เสียงของเม็ดฝนกระทบหลังคาและหน้าต่างดังระงมไปทั่วทั้งห้อง สลับกับเสียงฟ้าร้องและแสงจากฟ้าที่ผ่าลงมา ดูท่าคืนนี้จะเป็นคืนที่พายุโหมกระหน่ำทั้งคืนแน่ ๆ
นี่นับเป็นฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หน้าร้อนมาเลย เซียวเฟิงมองไปยังปฏิทินดิจิทัลแล้วก็พบว่าอุณหภูมิกำลังเริ่มเย็นลงอย่างไม่คาดคิดแล้ว บางทีพายุลูกนี้อาจจะทำให้อากาศที่ร้อนระอุสงบลงไปอีกหลายวันเลยก็ได้ อย่างน้อย ๆ ช่วงนี้ก็คงจะปิดแอร์ไปได้สักพัก ร่างกายของเซียวหลิงนั้นบอบบางและอ่อนแอ หากปล่อยให้เธออยู่ในห้องแอร์ในขณะที่ด้านนอกอากาศเย็น เธออาจจะป่วยเอาได้ง่าย ๆ
พายุฝนที่รุนแรงนี้ชำระล้างความร้อนทั่วทั้งเมืองเฉิงไห่ราวกับเป็นการชำระบาปจากพระผู้เป็นเจ้า ขณะเดียวกันภายในโลกของเกมเองก็กำลังเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเขตฮัวเซีย โดยเฉพาะท่ามกลางหมู่กิลด์ขนาดใหญ่
เมื่อสองวันก่อน มันได้เกิดการประมูลโทเคนกิลด์ชิ้นแรกของเขตฮัวเซียขึ้นในราคาสูงถึง 10 ล้านเหรียญทอง ตีเป็นเงินในโลกจริงได้พันล้านดอลล่าร์ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกินไปนักหากจะบอกว่าเป็นข่าวกระฉ่อนที่โด่งดังไปทั่วทั้งเขตฮัวเซีย ผู้เล่นมากมายต่างนำเรื่องนี้ไปพูดด้วยความตกตะลึงกับราคาขายนั้น และในฐานะผู้ที่ซื้อโทเคนดังกล่าวไป กิลด์มิดซัมเมอร์จึงกลายเป็นที่จดจำของผู้เล่นทุกคนภายในเขตเป็นอย่างดี
ทว่าสองวันให้หลัง กิลด์มิดซัมเมอร์ที่เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรีก็ได้พ่ายแพ้ในสงครามป้องกันแคมป์และทำให้กิลด์ถูกยุบลงไป ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้เงินจำนวนพันล้านดอลล่าร์กลายเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าไปเพียงอย่างเดียว แต่มันยังทำให้มิดซัมเมอร์ต้องชอกช้ำกับอับอายจากความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงครั้งนี้ด้วย!
ผู้เล่นทั่ว ๆ ไปส่วนมากยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังการแพ้สงครามในครั้งนี้คืออะไร พวกเขาส่วนใหญ่ต่างเข้าไปในฟอรั่มของเกมแล้วบ่นกันถึงเรื่องความยากของมอนสเตอร์ภายในสงครามป้องกันแคมป์ ยังไงเสียมิดซัมเมอร์ก็เป็นกิลด์ขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกหลายล้านคน และด้วยกิลด์ระดับนี้ยังพ่ายแพ้ได้ ก็ยิ่งทำให้ผู้เล่นมากมายต่างหันมาคิดกันใหม่แล้วว่าพวกเขาควรจะรีบตั้งกิลด์กันดีหรือเปล่า? หรือเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะรับแต่สมาชิกที่เลเวลสูงกว่าค่ามาตรฐานเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะชนะสงครามป้องกันแคมป์นี้
อีกส่วนหนึ่งก็คือกิลด์ทั้งหลายที่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง สาเหตุที่ทำให้มิดซัมเมอร์พ่ายแพ้ต่างก็อุบเงียบกันไว้ เพราะทุกอย่างมันเป็นฝีมือของคนคนเดียวเท่านั้น
“ปริ้นส์ มิดซัมเมอร์พ่ายแพ้สงครามป้องกันแคมป์แล้ว กิลด์นั้นถูกยุบแล้วในตอนนี้”
ย้อนกลับไปในเมืองตงฮวง คลาวน์ปริ้นส์ผู้ที่เฉลียวฉลาดแม้อายุยังน้อย พยักหน้าหลังจากได้รู้ข่าวของมิดซัมเมอร์ผ่านทางข้อความ ซึ่งเพียงแค่พยักหน้านี้ก็ถือว่าเห็นได้ยากแล้วสำหรับเขา
“พวกนายทำได้ดีมาก” คลาวน์ปริ้นส์พูด
ตรงหน้าเขาตอนนี้มีคนราว ๆ 3-4 คนกำลังยืนอยู่ หากในที่นี้มีใครอยู่ที่ทุ่งราบกว้างไม่กี่ชั่วโมงก่อนล่ะก็ พวกเขาจะต้องจำหน้าคนเหล่านี้ได้แน่ ๆ อันที่จริงพวกเขาเองก็ไม่ใช่ผู้เล่นระดับเริ่มต้นแต่อย่างใด แต่ละคนก็เลเวลสูง ๆ กันทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังมีท่าทีประจบประแจงเมื่ออยู่ต่อหน้าคลาวน์ปริ้นส์ผู้ที่อ่อนวัยกว่าผู้นี้อยู่ดี ไม่มีใครเลยที่กล้ายืนแตกแถวขณะรายงานผลสิ่งที่ได้รู้มา
“จริง ๆ ที่กิลด์มิดซัมเมอร์ล้มเหลวในการป้องกันแคมป์…ไม่ใช่ฝีมือพวกเราเลยครับ…”
ผู้เล่นเหล่านี้รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยยามที่ต้องพูดเรื่องนี้ออกไปหลังจากได้ยินคำเอ่ยชมจากคลาวน์ปริ้นส์เมื่อครู่
“หือ?”
ชายหนุ่มจ้องกลับไปยังพวกเขา แววตานั้นแสดงความงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะให้สัญญาณให้พวกเขาพูดต่อ
“ทั้งหมดมันเป็นเพราะเจ้าแห่งฮีลเลอร์…”
พวกเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้คลาวน์ปริ้นส์ฟัง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดยิบย่อยขนาดไหนก็ตาม กระนั้นแล้วก็คอยระวังไม่ให้มีข้อมูลที่ผิดพลาดหลุดออกไปด้วย
“เจ้าแห่งฮีลเลอร์สินะ…เข้าใจแล้ว…”
คลาวน์ปริ้นส์เงียบไปพักใหญ่หลังจากได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ไม่นานนักเขาก็เปิดอันดับเลเวลขึ้นมาดู สายตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์นั้นจับจ้องอยู่กับผู้เล่นปริศนาที่อยู่เป็นอันดับ 1 ด้วยเลเวล 18 ผู้เล่นคนนี้มีเลเวลสูงกว่าซีเหมินชุยเสวียที่เป็นอันดับ 2 ถึง 2 เลเวล ครู่ใหญ่ ๆ คลาวน์ปริ้นส์ก็หันหน้าออกและเดินจากไป
“ช่างมันเถอะ” คลาวน์ปริ้นส์พูดขณะเดิน “พวกนายไม่ต้องสนใจเรื่องของมิดซัมเมอร์อีกต่อไปแล้ว ยังไงซะผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน ตอนนี้กลับมาสนใจเรื่องการเตรียมตัวตั้งกิลด์ก่อนดีกว่า เข้าไปในฟอรั่ม แล้วก็หาซื้อจุดที่มีบอสเลเวลสูงเกิดมา ให้ราคาสูง ๆ ไปเลยเพื่อความมั่นใจว่าพวกนายจะได้จุดนั้นมาครอบครองแน่ ๆ เวฟมอนสเตอร์พวกนั้นไม่น่าจะเกินความสามารถของพวกเราหรอก… ผู้เล่นจากฟากเหนืออย่างพวกเรา จะยอมอยู่หลังพวกฟากใต้ไม่ได้!”
“ครับ นายท่าน!”
…
เสียงของฝนที่ตกกระทบเริ่มเบาลงแล้ว เสียงกึกก้องของฟ้าผ่าก็หายไปแล้วเช่นกัน และด้วยบรรยากาศเช่นนี้ ร่างบางของเด็กสาวจึงเลิกที่จะสั่นกลัวอีกต่อไป
เซียวเฟิงดึงผ้าห่มมาคลุมร่างไว้ดังเดิมพร้อมกับมองร่างเล็กที่อยู่ภายในอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันนั้นเซียวหลิงก็หลับไปแล้วอย่างรวดเร็ว หัวเล็ก ๆ ภายใต้การห่อหุ้มของเรือนผมสีทองของเธอนั้นถูกวางซบไปกับแขนตัวเองขณะหลับใหลเช่นนี้ด้วย ร่องรอยของความหวาดกลัวและหมดทางหนียังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าอ่อนละมุนนั้น ดวงตาเธอหลับสนิทและขนตาที่สั่นเบา ๆ เขามองเลยลงไปอีกหน่อยก็พบว่าเซียวหลิงนั้นกำชายเสื้อเขาไว้แน่นจนเกิดรอย และดูจากรอยที่ชัดเจนนั้น เด็กสาวคนนี้คงจะกลัวมาก ๆ เลยทีเดียว
มือใหญ่ของเซียวเฟิงค่อย ๆ แก้ปมผมของเซียวหลิงไม่ให้มันไปพันคอเธอขณะหลับเช่นนี้ จากนั้นจึงลูบเธอเบา ๆ จากกลางหลังไล่ขึ้นมาที่ไหล่ ร่างกายของสาวน้อยค่อนข้างจะบอบบาง ผิวที่อ่อนละมุนของเธอทำให้ชายหนุ่มต้องระวังเป็นพิเศษขณะสัมผัส เขาไม่กล้าออกแรงถ้ามันไม่จำเป็น มันจึงทำให้การลูบหลังของเขานั้น เป็นการกระทำที่อ่อนโยนและละมุนละไมไปโดยปริยาย
ในท้ายที่สุด ใบหน้าที่หวาดกลัวของเซียวหลิงก็เริ่มคลี่คลายลง เช่นเดียวกับมือที่จับชายเสื้อของเซียวเฟิงเองก็ด้วย
ชายหนุ่มค่อย ๆ จับมือเล็ก ๆ ของเซียวหลิงออกจากการจับชายเสื้อของเขา พร้อมกับประคองหัวเล็ก ๆ ของเธอขึ้นมาและจับวางไปบนหมอนดี ๆ เซียวเฟิงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างที่กำลังหลับใหลนั้นด้วยความเบามือก่อนจะลุกไปจากเตียงโดยไม่ให้เกิดเสียงใด ๆ
ภายในห้องนั่งเล่นนั้นสะอาดปราศจากถุงขนมหรืออาหารฟาสฟู้ดเหมือนดั่งที่เคยเป็น ในขณะที่ห้องครัวเองก็สะอาดราวกับไม่มีใครมาแตะต้องด้วยเช่นกัน ดังนั้นเซียวเฟิงจึงสามารถสรุปได้จากการสังเกตว่าเซียวหลิงข้ามมื้อเย็นแล้วไปนอนเลยแน่ ๆ เขารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ เพราะงั้นหลังจากที่เขาออกจากห้องน้ำ เซียวเฟิงจึงเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำโจ๊กขึ้นมา เขาตั้งใจจะไปปลุกเซียวหลิงให้ขึ้นมากินมันสักหน่อยอย่างน้อยก็เพื่อเลี่ยงโรคกระเพาะ
ทันใดนั้นในดวงตาของเซียวเฟิงก็ปรากฏแสงแวววับขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะหายไป ทันทีทันใด เขาหันหน้าออกและจ้องมองไปยังประตูห้องอย่างไม่ละสายตา
ถึงแม้ว่าด้านนอกจะมีเสียงฝนตกที่ทำให้ประสาทการรับรู้ของเขาลดลงไปเล็กน้อย แต่กระนั้นเขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายนอกห้องนี้ได้อยู่ดี
ชั่วพริบตาเดียว ราวกับว่าร่างของเซียวเฟิงนั้นได้หลอมรวมเข้ากับความมืดมิดไปแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ขณะที่เดินเข้าใกล้ประตูขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มจ้องมองผ่านช่องตาแมว แต่แล้วผู้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของประตูก็ทำให้เขาต้องชะงักไป
วินาทีต่อมา เซียวเฟิงเปิดประตูออกพร้อมเอ่ยถาม “เธอมาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย?”
ร่างสูงและเพรียวบางที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูนั้นเปียกปอนไปทั้งตัว ราวกับหนูที่ตกลงไปในท่อน้ำ ผมยาวสลวยถูกมวลน้ำชะโลมจนลงมากองกันอยู่บนไหล่ และที่ปลายผมนั้นก็มีหยดน้ำไหลลงเป็นสายให้เห็นอยู่เป็นนิจ เสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงขาสั้นผ้าเดนิมเปียกชุ่มจนแนบชิดไปกับผิวตัวราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สอง ผิวขาวซีดที่ปรากฏออกมาเหนือร่มผ้ามีรอยน้ำไหลพรากให้เห็นได้ทั่วไป
จังหวะที่ประตูถูกเปิดออกมาพร้อมกับได้ยินเสียงของเซียวเฟิง ร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าสวย ใบหน้าที่เป็นใครอื่นไม่ได้อีกนอกจาก ซือเยี่ยจิ๋ง
เพียะ!
เพียงแค่เหลือบมองและเห็นว่าเป็นเซียวเฟิง ซือเยี่ยจิ๋งก็เหมือนคนเสียสติ แขนของเธอก็ยกขึ้นตบเขาอย่างรวดเร็วถึงแม้ว่าท้ายสุดชายหนุ่มจะปัดป้องไว้ได้ก็ตาม
“ทำบ้าอะไรของเธอ? เสียสติไปแล้วหรือไง?!” เขากล่าวถามขณะขมวดคิ้ว มือก็จับมือของซือเยี่ยจิ๋งไว้แน่นด้วย
ฝ่ามือของเธอนั้นค่อนข้างเย็นราวกับว่าสิ่งที่จับอยู่นี้ไม่ใช่มือคนหากแต่เป็นก้อนน้ำแข็งที่นุ่มนิ่ม มันแทบจะไม่เหลือความอบอุ่นอยู่แล้ว หลังจากที่พินิจพิเคราะห์จากสภาพของชุดและน้ำที่ไหลพรากจากร่างของหญิงสาวตรงหน้า ดูท่าเธอคงจะวิ่งฝ่าพายุฝนมาแน่ ๆ
ซือเยี่ยจิ๋งไม่ได้พูดอะไรออกมา กลับกันเธอเพียงยืนจ้องเซียวเฟิงกลับด้วยแววตาที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งด้วย แม้ว่าใบหน้าสวยนั้นจะถูกผมเผ้าบดบังไปเสียเยอะ แต่ก็ยังสามารถเห็นแววตาที่เย็นชาและขุ่นเคืองของเธอได้อยู่
“เข้ามาคุยข้างใน” เซียวเฟิงพูดและดึงเธอเข้ามาภายในห้อง เนื่องจากตอนนี้เพื่อนบ้านของเขาเริ่มจะเดินออกมาดูสถานการณ์ภายนอกห้องด้วยความประหลาดใจกันแล้ว
ผนวกกับสภาพนี้ของเธอ ซือเยี่ยจิ๋งได้ไปนอนหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลแน่ถ้าเขาปล่อยเธอไว้คนเดียว
กลับมาในห้องเซียวเฟิงเปิดฮีทเตอร์ในห้องนั่งเล่นให้เธอแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องแปลกที่ต้องมาใช้ฮีทเตอร์ในฤดูร้อนก็ตาม คืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ถือเป็นข้อยกเว้น จากนั้นเขาก็โยนผ้าขนหนูให้เธอพร้อมกับเอ่ยถามด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น “สรุปแล้วมาทำอะไรที่นี่?”
ร่างที่เปียกโชกของซือเยี่ยจิ๋งนั่งอยู่บนโซฟา กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ทุกย่างก้าวของเธอทิ้งหยดน้ำไว้บนพื้นมากมายรวมถึงบนโซฟาตอนนี้ด้วย เธอรับผ้าขนหนูมาแล้วเริ่มเช็ดหัวไปเรื่อย ๆ แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ นอกเสียจากจ้องมองเซียวเฟิงด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก
พักใหญ่ ๆ เซียวเฟิงก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้กับสายตาที่ไร้ซึ่งคำพูดนั้นของซือเยี่ยจิ๋ง “ว่างนักหรือไง? ถ้าเธอไม่มีอะไรจะพูด ฉันจะไปนอนแล้วนะ”
แต่ก่อนจะไป เซียวเฟิงก็อดที่จะตำหนิเธอไม่ได้ “จริงจังปะเนี่ย? เธอวิ่งออกมากลางดึกแบบนี้เพราะจะมานั่งมองหน้าฉันเงียบ ๆ ? ผมแห้งแล้วก็ไปเช็คสมองซะบ้างนะ”
“นาย! รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป?” ซือเยี่ยจิ๋งเปิดปากพูดแล้ว เสียงของเธอค่อนข้างจะแหบพร่ามาก
สายตาที่จ้องมองไปยังเซียวเฟิงนั้นยังเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นขณะถามออกไป และภายในความเยือกเย็นนั้นก็แฝงความเกลียดชังเอาไว้ด้วย
“ฉันทำอะไร?” ชายหนุ่มถามกลับ
ทันใดนั้น อารมณ์ของซือเยี่ยจิ๋งก็ระเบิดออกมา เธอกระทืบเท้าแล้วโยนผ้าขนหนูกลับไปใส่เซียวเฟิงพร้อมกับแผดเสียงตะโกนที่แหบแห้งราวกับเค้นมันออกมาจากสุดลำคอ “นายทำลายความหวังของพี่ของฉัน! นายทำลายชีวิตของเธอ! ทำลายโชคชะตาของเธอด้วย!”
“เบาเสียงลงซะ” เซียวเฟิงพูด “เธอกำลังพูดถึงเรื่องสงครามป้องกันแคมป์นั่นใช่หรือเปล่า?”
เซียวเฟิงส่ายหน้าแล้วโยนผ้าขนหนูกลับไปให้ซือเยี่ยจิ๋งดังเดิม เขาก็พอจะเข้าใจได้อยู่ว่ากิลด์มิดซัมเมอร์นั้นสำคัญกับโรสขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่ว่ามิดซัมเมอร์กรุ๊ปเป็นเป้าหมายของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยน ถ้าเธอคนนี้อยากจะโทษอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะก็ สิ่งนั้นควรจะเป็นดวงชะตาของโรสเองต่างหากที่มันดันมาซวยเอาตอนนี้
ซือเยี่ยจิ๋งไม่ได้ยื่นมือไปคว้าผ้าขนหนูผืนนั้นไว้และปล่อยมันตกลงไปกองกับพื้น เธอจ้องมองไปยังเซียวเฟิงพร้อมกับพูดเชิงโทษเขาต่อ “นายรู้หรือเปล่าว่าพี่สาวของฉันตอนนี้น่าสงสารขนาดไหน?”
“เธอน่ะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งพร้อมกับได้รับรูปร่างอันงดงามเป็นดั่งพรของพระเจ้า! แต่ก็เพราะพรของพระเจ้าที่ต้องการให้เธอมีใบหน้าที่สวยงามเช่นนี้ มันจึงทำให้เธอต้องเผชิญกับโชคชะตาอันน่าสลดอยู่เรื่อยๆ!”
“ยิ่งโตมาความสวยที่พัฒนามากขึ้นก็ทำให้เธอโดนจับจ้องโดยตระกูลที่ทรงอำนาจมากกว่า และแน่นอนว่าเธอไม่สามารถต่อต้านพวกนั้นได้เลย! ในเมื่อรูปร่างหน้าตาไหนจะฐานะของตัวเธอเองเหมาะสมกับตระกูลนั้นไปเสียหมด ทำให้เธอต้องแต่งงานกับตระกูลที่ว่าเมื่อถึงอายุ 22”
“เรื่องมันยิ่งเลวร้ายขึ้นไปหลังจากที่พวกเรารู้ว่าคนที่เธอควรจะต้องแต่งงานด้วยน่ะ…ตายไปแล้ว! คน ๆ นั้นตายไปตั้งหลายปีแล้ว! นายรู้หรือเปล่าว่าการแต่งงานหลังจากที่ตายไปแล้วมันคืออะไร?”
ตลอดเวลาที่ซือเยี่ยจิ๋งเค้นเอาเสียงอันแหบพร่าของเธอเพื่อพยายามเล่าเรื่องให้เซียวเฟิงนั้น มันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมายที่หลุดรอดออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น ความไม่พอใจ ความโกรธ ความทุกข์ยากแล้วก็ความโศกเศร้า
“การแต่งงานหลังจากที่ตายไปแล้วงั้นเหรอ…” บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในใจเซียวเฟิงเกิดความเปลี่ยนแปลงและสิ่งนั้นก็ทำให้สีหน้าของเซียวเฟิงเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่ซือเยี่ยจิ๋งพูดนั้นคือเรื่องที่ถือเป็นข้อห้ามไม่ให้ปฏิบัติมานานมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ยังรู้ดีอีกว่า ตระกูลหัวโบราณบางตระกูลก็ยังคงมีให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเรื่อย ๆ แถมยังให้ความสำคัญกับมันมาก ๆ อีกด้วย
“พวกนั้น…อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ถูกฝังไปพร้อมกับคนตายหรือไง? เป็นความต้องการที่ไร้สาระและเหตุผลจริง ๆ แล้วพวกเธอปฏิเสธกันเองไม่ได้หรือไงน่ะ?” เซียวเฟิงพูดพร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่นนั้น
“ฉันก็บอกนายไปแล้วไงว่าตระกูลนั้นมันทรงพลังเกินกว่าที่นายจะคิดได้! ไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะต้านทานมันได้เลย สำหรับคนทั่ว ๆ ไป ตระกูลของลูกพี่ลูกน้องของฉันน่ะก็ถือว่าทรงพลังมากแล้ว แต่ถึงจะถูกมองว่าทรงพลัง พวกเขาก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังของตระกูลนั้นได้! ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเงินหรือจะเป็นอำนาจทางการเมือง ไม่มีอะไรที่จะสามารถสู้ได้เลย ความพยายามทุกอย่างมันสูญเปล่า พวกนั้นไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพี่ของฉันจะต้องจบลงด้วยความตายหรือยังไง… ยังไงซะพวกนั้นก็ไม่ได้อยากจะสนใจชีวิตของเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว…”
ขาเรียวสวยของซือเยี่ยจิ๋งอ่อนแรงไปหมด เธอไม่มีแรงพอจะลุกจากโซฟาด้วยซ้ำ น้ำเสียงที่เคยแข็งกร้าวเองก็อ่อนนุ่มลงไป เธอกำลังอ่อนแอแบบสุด ๆ เลยทีเดียวในขณะนี้
“แต่การมาของมิธก็ทำให้พี่สาวของฉันมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธออาจจะไม่สามารถสู้กับพวกนั้นได้ในโลกของความจริง แต่ในโลกใบที่สองนี้ เธอยังมีโอกาสอยู่ นั่นเพราะอีกตระกูลเองก็เข้ามาอยู่ในโลกแห่งเกมนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขาต้องเริ่มต้นจาก 0 เหมือนเธอ แถมในโลกนี้พวกเขาไม่สามารถแตะต้องเธอได้ด้วย เพราะงั้นลูกพี่ลูกน้องของฉันจึงตั้งใจจะใช้โลกใบที่สองนี้ อยู่เหนือกว่าตระกูลนั้นให้ได้ เธอเชื่อว่ามันจะต้องช่วยให้เธอเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้แน่ ๆ ”
“นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงยอมปากกัดตีนถีบซื้อมิดซัมเมอร์กรุ๊ปมา ชีวิตและชะตากรรมของเธอน่ะ ถูกเดิมพันไว้กับกิลด์มิดซัมเมอร์นี้แล้ว!”
“แต่ทุกอย่างก็จบลง!”
อีกครั้งที่ซือเยี่ยจิ๋งกวาดสายตามามองเซียวเฟิง สายตานั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนไปมา ไม่ว่าจะเป็นเกลียดชัง โกรธ เยือกเย็นและอื่น ๆ อีกมากมาย
“นายเป็นคนทำทุกอย่างพังทลาย!”
“มิดซัมเมอร์จบลงแล้ว! พันล้านที่เธอเสียไปมันสลายหายไปจนหมด! เธอทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! ไม่มีโอกาสที่สองที่เธอใฝ่หาทั้งนั้น!”
หยาดน้ำที่อุ่นกว่าหยาดฝนบนร่างกายเริ่มไหลอาบแก้มนวลสีซีด ตอนนี้บนใบหน้าของเธอไม่ได้มีเพียงหยดน้ำเพียงอย่างเดียวแล้ว
เซียวเฟิงยังคงเงียบอยู่ เขาไม่เคยรู้ถึงเบื้องหลังของโรสมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ ไม่รู้ว่าชะตากรรมอะไรที่กำลังรอเธออยู่เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่ากิลด์มิดซัมเมอร์มีความหมายกับเธอขนาดไหน
ทว่าพอคิดว่าว่าตนเองเป็นคนผิด เขาก็พลันคิดได้ว่า ในเมื่อโรสและกิลด์มิดซัมเมอร์ไม่มีความผิด เขาเองก็ไม่มีความผิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับดวง โรสดวงซวยเองที่มาเจอเขา
เป้าหมายของเซียวเฟิงเป็นมิดซัมเมอร์กรุ๊ปมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของมิดซัมเมอร์กรุ๊ป เขาก็จะทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นโรสหรือใครอื่น!
ปณิธานนี่ไม่เคยหวั่นไหวและจะไม่มีการตั้งคำถามใด ๆ ทั้งนั้นด้วย!