือให้พวกเขา

เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาขี่จากไป เพียงไม่นานก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขา

“สิบวันนี้พวกเราจะทำอะไรกันดีเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเมืองที่อยู่ไกลออกไปแล้วพูดว่า “อยากจะไปผ่อนคลายในเมืองสักหน่อยหรือไม่”

เป่ยกงถังส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไปฝึกยุทธ์ภายในเจดีย์วิญญาณสักเดือนหนึ่งดีกว่า”

“ข้าก็ด้วย” โอวหยางเฟยพูด

“เช่นนั้นก็ได้” ทั้งสามคนเดินเข้าไปภายในภูเขา หลังจากแน่ใจแล้วว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีคน เธอจึงนำคนทั้งสองเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ

ระยะเวลาหนึ่งปี นอกจากเวลาที่ไปต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษแล้ว พวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในเจดีย์วิญญาณ หากนับดูแล้วก็เป็นเวลาราวๆ สองปีกว่าเลยทีเดียว

ในระยะเวลานี้ ทักษะการหลอมยาของพวกเขาทั้งสามคนก็ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย เป่ยกงถังสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสาม โอวหยางเฟยสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง ส่วนซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกจนหลอมยาวิเศษขั้นสี่ได้แล้ว เอื้อมถึงขั้นห้าได้รางๆ สำเร็จเป็นนักหลอมยาระดับกลางแล้ว

ความก้าวหน้าในการหลอมยาของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นเป็นผลจากการชี้แนะในมุมมืดของหมัวซา ส่วนเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยนั้นก้าวหน้าเพราะมีเธอคอยชี้แนะ

ตระกูลของเป่ยกงถังเป็นตระกูลนักหลอมยา นางย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการหลอมยายากลำบากเพียงใด คิดไม่ถึงว่าตนจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสามได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ภายใต้การชี้แนะของซือหม่าโยวเย่ว์ นอกจากนี้ขั้นตอนการหลอมยายังเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งอีกด้วย หากไม่มีคนอธิบายโดยละเอียด คนทั่วไปย่อมศึกษาได้ยากเย็นอย่างยิ่ง

ความจริงแล้วสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือโยวเย่ว์เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากหมัวซา และเคล็ดการหลอมยาของหมัวซาก็เลื่องลือไปทั่วทั้งสามโลก เรียกว่าเป็นคนแรกที่หลอมยาในสามโลกเลยก็ว่าได้ เคล็ดการหลอมยาของเขาในตอนนั้นทำให้ผู้คนมากมายแห่กันมา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครศึกษาได้สำเร็จเลย

คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะมาตกอยู่กับพวกซือหม่าโยวเย่ว์

ทั้งสามคนอยู่ภายในเจดีย์วิญญาณเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน เวลานอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็จะหลอมยา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จัดการเวลาของตัวเองอย่างยืดหยุ่น

เวลาที่นัดแนะกันไว้มาถึงอย่างรวดเร็ว เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีมาถึงจุดนัดพบก่อนเวลาเสียอีก

“พวกเจ้ามากันเร็วถึงเพียงนี้เชียว” วิหคยักษ์ตัวหนึ่งบินเข้ามาใกล้ ซือหม่าโยวเย่ว์ที่นั่งอยู่ข้างบนมองพวกเขาสองคนด้านล่าง

“โยวเย่ว์ เหตุใดไม่พบกันสิบวัน เจ้าวิหคน้อยของเจ้าจึงกลายเป็นสัตว์อสูรเทพไปเสียแล้วเล่า” เจ้าอ้วนชวีเห็นวิหคสี่ปีก เขาดีดกายครั้งหนึ่งก็เหินมาถึงบนหลังของเจ้าวิหคน้อย

ราชาวิญญาณ!

มีเพียงบุคคลระดับราชาวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นจึงจะเหาะเหินเดินอากาศได้ เจ้าอ้วนชวีเหินขึ้นไปได้ก็แสดงว่าระดับขั้นของเขาในตอนนี้ไปถึงระดับราชาวิญญาณแล้ว

เว่ยจือฉีหัวเราะแล้วดีดร่างขี้นก่อนจะเหินขึ้นไปเช่นกัน

ราชาวิญญาณอีกคนหนึ่งแล้ว!

หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์วิญญาณขั้นสูงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาหนึ่งปี ทั้งสองคนล้วนเป็นระดับขั้นราชาวิญญาณกันหมดแล้ว!

เจ้าคำรามน้อยนั่งลงบนหัวของเจ้าวิหคยักษ์แล้วหันมามองคนทั้งสองพลางเอ่ยว่า “เย่ว์เย่ว์ ในที่สุดวันนี้ก็ได้ทำพันธสัญญากับเจ้าวิหคน้อยแล้ว จากนั้นเขาก็จะเลื่อนระดับกลายเป็นสัตว์อสูรเทพแล้วล่ะ! ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่เลื่อนระดับ แม้กระทั่งย่ากวงก็เลื่อนระดับไปหลายขั้นด้วยเช่นกัน มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่เลื่อนระดับเลยแม้แต่น้อย ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ”

“เหตุใดเจ้าจึงมิได้เลื่อนระดับเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยพลางเอ่ยถาม

“ข้าเลื่อนระดับแล้วหรือ เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเลยเล่า” เจ้าคำรามน้อยกะพริบตาปริบๆ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“เจ้าเลื่อนระดับแล้วล่ะ หลายปีมานี้หนังหน้าหนาขึ้นหลายระดับเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อย รู้สึกอัดอั้นตันใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้าได้อยู่บ้าง

เจ้าคำรามน้อยจึงค่อยรู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์นำตนมาล้อเล่น จึงถลึงตาใส่เธออย่างไม่พอใจแล้วหมุนตัวหันก้นใส่เธอ

“หึๆ”

ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยปะทะฝีปากกันก็เกิดความรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกชนิดหนึ่งขึ้นมา

เจ้าวิหคน้อยบินไปยังทิศทางที่พวกเขาอ้างอิงตามที่โอวหยางเฟยบอก ที่นั่นเคยเป็นทิศทางที่เขาจากมา ว่ากันว่าสัตว์อสูรวิเศษที่นั่นล้วนค่อนข้างอ่อนแออยู่สักหน่อย พวกเขาจึงตัดสินใจออกมาจากสถานที่แห่งนั้น

หลังจากที่เจ้าวิหคน้อยบินมาสี่ห้าวัน ในขณะที่เจ้าอ้วนชวีกำลังคร่ำครวญว่ายังไม่ถึงเสียทีอยู่นั้นเอง เจ้าวิหคน้อยบอกว่าด้านหน้ามีอุปสรรค ไม่อาจเข้าไปใกล้กว่านี้ได้อีกแล้ว

“น่าจะเป็นที่นี่แหละ” โอวหยางเฟยพูด

“เจ้าวิหคน้อย พาพวกเราลงไปที” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ได้เลยเจ้านาย” เจ้าวิหคน้อยกระพือปีกแล้วพาพวกเขาบินลงไป ร่อนลงบนพื้นดิน หลังจากนั้นก็แปลงกายเป็นร่างจำแลงบินมาเกาะบนไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูก็พบว่าต้นไม้ที่นี่บางตากว่าที่อื่นๆ อยู่มาก เธอลองเดินตรงไปข้างหน้าก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งกำลังขัดขวางเธออยู่

เจ้าอ้วนชวีก็รู้สึกถึงแรงกดดันเช่นเดียวกัน เขายื่นมือไปสัมผัสดูก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดอยู่เลย

“ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย แล้วเหตุใดพวกเราจึงออกไปมิได้” เจ้าอ้วนชวีไม่เข้าใจ

“เพราะว่าที่นี่มีข่ายมนตร์อย่างไรเล่า” เจ้าคำรามน้อยบินมาถึงตรงหน้าทุกคน เมื่อเห็นว่าพวกเขาล้วนออกไปไม่ได้กันหมดจึงหัวเราะคิกคักขึ้นมา หลังจากนั้นจึงบินออกไปอย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของพวกเจ้าอ้วนชวี

“เฮ้… เจ้าคำรามน้อยออกไปได้อย่างไรกัน ที่นี่ไม่มีข่ายมนตร์อย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีมาถึงตำแหน่งที่เจ้าคำรามน้อยออกไปแล้วเดินตรงไปข้างหน้า ผลปรากฏว่ายังคงเดินไปมิได้แม้แต่ก้าวเดียว

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” เว่ยจือฉีไปทดสอบดูเช่นกัน ยังคงไม่ได้อยู่ดี เจ้าคำรามน้อยหัวเราะพอแล้วจึงกลับมาอย่างนุ่มนวล

“พวกเจ้าอย่าไปบ้าจี้ตามเจ้าคำรามน้อยเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มันไม่รู้ว่าตรงไหนโครงสร้างไม่ถูกต้อง จึงมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อข่ายมนตร์เหล่านี้ ดังนั้นข่ายมนตร์นี่ย่อมมิอาจกักขังมันเอาไว้ได้อยู่แล้ว”

“โอ้… ยอดเยี่ยมนัก! ข้าได้ยินโอวหยางบอกว่าคนข้างนอกเหล่านั้นล้วนชอบใช้ข่ายมนตร์มาปกป้องขุมทรัพย์ เจ้าคำรามน้อยมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติต่อข่ายมนตร์ เช่นนั้นก็มิได้เป็นอาวุธที่ขาดมิได้ในการลักขโมยทรัพย์สินหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเจ้าคำรามน้อยด้วยสายตาเปล่งประกาย

“ดีเลย ดีเลย ข้าชอบ!” เจ้าคำรามน้อยตบสองขาสั้นป้อมเข้าด้วยกันพลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์ตบศีรษะเจ้าอ้วนชวีครั้งหนึ่งก่อนจะดึงตัวเจ้าคำรามน้อยเข้ามาแล้วหิ้วใบหูยาวของมันพลางเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้ายังไม่ยอมเปิดข่ายมนตร์ให้พวกเราอีก จากนี้ไปข้าจะให้เจ้าไปติดตามเจ้าอ้วนแล้วนะ”

“อือๆ ข้ารู้แล้วน่า!” เจ้าคำรามน้อยดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงปล่อยตัวมัน มันลูบหูของตัวเองแล้วจึงมายังเบื้องหน้าข่ายมนตร์ก่อนจะยื่นขาเล็กสั้นป้อมมาสัมผัสข่ายมนตร์

มันหลับตาตั้งสมาธิ บริเวณที่ขาของมันสัมผัสกับข่ายมนตร์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน…