ภาคที่ 1 บทที่ 144 เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมากเกินไป

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 144 เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมากเกินไป

ซูเย่อยากจะสู้แบบพันรุมหนึ่งอย่างนั้นหรือ?

ตอนที่เฉินเซียนอวี่ได้ยินข่าวนี้ เขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ!

เขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?

ถ้าอย่างนั้น ตัวเขาเข้าร่วมเล่นสนุกด้วยดีกว่า!

เฉินเซียนอวี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูเย่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับไหนกันแน่ ถ้าไม่พิสูจน์ด้วยตัวเอง เฉินเซียนอวี่ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!

ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงเข้าสู่โหมดสังเวียนผู้กล้าและตรงดิ่งไปยังจุดที่ผู้คนกำลังรวมตัวกันหนาแน่น

ในโหมดสังเวียนผู้กล้าขณะนี้

ตอนที่จินฟานได้ข่าวว่าซูเย่สามารถจัดการคู่ต่อสู้กว่า 300 คน ได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว เขาแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่หูของตัวเองได้ยิน

“เชี่ย ทำไมแม่งโหดขนาดนี้วะ!”

ไม่นานต่อมา

ข่าวความยอดเยี่ยมของซูเย่ก็ดังไปทั่วดินแดนสังเวียนผู้กล้า ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้รับทราบข่าวล้วนพากันงุนงงสับสนไม่เข้าใจ

หมอนี่ยังมีสติดีอยู่หรือเปล่า?

การที่สามารถเอาชนะเหมาเก๋อจู่เหรินกับบริวารหลายร้อยคนได้ ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว แต่นี่ซูเย่ถึงกับกล้าท้าสู่คู่ต่อสู้เป็นพันคนเชียวหรือ?

นี่มันเท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ

ซูเย่รู้ตัวไหมว่าตนเองกำลังจะต้องพบเจอกับอะไร?

เจ้าหมอนี่คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานมากนักใช่ไหม?

ได้เลย เดี๋ยวพวกเราจะได้เห็นดีกัน!

ไม่ว่าผลการต่อสู้จะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย พวกเขาก็อยากเข้าร่วมสนุกด้วย!

มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่คิดไปในทิศทางเดียวกัน

ในเวลาเดียวกันนี้

ระหว่างที่หลายคนกดเข้าสู่โหมดสังเวียนผู้กล้า เพื่อเข้าร่วมการประลองกับซูเย่

“ผู้กองครับ ซูเย่ท้าประลองกับผู้เล่นพันคน ให้ผมลองไปสู้กับหมอนั่นดูหน่อยไหมครับ?”

เสี่ยวจุนพลันวิ่งกลับมาถามในห้องทำงานอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หมายความว่ายังไงพันคน?”

หวังเหาชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น

“หมอนั่นตั้งกฎขึ้นมาเองครับว่า เมื่ออยู่ในโหมดสังเวียนผู้กล้าก็ห้ามไม่ให้มีการรังแกกันเด็ดขาด ใครก็ตามที่ละเมิดกฎข้อนี้จะต้องถูกเขาฆ่าตาย และเพื่อเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของตัวเอง ซูเย่จึงได้ออกปากท้าสู้กับผู้เล่นหนึ่งพันคน” เสี่ยวจุนรีบรายงานด้วยความกระตือรือร้น

“พูดจริงสิ?”

หวังเหาเบิกตาโตไม่อยากเชื่อ

ความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในความสนุกครั้งนี้พลันปรากฏขึ้นในจิตใจ

แต่ตอนนี้เขากำลังทำงานอยู่…หวังเหาลุกขึ้นยืน พยายามควบคุมสีหน้าตัวเองไม่ให้แสดงออกมากเกินไปขณะพูดว่า “คนเพียงคนเดียวจะไปสู้กับคนเป็นพันคนได้ยังไง?”

“ถ้าเป็นในโลกแห่งความจริงคงทำไม่ได้หรอกครับ เพราะระดับพลังลมปราณคงกินกันขาดแล้ว แต่ในโลกแห่งเกม เราลดระดับพลังลมปราณของทุกคนลง เพราะฉะนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ”

“แต่ก็ยังเกินตัวไปอยู่ดี”

หวังเหาถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า แอบเอื้อมมือเข้าไปหยิบหมวก VR ของตนเองออกมาจากใต้โต๊ะทำงานอย่างเงียบเชียบ

“หรือผู้กองหมายความว่า…หมอนั่นไม่มีทางสร้างปาฏิหาริย์ได้เหรอครับ?”

เสี่ยวจุนถาม

“ฉันหมายความว่า… นายช่วยมาเขียนรายงานแทนฉันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฉันเข้าไปตรวจดูในเกมเอง”

พูดจบ นายตำรวจหัวหน้าทีมสืบสวนพิเศษก็หิ้วหมวก VR และวิ่งปรู๊ดออกไปจากห้องทำงานหน้าตาเฉย

“อ้าวเฮ้ย!”

เสี่ยวจุนเพิ่งจะตั้งสติได้ ในห้องทำงานแห่งนี้ก็ไม่มีหวังเหาอีกต่อไปแล้ว

“ผู้กองครับ มาตัดหน้ากันแบบนี้ได้ยังไงเล่า!”

เสียงคำรามของนายตำรวจหนุ่มดังก้องกังวานไปทั่วห้องทำงานบนชั้นสอง

ตอนที่หวังเหาเข้าสู่โลกแห่งเกม ผู้คนมากมายก็มารวมตัวกันอยู่ที่สังเวียนแห่งนั้นแล้ว

ทุกคนที่เข้าสู่ระบบขณะนี้ ล้วนมาเพื่อเหตุผลเดียวกันทั้งสิ้น

ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันก้าวเดินมายืนอยู่ข้างเวทีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

1 คน 2 คน 10 คน 20 คน…

100 คน…500 คน…800 คน…จำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในความเงียบ สายตาของผู้คนที่ยืนอยู่ข้างเวทีต่างก็จ้องมองไปที่ซูเย่เป็นจุดเดียว

จังหวะนั้น มีบุคคลผู้หนึ่งก้าวเดินขึ้นไปบนเวที

เขากดแสดงชื่อของตนเอง

‘คนเก็บดอกไม้’

เขาคือผู้เล่นที่มีคะแนนเป็นอันดับสองของโหมดสังเวียนผู้กล้า เพราะเปิดจุดลมปราณได้แล้ว 179 จุด

“หมอนี่ก็มาด้วยเหรอเนี่ย”

กลุ่มคนดูอุทานด้วยความประหลาดใจ

แต่วินาทีต่อมา ก็มีชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก้าวเดินขึ้นเวทีไปเช่นกัน

‘เกาลัดฟ้าประทาน’

เขาเป็นผู้เล่นที่มีคะแนนเป็นอันดับสาม เปิดจุดลมปราณได้ทั้งสิ้น 79 จุด

“อันดับที่สามก็มาด้วยว่ะ!”

เหล่าคนดูอุทานออกมาอีกครั้ง

แต่เท่านั้นยังไม่พอ

ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก้าวเดินขึ้นไปบนเวที

ผู้เล่นอันดับสี่!

ผู้เล่นอันดับห้า!

ผู้เล่นอันดับหก!

ในที่สุด ทุกคนที่เดินขึ้นไปบนเวทีก็แสดงชื่อของตนเองออกมา

ฝูงชนที่อยู่รอบสังเวียนพากันตกตะลึง แทบพูดอะไรไม่ออก

“อื้อฮือ นี่มันงานรวมตัวยอดฝีมือชัด ๆ!”

“ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าผู้เล่นคะแนนสูง ๆ พวกนี้เลยสักคน แต่ตอนนี้ได้เห็นครบหมดทุกคนแล้ว!”

“ขนาดเหมาเก๋อจู่เหรินยังตายแหงแก๋ แล้วคนพวกนี้จะไปเหลืออะไร”

“แต่ถ้ายอดฝีมือร่วมแรงร่วมใจกัน ฉันว่าก็น่ากลัวอยู่นะ ขนาดฉันเป็นแค่คนดูยังตื่นเต้นไปหมดแล้วเนี่ย”

“ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาจริง ๆ!”

หวังเหายิ้มกว้างเมื่อมองกลุ่มผู้เล่นที่มารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้า

ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ เขาก็มีความสุขทั้งนั้น

แต่คงจะดีที่สุดหากซูเย่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือถูกสั่งสอนอย่างหนักหน่วงเสียบ้าง หลังจากสร้างความรำคาญใจให้แก่เขามาหลายครั้งหลายครา

แต่ถ้าซูเย่เป็นฝ่ายชนะ หวังเหาก็คงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

จำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่ใช่แค่ผู้คนบนสังเวียนต่อสู้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงกลุ่มคนดูที่อยู่รอบ ๆ สังเวียนอีกด้วย

ขณะนี้ ไม่มีใครสนใจการต่อสู้จุดอื่น ๆ อีกแล้ว เพราะทุกคนเอาแต่พูดคุยถึงการต่อสู้ของซูเย่ ดังนั้น พวกเขาจึงอยากมารับชมการต่อสู้แห่งประวัติศาสตร์ด้วยตาของตนเอง

ยิ่งมีจำนวนผู้เล่นเดินขึ้นไปบนเวทีมากเท่าไหร่ ขนาดความกว้างใหญ่ของเวทีก็ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น

สุดท้าย เวทีประลองที่ซูเย่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล!

“ทุกคนไม่ต้องขึ้นมาเพิ่มแล้ว ระดับพลังอย่างพวกคุณ ถึงขึ้นมาก็เปล่าประโยชน์”

ชายหนุ่มเจ้าของนามแฝงคนเก็บดอกไม้พูดด้วยสีหน้าเย็นชา

“ตอนนี้มีคนขึ้นมาอยู่บนเวที 1,200 คน ใครที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นผู้เล่นระดับล่างของตารางคะแนน ขอให้รีบถอนตัวออกไปเดี๋ยวนี้”

ไป๋จือหรานกับไป๋จือเหยียนก็มาถึงที่เวทีประลองแห่งนี้แล้วเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคนเก็บดอกไม้ พวกเธอก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่

แต่สิ่งที่ทำให้สองสาวฝาแฝดตกใจมากที่สุดก็คือ ชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีนั้นกลับกลายเป็นซูเย่ไปได้อย่างไรไม่ทราบ

ในระหว่างที่สองสาวฝาแฝดกำลังประหลาดใจอยู่นี้ กลุ่มผู้เล่นที่มีลำดับคะแนนอยู่ท้ายตารางก็ชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ทำไมคนเก็บดอกไม้ถึงต้องไล่พวกเขาลงจากเวทีด้วย แบบนี้มันยุติธรรมดีแล้วหรือ

พวกเขาหันหน้าปรึกษาหารือกันเล็กน้อย ก็ได้ข้อสรุปว่าไม่มีใครอยากลงไปจากเวที

ซูเย่จ้องมองคู่ต่อสู้กว่า 1,000 คน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า “ในเมื่อมากันครบแล้ว ก็เข้ามาได้เลย!”

ช่างกวนบาทาได้ใจ!

กลุ่มคนดูพร้อมใจกันตบมือชื่นชมซูเย่

หลังจากรอคอยมาอย่างยาวนาน ในที่สุด การต่อสู้ก็จะเริ่มขึ้นสักที

ทุกสายตาจ้องมองไปยังเวทีต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น

“เสี่ยวเย่ สู้ ๆ นะเว้ย!”

จินฟานซึ่งยืนอยู่ในกลุ่มคนดูยกมือป้องปากตะโกนเชียร์เพื่อนรักบนเวที

“เตรียมตัวรับมือให้ดี!”

คนเก็บดอกไม้ผู้มีคะแนนเป็นอันดับที่ 2 ของโหมดสังเวียนผู้กล้าพุ่งเข้าไปหาซูเย่ด้วยความดุร้าย

ลักษณะการเคลื่อนไหวเห็นได้ชัดว่ามาจากการฝึกซ้อมวิชาหมัดพื้นฐานซึ่งถูกสอนมาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

คนเก็บดอกไม้หมุนตัวตวัดขาเตะเข้าใส่ช่วงเอวของซูเย่

แต่นี่เป็นเพียงกระบวนท่าหลอก ตราบใดที่คู่ต่อสู้ยกขาขึ้นมาป้องกัน คนเก็บดอกไม้ก็จะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการออกหมัดใส่ศีรษะฝ่ายตรงข้ามทันที

ซูเย่โคจรพลังลมปราณรวมไว้ที่มือของตนเอง ก่อนจะคว้าจับข้อเท้าของอีกฝ่ายเอาไว้

“นายโดนหลอกแล้ว!”

สีหน้าของคนเก็บดอกไม้แปรเปลี่ยนไป มือที่เงื้อขึ้นสูงในอากาศหยุดชะงัก

เขารู้สึกได้ถึงพลังที่กระแทกเข้ามาจากข้อเท้า หลังจากนั้น ตัวคนก็ลอยละลิ่วไปด้านหลัง

“โห!” กลุ่มคนดูที่อยู่รอบสังเวียนอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ เมื่อเห็นว่าผู้มีคะแนนเป็นอันดับสองถูกจัดการได้ในกระบวนท่าเดียว

ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเองตอนที่เจ้าเวรกรรมจัดการเหมาเก๋อจู่เหริน แต่ตอนนี้ ทุกคนได้เห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว พวกเขาจึงเชื่อหมดหัวใจว่าเจ้าเวรกรรมมีดีมากกว่าที่จะเป็นบ๊วยประจำเซิร์ฟเวอร์อย่างแท้จริง

“อย่างนายมันต้องเจอฉัน!”

ผู้เล่นที่มีคะแนนเป็นอันดับสามนามว่าเกาลัดฟ้าประทานระเบิดเสียงคำรามดังลั่น ก่อนจะกระโดดเข้าไปโจมตีซูเย่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

เขามีความคล่องตัวมากกว่าคู่ต่อสู้คนก่อนหน้านี้

เกาลัดฟ้าประทานเรียนรู้เทคนิคทุกอย่างมาจากท่านเทพ X

ดังนั้น เขาจึงมั่นใจว่าตนเองต้องเอาชนะเจ้าเวรกรรมได้แน่นอน!

แต่ซูเย่ไม่ได้เหลือบตามองด้วยซ้ำ เขาสะบัดแขนกระแทกฝ่ามือใส่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามลอยกระเด็นกลับออกไป

“เข้ามาทีละคนทำไมให้เสียเวลา โจมตีเข้ามาพร้อมกันเลยดีกว่า!”

ซูเย่พูดกับกลุ่มคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

โคตรเท่!

ช่างเป็นคำพูดที่โคตรเท่เหลือเกิน!

เหล่าคนดูที่อยู่รอบสังเวียนล้วนอุทานอยู่ในใจ เพราะอยากจะมีคำพูดเท่ ๆ อย่างซูเย่บ้างเหมือนกัน!

ส่วนบรรดาคู่ต่อสู้ที่อยู่บนเวทีมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น

ให้ตายสิ! ชักจะดูถูกกันมากเกินไปแล้วโว้ย!

“พวกเราจัดการมัน!”

กลุ่มคนบนเวทีร้องคำราม ก่อนจะบุกเข้าโจมตีใส่ซูเย่

หลังจากนั้น บนเวทีก็มีแต่เสียงการต่อสู้

“ผลั่ก!”

“ผลั่ก!”

“ผลั่ก!”

ตัวคนลอยกระเด็นกลับออกมาจากกลางเวทีครั้งละคนสองคน

ซูเย่กลับมาอยู่ในโหมดเครื่องจักรสังหารอีกครั้ง เขาสามารถใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายเป็นอาวุธได้หมด

ไม่ว่าจะเป็นหมัด เท้า เข่า ศอก ฝ่ามือ หรือหัวไหล่!

เมื่อผสมพลังลมปราณเข้าไป คู่ต่อสู้จึงลอยกระเด็นออกมา!

ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้เขาได้ในระยะหนึ่งเมตร

คณะชายหนุ่มที่อยู่รอบนอกบนเวทีเบิกตาโตด้วยความงงงัน เพิ่งสำนึกเสียใจก็ตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งมากเกินไป

พวกเขาได้แต่จ้องมองพรรคพวกของตนเองปลิวกระเด็นออกมาคนแล้วคนเล่า

การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครสามารถเข้าไปแตะตัวเจ้าเวรกรรมได้ด้วยซ้ำ!

1 คน 2 คน 3 คน…10 คน…30 คน

50 คนคือจำนวนคู่ต่อสู้ที่ถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว

ซูเย่กวาดตามองกลุ่มคู่ต่อสู้ของตัวเอง

“พวกนายช้าเกินไป เดี๋ยวฉันจัดการเองก็ได้!”

พูดจบ เขาก็สับเท้าวิ่งเข้าหากลุ่มคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนนับพัน

นี่คือเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ

ไม่ต่างจากมีหมาป่าหลุดเข้ามาอยู่ในเล้าไก่!

บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความชุลมุนวุ่นวาย

“ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก…”

ไม่ว่าซูเย่อยู่จุดไหนบนเวที พื้นที่บริเวณนั้นก็จะมีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด!

นี่มันอะไรกัน?!

กลุ่มคนดูเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยความตกตะลึง

เมื่อเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนถึง 1,200 คน แทนที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่เจ้าเวรกรรมกลับเป็นฝ่ายบุกโจมตีซะอย่างนั้น

นี่เป็นการต่อสู้ 1,200 คนรุมหนึ่งคน หรือเป็นการต่อสู้ของคนหนึ่งคนบดขยี้คน 1,200 คนกันแน่?

ทั้งที่เจ้าเวรกรรมเพิ่งเปิดจุดลมปราณได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น แล้วทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!

50 คน…100 คน…200 คน…

300 คน…500 คน…จำนวนของคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่บนเวทีลดน้อยลงเรื่อย ๆ

“เดี๋ยวพลังน่าจะหมดแน่ ๆ”

หวังเหาพึมพำขณะจ้องมองซูเย่

เพราะทุกวินาทีที่ยืนอยู่บนสังเวียนต่อสู้ พลังลมปราณในร่างกายก็จะถูกดูดซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้มากกว่า 500 คนแล้ว ต่อให้สูญเสียพลังลมปราณน้อยที่สุด แต่อย่างไรซูเย่ก็ไม่ควรยืนหยัดได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ซูเย่กลับยังคงบุกตะลุยไม่หยุดยั้ง ความเร็วในการจัดการคู่ต่อสู้ไม่ได้ลดน้อยลงเลย!

550 คน…600 คน…700 คน…

“เป็นไปได้ยังไง?”

หวังเหาเบิกตาโตจ้องมองซูเย่จัดการคู่ต่อสู้ลอยกระเด็นออกมาคนแล้วคนเล่า ทั้ง ๆ ที่พลังลมปราณน่าจะหมดลงไปนานแล้ว

ทำไมถึงยังมีพลังอยู่อีกนะ

หรือว่าหมอนี่ปิดบังพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้?

แต่แล้วผู้กองหนุ่มก็ส่ายศีรษะ

เป็นไปไม่ได้ ถึงจะเป็นหมวก VR เวอร์ชันธรรมดา แต่ก็สามารถสแกนพลังลมปราณในร่างกายได้โดยปราศจากข้อผิดพลาด

ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ซูเย่กำลังสู้กับคนเป็นพันคนเชียวนะ!

จังหวะเดียวกันนี้

ซูเย่รู้สึกได้ว่าพลังลมปราณในร่างกายของตนเองหมดลงแล้ว

แต่เขาก็ยิ้มออกมา

ถึงไม่มีพลังลมปราณ เขาก็ยังมีมือมีเท้า!

สู้ต่อไป!

หัวไหล่ เอว หัวเข่าและจุดตายของฝ่ายตรงข้ามคือเป้าหมายการโจมตี

การโจมตีหนึ่งครั้ง จะทำให้คนหนึ่งคนตกลงไปจากเวที

1,030 คน…1,050 คน…เหลือคู่ต่อสู้ที่ยังอยู่บนเวทีอีก 150 คน เท่านั้น

บรรดาคนดูที่อยู่รอบสังเวียนยังคงจ้องมองการต่อสู้ด้วยความไม่อยากเชื่อ

แข็งแกร่งมากเกินไป แข็งแกร่งมากเกินไปจริง ๆ

ความแข็งแกร่งของเจ้าเวรกรรมทำให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออก นอกจากสบถคำหยาบอยู่ในใจ

1,070 คน…1,110 คน…

“ผลั่ก!”

ทันใดนั้น มีผู้เล่นคนหนึ่งสามารถเข้าประชิดตัวซูเย่และกระแทกหมัดใส่ใบหน้าของเขาได้สำเร็จ

ผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่ในขณะนี้ตกตะลึงกันอย่างถ้วนหน้า

เจ้าเวรกรรมถูกเล่นงานแล้ว

ทุกคนอ้าปากเหวอ

“พลังมันหมดแล้ว! พวกเราเล่นมันเลย!”

กลุ่มผู้เล่นตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น

หลังจากนั้น ชายหนุ่มจำนวนหลายสิบคนที่ยืนอยู่บนเวทีก็ห้อมล้อมเข้ามารุมเล่นงานซูเย่ด้วยความสามัคคี

ซูเย่ยกมือปาดเลือดออกไปจากมุมปาก ดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความบ้าคลั่ง

พลังลมปราณของเขาหมดแล้วก็จริง แต่ซูเย่ยังเหลือพลังที่แอบเก็บซ่อนอยู่อีกหนึ่งส่วน!

เมื่อพลังชุดแรกหมดไป เขาก็ใช้พลังชุดที่สองออกมา!

เข้ามาเลย!

อยากตายก็เข้ามา!

“ผลั่ก!”

“ผลั่ก!”

“ผลั่ก!”

ชายหนุ่มต่อยหมัดออกไปรัว ๆ

ทุกหมัดของเขากระแทกเป้าหมายอย่างแม่นยำ!

หนึ่งหมัดของเขาสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ถึงสามคน!

ในเวลาเพียงนาทีเดียว คู่ต่อสู้กว่า 90 คน ก็ถูกซัดตกจากเวที

บนสังเวียนหลงเหลือเพียงซูเย่ยืนอยู่ลำพัง

ความเงียบงันปกคลุมบรรยากาศ

นี่คือการต่อสู้ของคนหนึ่งคนกับผู้คนจำนวน 1,200 คน

แต่ใช้เวลาต่อสู้ทั้งหมดไม่ถึงสิบนาที

ใช่แล้ว

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว

“หืม…”

ในที่สุด หวังเหาก็หลุดออกจากภวังค์ และต้องสูดหายใจลึก ๆ

“เจ้าหนุ่มคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

ในจังหวะเดียวกันนี้ กลุ่มคนดูก็หลุดออกจากความตกตะลึงแล้วเช่นกัน

ได้ยินเพียงเสียงสูดหายใจลึก ๆ ดังขึ้นทำลายความเงียบ