ตอนที่ 180 พบกันอย่างบังเอิญ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เขี่ยข้าวในจานเป็นพักๆ หลังจากเข้าใจในการกระทำของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างละเอียดแล้ว จู่ๆ นางก็ลังเล ใจที่คิดอยากจะเห็นเรื่องสนุกแทบจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลงเหลือเพียงความหงุดหงิดที่ยากจะพูดไว้เท่านั้น

นางรู้ว่าไม่ว่าคนพวกนั้นจะกล่าวอย่างไร แต่ความตั้งใจแรกของซั่งกวนเจวี๋ยเดิมทีก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือไม่ให้ตัวเองถูกใส่ร้ายอย่างเสียเปล่า นางก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกันว่าตนเองจะยอมรับความลำบากโดยไม่ขัดขืน เหอะๆ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ใช่สะใภ้ตัวน้อยๆ ที่จะถูกรังแก ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ ตอนนี้ก็ไม่ใช่เช่นกัน

ดังนั้นนางจึงกำลังลังเลว่า จะใช้รูปลักษณ์ในตอนนี้ไปเจอกับเจวี๋ยดีหรือไม่?

นางไม่รู้ว่าตอนนี้ใจของซั่งกวนเจวี๋ยยังมีความรู้สึกกับคุณหนูสุราเท่าใด หากพูดว่าก่อนหน้านั้นนางแทบที่จะไม่สนใจ (อย่างไรก็ล้วนเป็นตัวเอง) ถึงขนาดไม่อยากให้เจวี๋ยลืมเลือน แต่ตอนนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะว่าตั้งแต่วันที่นางได้พบกับใบหน้าที่แท้จริงของซั่งกวนเจวี๋ย ก็ได้ตั้งใจให้ตัวเองปรับตัวเข้ากับฐานะภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ยให้เร็วที่สุด พยายามให้คนของตระกูลซั่งกวนยอมรับนาง พยายามให้ตัวเองรักเขา ทั้งให้เขาได้รับรู้ถึงความรักและความอบอุ่นของตัวเอง และยิ่งเพราะว่าท้องของนางในยามนี้ได้มีชีวิตตัวน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว นางกำลังจะมีลูกให้กับเขา หากในใจของเขายามนี้ยังเป็นคุณหนูสุรา สำหรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับนับเป็นการปฏิเสธอย่างหนึ่ง ปฏิเสธความพยายามทั้งหมดที่ทำมา

นางเข้าใจนิสัยของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และคุณหนูสุราที่ไปกันคนละทางดีอย่างยิ่ง…คุณหนูสุราเปิดเผยตรงไปตรงมา ใจกล้าไม่เกรงกลัวอันใด อยากจะร้องไห้ก็ร้องอยากจะหัวเราะก็หัวเราะ ไม่สนใจธรรมเนียมหรือกฎเกณฑ์ โปรยเสน่ห์ตนเองอย่างไม่ต้องคิดมาก นั่นเป็นสิ่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากทำ แต่ไม่สามารถทำได้ ทั้งไม่กล้าทำด้วย

นางกลัวอยู่บ้าง กลัวจะพบหน้ากับเจวี๋ย กลัวว่าจะเห็นเขามองคุณหนูสุราด้วยความลึกซึ้ง แล้วจะโยนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ด้านหลัง แต่สิ่งที่นางกังวลยิ่งกว่านั้นคือ หากคุณหนูสุราไม่ปรากฏตัวออกมาทั้งชั่วชีวิต ในใจของเจวี๋ยก็จะมีเงาของคนผู้นั้นตลอดกาล หรืออาจจะถึงขนาดมีวันหนึ่งที่ครอบครองดวงใจทั้งดวงของเขา นางก็ไม่อาจจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดได้ตลอดกาล ในตอนที่จากลากัน คุณหนูสุราได้สร้างความประทับใจในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของซั่งกวนเจวี๋ย แค่จุดนี้ ก็เพียงพอให้เขาระลึกถึงไปชั่วชีวิตแล้ว

แต่หากไม่ใช้ตัวตนนี้ไปเจอกับเจวี๋ย นางก็ไม่สบายใจ นางไม่อยากจะให้กำเนิดลูกของเขาด้วยใจที่กังวลกับผลลัพธ์เช่นนั้น นางมีความรู้กับเรื่องแพทย์เรื่องยาอย่างลึกซึ้ง หากปัญหาที่ตัวเองกังวลในใจมากที่สุดยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอยู่อย่างนี้ ก็จะไม่เป็นผลดีกับครรภ์ อาจจะให้กำเนิดสิ่งเล็กๆ ที่หม่นหมอง อาจจะคลอดบุตรที่โง่เขลาออกมา หรืออาจจะคลอดไม่ได้ตายในครรภ์ แล้วเช่นนั้นนางควรจะทำอย่างไร?

มู่หรงปั๋วเย่แค่พริบตาเดียวก็คล้ายจะมองเห็นเด็กสาวที่สวมหน้ากากผีเสื้อคนนั้น ที่ทำเป็นใช้ตะเกียบเขี่ยของในจานไปมาอย่างกลัดกลุ้ม ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ดูท่าพวกเขายังคงมีวาสนาต่อกันจริงๆ เพียงแค่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาก็ยังมาพบนางได้ แปลกจริง นางไม่ใช่ชื่นชอบความครื้นเครงเป็นที่สุดหรอกหรือ? เหตุใดจึงไม่ไปเทียนเค่อหลายหรือหอวีรบุรุษ แต่กลับมาโรงเตี๊ยมเล็กๆ ได้เล่า?

“เชิญพวกท่านนั่งทางนี้เลยขอรับ!” เด็กของร้านเรียกมู่หรงปั๋วเย่ที่อยู่ในชุดสีสดใสอย่างเอาใจใส่ ทั้งสองท่านนี้แค่มองแวบเดียวก็รู้ได้แล้วว่าเป็นแขกที่มีเงิน ย่อมต้องดูแลดีๆ

“ปั๋วเย่ อย่างไรพวกเราเปลี่ยนร้านกันดีกว่าเถิด!” เฉินเยียนอวี่มองโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่แม้ว่าจะสะอาดสะอ้านแต่กลับซอมซ่อไปอยู่บ้างอย่างจับผิด นางไม่ได้มาเหยียบสถานที่เช่นนี้มาหลายปีแล้ว ยามนี้ไม่อยากจะระลึกความหลังอีก

“พวกเขาทำปลากระพงนึ่งได้อย่างเลิศรส นับได้ว่าเป็นไม่เป็นสองรองใครในลี่โจว เจ้าลองชิมดูได้!” เดิมทีมู่หรงปั๋วเย่มาโรงเตี๊ยมเล็กๆ นี้เพราะอาหารรสชาติดีไม่น้อย แต่ยามนี้กลับอยากเห็นว่าหากเด็กคนนั้นเห็นเขาจะมีท่าทีเช่นไรมากกว่า! จะวิ่งหนีหายไปราวกับควัน หรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน เขาอยากจะรู้จริงๆ

“เอ่อ…” เฉินเยียนอวี่มองอีกครั้งอย่างลำบากใจ ลอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า

“เอาตามที่ท่านว่า พวกเราไปนั่งด้านในเถิด!” นางไม่อยากให้ใครมาเห็นตัวเองเข้าออกสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้ แม้จะมากับปั๋วเย่ก็เช่นกัน ช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ!

“ได้!” มู่หรงปั๋วเย่มองเด็กสาวที่จมดิ่งกับโลกของตัวเองอยู่ในมุม ก่อนเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวกับเฉินเยียนอวี่ “เจ้านั่งลงสั่งอาหารก่อนเถิด ข้าเจอกับสหายพอดี พูดคุยกันสักหน่อยแล้วจะกลับมา!”

เห็นมู่หรงปั๋วเย่ทิ้งตัวเองไว้ เดินเข้าไปในมุมของโรงเตี๊ยม สีหน้าของเฉินเยียนอวี่ก็มืดมนขึ้นมาทันที…ที่นั่นมีเพียงโต๊ะตัวเดียวที่มีหญิงสาว สวมหน้ากากปิดถึงคาง นั่งหันข้างให้พวกเขา ใช้ตะเกียบเขี่ยของในจานอย่างเหนื่อยหน่าย นี่เขาคิดจะแสดงฉากพบกันอย่างบังเอิญกับสาวน้อยต่อหน้าตนเองรึ?

“กำลังคิดอะไรอยู่รึ?” มู่หรงปั๋วเย่กล่าวถามอย่างขบขัน เด็กผู้นี้ก็มีช่วงเวลาที่กลัดกลุ้มเช่นกัน!

“เป็นเจ้านี่เอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกใจไปเล็กน้อย ในยามที่เห็นมู่หรงปั๋วเย่ก็อดกลอกตาขึ้นไม่ได้ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไฉนเจ้าถึงว่างขนาดนี้ ขนาดสถานที่ในซอกในซอยเช่นนี้ก็ยังหาเจอได้อีก!”

ยังคงพูดจาไม่รื่นหูเช่นเคย! มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะทั้งยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดจึงมีเพียงเจ้าคนเดียว ไม่มีใครมาด้วยรึ?”

“คนเดียวก็ไม่ได้แย่อะไรเสียหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเขี่ยเนื้อปลาที่แหลกละเอียดแล้วจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นไปอีก กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ก็ย่อมดีกว่ามีคนติดสอยห้อยตามมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็ใช้สายตาโกรธแค้นและชิงชังสังหารข้าเพื่อให้เจ้าเป็นอิสระ”

นี่มันคำพูดอะไรกัน? มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะ จู่ๆ ก็นึกถึงเฉินเยียนอวี่ขึ้นมา จึงบิดศีรษะหันกลับไปทันที ก่อนจะเห็นว่า

เฉินเยียนอวี่มีใบหน้าเจ็บปวดรวดร้าว ดวงตาสองข้างคลอเคล้าด้วยน้ำตากำลังมองมาที่ตนและ ‘โม่จิ้ง’ พอเห็นตัวเองหันศีรษะกลับมา ก็เผยรอยยิ้มที่น่าสงสารจับใจออกมา

“ไม่ต้องสนใจนางหรอก” มู่หรงปั๋วเย่ยิ้มขมขื่น หากผู้ที่เผชิญหน้าด้วยไม่ใช่ผู้ที่ตนเองเห็นเป็นน้องสาวอย่าง ‘โม่จิ้ง’ แต่เป็นหญิงสาวคนสนิท บางทีอาจจะรู้สึกผิด แค่ยามนี้กลับรู้สึกจนใจและเบื่อหน่าย ท่าทีโศกเศร้าเช่นนี้เห็นจนชินตาแล้ว ก็ไม่ได้สงสารอย่างตอนแรกอีกแล้ว

“แต่นางกำลังใช้สายตาราวกับส่งมีดมาแทงข้าน่ะสิ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อยากจะมองข้ามผู้หญิงคนนั้น แต่ความรู้สึกที่ถูกคนเกลียดชังอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ยากจะรับไหวจริงๆ นางไม่เคยมีความคิดอื่นใดหรือเกินเลยกับมู่หรงปั๋วเย่ เห็นเขาเป็นเพียงพี่ใหญ่ที่นิสัยดีคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งมู่หรงปั๋วเย่ก็คงเห็นตัวเองเป็นน้องสาวที่ไม่รู้จักโตและน่าเอ็นดูเท่านั้น นางจำเป็นต้องแสดงท่าทีอย่างกับหญิงสาวที่ถูกสามีทอดทิ้งด้วยหรือ?

“ไม่พูดถึงนางแล้ว เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” มู่หรงปั๋วเย่ไม่อยากถูกนางเบี่ยงประเด็น ก็กล่าวถามอย่างตรงๆ

“ไม่อยากบอกเจ้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ดึงความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าออกมาไม่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สนุกกับอาหารจานนั้นอีกแล้ว จึงผลักมันออกไปไกลๆ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปนอนบนโต๊ะ รู้สึกว่าตนเองหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดแล้ว หากไม่หาที่ระบายออกมาก็ย่อมบ้าคลั่งเป็นแน่

“อายุตั้งเท่าใดแล้ว เหตุใดยังทำตัวเหมือนเด็กๆ อยู่อีกเล่า” มู่หรงปั๋วเย่สั่นศีรษะอย่างจนใจ มองท่าทีที่ราวกับเป็นเด็กของนาง

“ข้ามีเรื่องไม่สบายใจ ขัดแย้งกันไปหมด เสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดให้ใครฟังดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองมีความรู้สึกที่คล้ายอยากจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ กล่าวด้วยแฝงความอ่อนแอเล็กน้อย

“พูดให้ข้าฟังได้!” มู่หรงปั๋วเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม้แต่นางก็ยังมีความหนักใจ

กลอกตาใส่เขาไปที เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กล่าวปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ “ข้าไม่อยากพูดให้เจ้าฟัง!”

“ไม่พูดก็ไม่พูด!” มู่หรงปั๋วเย่ถอนหายใจ ยังดีที่นิสัยตรงไปตรงมาของนางนี้ยังไม่หายไป จึงกล่าวอย่างปลอบใจว่า“ไม่อย่างนั้นข้าให้คนส่ง ‘จุ้ยเสวี่ย’ มาให้เจ้าสองไหดีหรือไม่?”

เห็นนางเป็นคนขี้เมาไปจริงๆ แล้ว? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวปฏิเสธโดยทันที “ไม่เอา!”

น่าขัน นางในยามนี้ก็เป็นเพียงคนๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่อาจจะดื่มสุราตามใจชอบได้!

“ไม่เอาจริงๆ รึ?” มู่หรงปั๋วเย่มองนางอย่างแปลกใจ เขาย่อมไม่อาจลืมเด็กขี้เมาที่น่าเอ็นดูในปีนั้นได้

“ไม่เอาก็คือไม่เอา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างหนักแน่น “อารมณ์ไม่ดี ดื่มสุราจะทำร้ายร่างกายได้ง่าย เรื่องนี้ก็ล้วนไม่รู้รึ?”

เอาเถิด! มู่หรงปั๋วเย่รอเด็กน้อยบ่นจู้จี้จุกจิกออกมาอย่างเงียบๆ แต่ผ่านมาค่อนวันกลับเห็นเพียงนางนอนอยู่บนโต๊ะอย่างหงุดหงิดเท่านั้น ดวงตาทั้งสองที่เคยมีไหวพริบและความเจ้าเล่ห์ในความทรงจำนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว กลับแฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มอยู่รางๆ

“กำลังคิดอันใดอยู่?” มู่หรงปั๋วเย่ลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน มองนางอย่างกังวลใจอยู่บ้าง

“ข้ากำลังคิดว่าหากมีวันหนึ่งข้าไม่มีที่จะไปควรจะไปที่ใดดี” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มีความรู้สึกอยากจะร้องไห้อยู่เล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยเผยยิ้มบาง “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่าอยากให้ข้าเป็นอนุภรรยา หากมีวันหนึ่งข้าไม่มีที่ไป แค่ไปหาเจ้าก็พอ?”

“เจ้าพูดอะไรกัน?” มู่หรงปั๋วเย่ตกใจไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมา “ข้าเคยพูดว่า ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดล้วนมาหาข้าได้ แต่ไม่ใช่แต่งเป็นอนุให้ข้า แต่เป็นน้องสาวให้ข้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง และก็จะหาสามีที่ดีให้เจ้าด้วย!”

“อย่างไรก็ช่างมันเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชำเลืองมองเขา กล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่อาจตกอับขนาดนั้นได้หรอก ข้าเป็นใคร? ข้าย่อมต้องโดดเด่นเฉิดฉาย ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปตลอดกาล ไม่แต่งเป็นอนุให้เจ้าหรอก”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” มู๋หรงปั๋วเย่ไม่คิดว่าประโยคที่กล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นของนางจะเป็นเพียงการพูดเล่นๆ เท่านั้น โดยเฉพาะนางที่มีสีหน้าหนักใจและตัวคนเดียวยิ่งดูเป็นปัญหา

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่นในใจ! มีเรื่องมากมายทีเดียว แต่นางจะพูดอะไรได้? พูดว่าเหมือนมีงูพิษที่หลบซ่อนในที่มืด ไม่รู้ว่าเวลาไหนจะออกมาแว้งกัดตัวเองอย่างอดีตอ๋องเหยี่ยน หรือเซียวเหยาโหวในตอนนี้? บอกว่าท่านป้ามีความแค้นเบื้องลึกเบื้องหลังกับตระกูลซั่งกวน? พูดถึงตัวตนทั้งสองของตนเองและความรู้สึกขัดแย้ง? บอกว่าตัวแบกรับบุญคุณความแค้นที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี? นางจะพูดออกมาได้อย่างไรกัน?

“อย่าได้กลุ้มใจไปเลย ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ ทั้งหมดก็จะดีขึ้นเอง” มู่หรงปั๋วเย่กล่าวปลอบใจเด็กน้อยคนนี้ ไม่อยากจะเห็นนางถูกเรื่องรุมเร้า

ใช่แล้ว! ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามสั่นศีรษะ เช่นนั้นทั้งหมดก็ไม่อาจอยู่ในการควบคุมหรือการเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้ กระทั่งแค่คิดอยากจะรู้ความจริงก็ย่อมลำบากแล้ว อย่างไรก็พยายามผ่อนคลายลงบ้าง อย่าให้ตนเองกลัดกลุ้มเกินไปเถิด!

“คิดออกแล้ว?” มู่หรงปั๋วเย่มองเห็นความปล่อยวางในแววตาของนาง ก็รู้ว่านางวางหินลงจากบ่าได้แล้ว

“คิดออกแล้ว ดังนั้นไม่อยู่ด้วยแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวไปอย่างตรงไปตรงมา นางในยามนี้อยากจะกลับไป ฟื้นฟูจิตใจของตนเองเงียบๆ แล้วรอเจวี๋ยมารับนางกลับจวน

เจ้าเด็กคนนี้ข้ามสะพานได้แล้วก็รื้อสะพานทิ้ง มู่หรงปั๋วเย่ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงโกรธนางไม่ลง ยื่นมือมาขยี้ผมนางจนยุ่งเหยิง ก่นว่าด้วยรอยยิ้ม “เด็กนิสัยไม่ดี!”

“ยามนี้เพิ่งจะมารู้รึว่าข้านิสัยไม่ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์บ่นพร่ำไปตามคำพูดของเขา จากนั้นก็ชี้ไปที่เฉินเยียนอวี่ที่มองทั้งสองคนด้วยความเจ็บปวดมาโดยตลอด “คนผู้นั้นคงไม่ใช่หญิงสาวคนรู้ใจของเจ้าหรอกกระมัง?”

“ใช่!” มู่หรงปั๋วเย่ยอมรับอย่างตรงๆ จากนั้นก็เห็นเด็กน้อยเบ้ปากอย่างไม่แปลกใจสักนิด กล่าวอย่างผิดหวัง “จริงๆ เลย! ข้าก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดนางต้องใช้สายตาที่น่ากลัวเช่นนั้นมองพวกเรา? ข้าคิดว่าในสายตาของนาง พวกเราคือหญิงร้ายชายชั่วที่หน้าไม่อายคู่หนึ่ง อย่างไรข้ารีบกลับไปสักหน่อยจะดีกว่า”

“หลังจากนี้จะไม่ได้พบกันอีกแล้วใช่หรือไม่?” มู่หรงปั๋วเย่กล่าวถามยิ้มๆ

“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างแปลกประหลาด “หากยามที่พบข้าอีกครั้งสามารถจำข้าได้ในพริบตาเดียว ข้าก็จะไม่หลบ แล้วจะเรียกเจ้าว่าท่านพี่ด้วย เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”

“ตกลงตามนั้น!” มู่หรงปั๋วเย่เผยยิ้ม มองเด็กน้อยเดินออกไปด้านนอกอย่างวางมาด ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ว่า…จู่ๆ เขาก็อดยิ้มขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ เหตุใดเขาก็มาด้วยเล่า?

———————–