ตอนที่ 204 ครั้งนี้เป็นแค่การเตือน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 204 ครั้งนี้เป็นแค่การเตือน

 

ไม่ว่าคุณแม่จี้จะพูดอย่างไร จี้อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่ยอมกลับไปที่บ้านของสามี 

ซูตานหงเองยังรู้เรื่องนี้จากเยียนเอ๋อร์ เนื่องจากหนูน้อยตามลุงสามของเธอลงมาจากภูเขา “อาเล็กบอกว่าจะไม่กลับไปที่บ้านแม่สามีค่ะ ที่นั่นเลี้ยงหมูเหม็นมาก แถมยังบอกอีกว่าไม่ได้กินข้าวบ้านสามีแล้วทําไมต้องทํางานให้บ้านสามีด้วย? หล่อนไม่ทําหรอก!” 

“เด็กคนนี้นี่” จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก่อนจะบอกกับซูตานหง “ผมจะไปดูอ่างเก็บน้ำนะครับ”

“ไปเถอะค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า

“พ่อ พ่อ” เสียงเรียกของลูกชายคนรองดังลั่น เท้าเล็ก ๆ นั้นก็เดินโซซัดโซเซและพุ่งเข้าใส่พ่อของเขา

“คุณพาไปด้วยเถอะค่ะ” ซูตานหงเห็นท่าทีของเจ้าเด็กคนนี้ เลยโบกมือให้เขาไป

ฉีฉีไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้ ทั้งวันเขาเอาแต่คิดจะออกไปข้างนอก หากปล่อยให้ขึ้นไปเล่นบนภูเขาได้ เขาคงไม่คิดถึงแม่คนนี้เลยด้วยซ้ำ  

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มและพาลูกชายคนสุดท้องกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะเอาเป้อุ้มเด็กออกมา ฉีฉีให้ความร่วมมือกับพ่อเป็นอย่างดีในการยึดตัวเขาไว้ตรงหน้าอก จากนั้นคุณพ่อและลูกชายก็ขับรถไปที่อ่างเก็บน้ำ 

ในบ้าน 

อย่ามองว่าเยียนเอ๋อร์ยังไม่โตมาก แต่ความสามารถในการเรียนรู้คําพูดนั้นดีเยี่ยมทีเดียว ซูตานหงสามารถจินตนาการได้ว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นไม่พอใจแม่สามีของเธออย่างไร

จากนั้นซูตานหงจึงถามขึ้น “เยียนเอ๋อร์ หนูไปรู้เรื่องนี้มากจากใครจ๊ะ?” 

“หนูไม่ได้รู้จากใคร หนูแค่อยากบอกคำพูดของอาเล็กให้คุณนายสามฟังค่ะ” เยียนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก  

จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นลุงคนที่ 3 ของเธอ ดังนั้นซูตานหงจึงถูกเรียกว่าคุณนายสาม หรืออาจเรียกว่าป้าสามก็ได้ แต่เยียนเอ๋อร์ชอบเรียกว่าคุณนายสามมากกว่า

นี่เป็นการเรียกขานของคนรุ่นใหม่ หากคนในรุ่นของจี้เจี้ยนอวิ๋นมักจะเรียกกันว่าป้า แม้กระทั่งภรรยาของคุณลุงจี้ เดิมทีจี้เจี้ยนอวิ๋นจะต้องเรียกว่าป้าสะใภ้ใหญ่ แต่คนรุ่นนั้นก็เรียกกันว่าป้าโดยตรง

ในบางพื้นที่จะเรียกป้าว่าแม่ แต่ไม่ใช่แม่จริง ๆ

แต่ตอนนี้ ยุคสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวิ๋นลี่ลี่ เมื่อหล่อนกลับมาในช่วงปีใหม่ ก็พยายามแก้ให้เยียนเอ๋อร์ไม่เรียกเธอว่าป้าสะใภ้สาม ให้เรียกป้าสาม หรือคุณนายสามแทน

 

เยียนเอ๋อร์จึงเปลี่ยนคำพูดในทันที ตั้งแต่นั้นมาเธอจึงถูกเรียกว่าคุณนายสาม

ส่วนจี้เสี่ยวตงและเสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้น้องสาวทั้งสองของเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนคำเรียก เพราะจี้เจี้ยนกั๋วและจี้เจี้ยนเยี่ยแก่กว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นทั้งคู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเรียกเธอว่าน้าสาม 

“ครั้งหน้าอย่าไปจดจำเรื่องพวกนี้อีกนะจ๊ะ” ซูตานหงบอกเด็กน้อย

เยียนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับ “ครั้งหน้าหนูจะไม่จำแล้วค่ะ แต่อาเล็กทำให้คุณย่าโมโหมากจนไม่ยอมคุยกับหล่อนเลย”

“อาเล็กทำให้คุณย่าโมโหเหรอ?” เหรินเหรินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น 

เจ้าตัวน้อยมีใบหน้ากลมเหมือนซาลาเปา แม้ว่าเขาจะยังเด็กและมีอายุเพียง 3 ขวบครึ่ง แต่ก็เป็นคนมีเหตุผล 

เด็กชายกตัญญูต่อคุณย่าของเขามาก บางครั้งเมื่อเห็นของอร่อยบนโต๊ะ ก็มักจะถามว่าได้ส่งให้ปู่กับย่าของเขาหรือยัง? 

พอตอนนี้ได้ยินว่าย่าของเขากำลังโมโหจึงขมวดคิ้วมุ่น

“โมโหสิ พี่สาวล้างสตรอเบอรี่ให้ คุณย่าก็กินไปแค่ลูกเดียว พี่สาวเลยขอตามลุงสามลงมาเล่นกับนายที่นี่” เยียนเอ๋อร์บอก

“อาเล็กไม่มีเหตุผล” เหรินเหรินตำหนิ

เยียนเอ๋อร์พยักหน้าแล้วถามถึงคําศัพท์ที่พี่ชายเสี่ยวตงสอนเมื่อวานนี้ “น้องชาย นายจำได้กี่คำ?”  

 

“ผมจำได้ว่า…”

สองพี่น้องช่วยกันจิ้มนิ้วนับตัวอักษรที่เขียนไว้เมื่อวาน เพราะวันนี้พี่เสี่ยวตงจะมาตรวจ

ซูตานหงจึงเดินเข้าครัวทำขนม 

ขนมถั่วตัดใส่งาที่เธอทำวันนี้มีกลิ่นหอมมาก หลังจากทำเสร็จก็แบ่งให้เด็ก ๆ คนละ 2 ชิ้น พร้อมนมมอลต์อีก 2 แก้ว จากนั้นจึงขึ้นไปบนภูเขาพร้อมกับขนมจานเล็ก ๆ

เมื่อเธอขึ้นไปบนภูเขาก็พบว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นกำลังนั่งกินสตรอเบอรี่ที่เยียนเอ๋อร์ล้างไว้

“อ้าว น้องสามีกลับมาแล้ว” ซูตานหงทัก

จี้อวิ๋นอวิ๋นยังคงจำพี่สะใภ้ทั้ง 4 คนของเธอได้ แต่กับซูตานหงหล่อนไม่อยากจะไว้หน้า เมื่อได้ยินเสียงร้องทักจึงแค่นลมหายใจออกมาและหันหลังให้อย่างไม่สนใจ

คราวนี้คุณแม่จี้จึงระเบิดขึ้นมาทันที “จี้อวิ๋นอวิ๋น แกหูหนวกหรือว่าตาบอดกันแน่ พี่สะใภ้สามกำลังพูดกับแกอยู่ ไม่ได้ยินเหรอ?” 

“แม่ ทำไมต้องพูดเสียงดังขนาดนี้ หนูได้ยินสิ ทำไมจะไม่ได้ยิน!” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดขึ้นมาอย่างเหลืออด 

“ได้ยินแล้วทำไมยังทำตัวไร้มารยาทอีก?” คุณแม่จี้ตำหนิ

 

จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงยอกย้อน “แล้วจะให้หนูทำยังไงอีกล่ะ?”

ซูตานหงยิ้มและพูดกับคุณแม่จี้ “คุณแม่อย่าโกรธเลยค่ะ”

สีหน้าของคุณแม่จี้ดูมืดครึ้ม ซูตานหงจึงรีบยื่นขนมให้นางแล้วพูด “คุณแม่ไปชงนมมอลต์สักแก้วไว้กินกับขนม แค่นี้ก็ได้รสชาติอร่อยมากเลยนะคะ”

“แม่เคยบอกแล้วว่าให้ฉันเอานมกระป๋องนั้นกลับไป” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดพร้อมกับเชิดคางมองซูตานหง

สีหน้าของคุณแม่จี้ยิ่งย่ำแย่ลง ถึงแม้จะบอกว่ายกให้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนจะมาเอ่ยปากหรือพูดแทน นางคิดว่าหลังจากซูตานหงซื้อมาให้ ตัวเองและสามีไม่ค่อยได้ดื่มมันนัก จึงยกให้ลูกสาวไปแล้ว

แต่คิดไม่ถึงว่าลูกสาวของนางจะใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับพี่สะใภ้สามของหล่อน ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน จงใจเสียดสีสะใภ้สามงั้นเหรอ?

“คุณแม่คะ เย็นนี้ฉันอยากกินสตรอเบอรี่ คุณแม่ช่วยเก็บให้หน่อยได้ไหมคะ?” ซูตานหงมองคุณแม่จี้ด้วยรอยยิ้ม

“ได้สิ” คุณแม่จี้ไม่อยากอยู่กับลูกสาวคนนี้อีกแล้ว จึงหิ้วตะกร้าเดินออกไป

“น้องสามีคิดว่าตัวเองเก่งนักเหรอจ๊ะ?” ทันทีที่คุณแม่จี้จากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของซูตานหงก็พลันเลือนหาย ก่อนจะมองไปยังจี้อวิ๋นอวิ๋น

ส่วนจี้อวิ๋นอวิ๋นยังคงแสดงท่าทางเยาะเย้ย “ทำไมล่ะ ไม่เสแสร้งต่อไปแล้วเหรอ?”

“ฉันจะบอกให้นะจี้อวิ๋นอวิ๋น ตั้งแต่ต้นจนจบเธอมีอะไรที่สู้ฉันได้บ้าง? แค่สตรอเบอรี่ที่เธอกินอยู่ตอนนี้ก็โตมาจากภูเขาของฉัน ที่ดินที่เธอยืนอยู่ก็เป็นของครอบครัวฉัน ทำไมเธอถึงยังกล้าทำตัวหยาบคายกับฉันอีก?” ซูตานหงพูดเสียงเรียบ

สีหน้าของจี้อวิ๋นอวิ๋นดูน่าเกลียด จากนั้นก็โยนสตรอเบอรี่ที่กินไปครึ่งหนึ่งลงบนพื้น “ใครอยากได้ของของเธอ!”  

“ดูไม่ออกเลยว่าน้องสามียังพอมีสำนึกอยู่บ้าง ในเมื่อไม่อยากได้ของของฉัน นมมอลต์กระปุกนั้นฉันซื้อมาเพื่อแสดงความกตัญญูต่อแม่สามี เธอคงไม่หน้าด้านเอาไปหรอกนะ?” ซูตานหงพูด 

“คิดว่าฉันขาดแคลนนักหรือยังไง ถ้าแม่ไม่ยกให้ คิดเหรอว่าฉันจะอยากได้!” จี้อวิ๋นอวิ๋นรีบพูดทันที

“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ขาดแคลน และเธอก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่อยากต้อนรับน้องสามีอย่างเธอมาเป็นแขกในพื้นที่นี้สักเท่าไหร่ สวนนี้เป็นของฉัน เชิญน้องสามีทำตามตัวสบายเถอะ” ซูตานหงกล่าวอย่างเฉยเมย

“เป็นของเธองั้นเหรอ? น่าตลกดีนะ ภูเขาลูกนี้เป็นของพี่สามต่างหาก!” จี้อวิ๋นอวิ๋นมองซูตานหงด้วยแววตาเยาะเย้ย

“จริงอยู่ที่เขาเคยเป็นพี่สามของเธอ แต่ตอนนี้เขาเป็นสามีและเป็นพ่อของลูกชายทั้ง 2 คนของฉัน เขาจะเข้าข้างฉันหรือเธอ น้องสามียังไม่รู้อีกเหรอ? อายุก็ตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังพูดจาไร้เดียงสาแบบนี้อีก น่าตลกสิ้นดี อุตส่าห์ได้ไปเรียนถึงวิทยาลัยอยู่ตั้งปีครึ่ง ทำไมถึงยังไม่เข้าใจความซับซ้อนของคนอีก?” ซูตานหงพูดจาแฝงความนัยถากถาง

ใบหน้าของจี้อวิ๋นอวิ๋นแดงก่ำและน่าเกลียดสุดขีด

“ยังไงก็แต่งงานออกไปแล้ว ความจริงมีคำกล่าวที่ว่า ครอบครัวเป็นรากเหง้าของลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว แต่บ้านเดิมของแม่ไม่ใช่สถานที่ที่ลูกสาวผู้แต่งงานแล้วกลับมาสร้างปัญหาได้ แล้วท่านก็เป็นแม่สามีของฉัน เธอทำให้คุณแม่ต้องโกรธ เพราะฉะนั้นเธอต้องรับผิดชอบและชดเชยให้ถึงที่สุด ถ้าในอนาคตให้เธอเป็นคนเลี้ยงดูคุณแม่มีจะปัญญารึเปล่าล่ะ?” ซูตานหงเยาะเย้ย

“นั่นแม่ฉัน เธอคิดเหรอว่าท่านจะเข้าข้างเธอ ต่อให้เอ็นดูเธอมากแค่ไหนก็สู้ฉันที่เป็นลูกสาวไม่ได้หรอก!” จี้อวิ๋นอวิ๋นสวนกลับทันควัน

ซูตานหงพยักหน้า “ฉันรู้ว่านั่นคือแม่ของเธอ แต่ตอนนี้เธอเป็นลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว เปรียบกับน้ำที่ถูกสาดออกนอกบ้าน เธอไม่มีสิทธิ์กลับมาทำให้คุณแม่อารมณ์เสียอีก จี้อวิ๋นอวิ๋น ครั้งนี้เป็นแค่การเตือน แต่ถ้าครั้งหน้าเธอกล้ากลับมาทำให้แม่สามีของฉันไม่สบายใจอีก แม้แต่บนภูเขาลูกนี้เธอก็ไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาเหยียบ”