บทที่ 156 เด็กสาวผู้ฆ่าคน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ขณะที่อยู่ห่างจากกองทัพฉู่ไม่ถึงห้าลี้ ทุกคนก็รู้สึกตึงเครียด เงียบงันตลอดทาง บรรยากาศแข็งทื่อ จนกระทั่งเข้าไปในหุบเขาจึงผ่อนคลายลงมาบ้าง

“ท่าน ข้าน้อยคิดว่าควรจะส่งผู้สำรวจเส้นทางไปไกลกว่านี้” กู่หานเอ่ย

ซ่งชูอีส่ายหน้า “เจ้าน่าจะเข้าใจ สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้มิใช่การเดินทัพ หากระยะทางไกลเกินไปจะขาดการติดต่อกับผู้สำรวจเส้นทางได้ง่ายๆ และเกิดความผิดพลาด ระยะทางในตอนนี้กำลังดี เพียงแค่สามารถให้เวลาพวกเรารับมือได้เป็นพอ”

ต่างคนต่างมีข้อด้อยของตัวเอง พวกเขาไม่ปฏิบัติตามเส้นทางอย่างเคร่งครัด ภายในหุบเขาลึกนี้ต่อให้ผู้สำรวจเส้นทางเก่งกาจสักเพียงใดก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถมารวมตัวกับพวกเขาด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ซ่งชูอีเพียงแค่เลือกวิธีที่ปลอดภัยกว่าก็เท่านั้น

“ทว่าที่เจ้ากล่าวก็มีเหตุผล” ในใจของซ่งชูอีก็รู้ข้อเสียเป็นอย่างดี เช่นครั้งนี้ที่พวกเขาเจอกับทหารฉู่ หากพวกเขามิได้มาตั้งค่ายแต่เป็นการเร่งเดินทัพ กว่าผู้สำรวจเส้นทางจะกลับมา เกรงว่าระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช่สองลี้แล้ว เวลาเผชิญหน้ากันก็ไม่มีทางเกินครึ่งชั่วยาม นี่เป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

“ระยะทางสู่รัฐปาไม่ไกลแล้ว ใช้ผู้สำรวจเส้นทางสามคน” ซ่งชูเอ่ย

คนหนึ่งออกไปไกลกว่ารัศมีสิบห้าลี้ นำข่าวมาส่งให้ผู้ที่อยู่ในรัศมีสิบลี้ หลังจากรัศมีสิบลี้สรุปข่าวแล้วก็ส่งต่อให้ผู้สำรวจในรัศมีห้าลี้ จากนั้นสายลับคนสุดท้ายจะนำสถานการณ์ทั้งหมดของสิบห้าลี้ก่อนหน้านี้กลับมา นี่คือการส่งข่าวสารแบบส่งต่อซึ่งเป็นวิธีที่กองทัพนิยมใช้กันมากที่สุดเพื่อสำรวจเส้นทาง เพียงแต่ครั้งนี้ซ่งชูอีนำคนมาไม่มาก ผู้สำรวจเส้นทางมีทั้งสิ้นสี่คนที่ต้องเฝ้าระวังทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งต้องผลัดกันพักผ่อน ไม่สามารถใช้ทุกคนได้ในคราเดียว

กู่หานกำลังจะนำคำสั่งไปปรับใช้ พลันได้ยินซ่งชูอีกล่าวเสริมขึ้น “ส่งสองติดตามกองทัพฉู่จากข้างหลัง แล้วส่งอีกคนสำรวจเส้นทางจากด้านหน้า”

กู่หานนิ่งไปครู่หนึ่ง “บัดนี้ด้านหลังมีคนหนึ่งแล้ว”

ขณะที่ส่งมือดาบไปสอดแนมก็เหลือผู้สำรวจเส้นทางคนหนึ่งไว้เพื่อให้พบกันได้เร็วขึ้น หากส่งไปถึงสองคน ไม่มากไปหน่อยหรือ?

ซ่งชูอีมองเขาด้วยแววตาไร้อารมณ์ เอ่ยเรียบๆ “ทำตามคำสั่ง”

กู่หานสามารถมองเห็นความโกรธจางๆ ในสีหน้าที่สงบนิ่งของซ่งชูอี อารมณ์กดขี่นั้นทำให้หัวใจของเขาตื่นตระหนกทันใด ราวกับไม่เข้าใจว่าตนได้กระทำความผิดใดไป จึงปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความกระวนกระวายใจเล็กน้อย

หลังจากเข้าไปในหุบเขาแล้ว คนในขบวนรถก็ลงจากม้าเพื่อพักผ่อน

กู่หานครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง พวกเขามาเพื่อผนวกปาสู่เข้ากับรัฐฉิน หากรัฐฉู่เข้ามายุ่มย่าม เช่นนั้นความพยายามของพวกเขาทั้งหมดก็อาจสูญเปล่า เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เขากลับไม่เคยเข้าใจเลย!

กู่หานรู้สึกรำคาญใจและหงุดหงิดที่ตนนั้นโง่ ที่ยิ่งเกลียดตัวเองก็คือเมื่อครู่เขารู้สึกกลัวซ่งชูอีจริงๆ! เขาคิดพลางลอบเบือนสายตาไปที่นางเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าใบหน้านั้นยังอ่อนเยาว์นัก คิ้วตาแสนธรรมดาหลุบลงเล็กน้อย กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ นางสวมชุดสีดำแขนแคบ รูปร่างเพรียวบาง เป็นลักษณะของเด็กหนุ่มที่กำลังยืดตัวสูง ท่าทางที่พิงอยู่บนต้นไม้นั้นยังคงดูผ่อนคลายและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

“ท่าน” จี๋อวี่หยุดถุงสุราที่กำลังจะจรดปากซ่งชูอี และยื่นถุงน้ำให้นาง

ซ่งชูอียิ้มกว้าง ผลักออกไปเบาๆ เงยหน้าดื่มสุราคำหนึ่ง แจ๊ะปากเอ่ย “มันคือสิ่งที่ข้าโปรดปรานในชีวิต ขาดสุราไปก็รู้สึกจืดชืด”

จี๋อวี่กระชากถุงสุราแล้วยัดถุงน้ำใส่อกของนาง “หากท่านรู้สึกจืดชืด ก็สามารถครองใต้กล้าเพื่อความบันเทิงได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินไปกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”

“เฮ้อ!” ซ่งชูอีหมดความอดทน เทน้ำอย่างแรง “เช่นนั้นชาตินี้เกรงว่าข้าจะเพลิดเพลินได้มากที่สุดเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น”

“ครั้งเดียวก็เพียงพอ” จี๋อวี่ขัดคำพูดของนาง

ในชีวิตของคนคนหนึ่งหากสามารถทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนได้เพียงครั้งหนึ่งก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ซ่งชูอีมิได้ประเมินค่าตนเองสูงเกินไป ทว่าถึงอย่างไรนางก็มีชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง จะต้องทำเรื่องใหญ่สักเรื่องสองเรื่องถึงจะคู่ควรแก่ความโปรดปรานของสวรรค์ได้

“ฉู่มีความประสงค์ที่จะจู่โจมรัฐปาหรือ?” จี๋อวี่เอ่ยถาม

ซ่งชูอีพ่นลมหายใจออกมา “ฉู่เวยอ๋องได้โจมตีปาสู่หลายครั้งในชีวิตของเขา การได้ครอบครองสถานที่นี้เป็นความปรารถนาสุดท้ายของฉู่เวยอ๋อง ในราชสำนักรัฐฉู่ก็ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางชั้นสูงหลายคน ครั้งนี้ปาสู่เริ่มทำสงครามกัน รัฐฉู่เคลื่อนกองทัพเข้ากดดัน ก็มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนแล้ว”

ฉู่เวยอ๋อง พระสมัญญานาม “เวย” (อำนาจ) นั้นคือบทสรุปทั้งชีวิตของเขา เขาเป็นองค์จวินที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋น ครั้นบุกเข้าไปเบื้องหน้าก็สามารถนำทัพเข่นฆ่าศัตรูได้ เมื่อล่าถอยก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดภายในที่ว่าการ ขณะที่เขาอยู่ในอำนาจก็ได้ขยายอาณาเขตของรัฐฉู่ให้ใหญ่ที่สุดในเจ็ดมหานครรัฐและยึดครองรอบด้าน

ซ่งชูอีเคยคิดสงสัยหลายต่อหลายครั้งว่าฉู่อ๋องไม่ใช่พระโอรสแท้ๆ ของฉู่เวยอ๋อง ว่ากันว่ามังกรกำเนิดมังกร หงส์กำเนิดหงส์ ทว่าทั้งๆ ที่เป็นวีรบุรุษในยุคสมัยหนึ่งกลับให้กำเนิดคนไร้น้ำยา! ได้ยินว่าถึงแม้ท่านแม่ทัพสยงเว่ยก็ไร้น้ำยาเช่นกันแต่ว่าอย่างน้อยก็ยังมีความกล้าหาญของฉู่เวยอ๋อง ทว่าฉู่อ๋องนั้น…

“มีการเคลื่อนไหวก็ดี กลัวว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหว” มุมปากของซ่งชูอียกยิ้ม ยัดถุงน้ำคืนให้จี๋อวี่ หมุนๆ ลำคอที่แข็งทื่อ

บางคราวจี๋อวี่รู้สึกว่าเพศของซ่งชูอีนั้นคลุมเครือด้วยพฤติกรรมของนาง แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกว่าทำให้นางมีอิสระที่ไม่เหมือนใคร

เหล่ามือดาบคลายอาหารแห้งออก นั่งลงขัดสมาธิและเริ่มกินคำโต

กู่จิงเห็นซ่งชูอีเดินมาจึงยกมือโยนเนื้อชิ้นหนึ่งให้ ซ่งชูอีรับมากัดคำหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงร่วมวงกินกับเหล่ามือดาบ

“ท่าน” กู่จิ่งโน้มตัวเข้าหาซ่งชูอี แอบยัดเนื้อสองชิ้นให้นาง หัวเราะฮี่ๆ สองที กระซิบเสียงต่ำ “สมบัติของข้า”

ซ่งชูอีดื่มสุราอึกหนึ่ง ยัดชิ้นเนื้อเข้าปากเคี้ยวอย่างรวดเร็ว เอ่ยอุทานด้วยความคลุมเครือ “อร่อยนัก!”

จี๋อวี่ก็กำลังเคี้ยวเนื้อที่แข็งราวกับหินอยู่ไม่ไกล เขากินเช่นนี้เป็นประจำขณะที่ออกทัพและไม่เคยรู้สึกแย่อะไรทว่าก็ไม่เคยเห็นผู้ใดที่สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อยเช่นซ่งชูอีเลย ติดตามซ่งชูอีมานานเพียงนี้ก็มักจะคอยจับผิดนางอยู่เสมอ วันนี้กลับได้พบว่านางยังมีอีกข้อดีหนึ่ง ก็คือไม่ว่าจะกินอะไรก็สามารถกินได้อย่างมีรสชาติอยู่เสมอซึ่งทำให้คนดูพลอยอยากอาหารไปด้วย

หลังจากรับประทานเนื้อแห้งเสร็จแล้วก็พักผ่อนครู่หนึ่งก่อนออกเดินทางอีกครั้ง

บัดนี้รัฐปาใกล้จะปรากฏสู่สายตาแล้ว ทว่าหากต้องการจะเข้าไปยังต้องข้ามภูเขาลูกใหญ่อีกสองลูก

อุณหภูมิภายในหุบเขาสูงกว่าภายนอกเล็กน้อย ลมไม่แรง เร่งเดินทางได้อย่างสบายมาก ครั้นพลบค่ำขบวนรถก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่เนินเขาแล้ว

ธงตัวอักษร ‘สุรา’ ห้อยย้อยจากชายคา ด้านข้างโรงเตี๊ยมมีรั้วล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ เสียงร้องแหบแห้งของเป็ดดังมาจากภายใน นอกเหนือจากนั้นแล้วโดยรอบเงียบสงัด

“เถ้าแก่!” มือดาบที่เดินไปถึงด้านหน้าตะโกนเรียก

ปัง!

เสียงเหมือนบางอย่างล้มทับพื้นกระดานดังมากจากด้านใน ทว่ากลับไร้คนตอบรับ

มือดาบผู้นั้นร้องเรียกอีกครั้งหนึ่ง “เถ้าแก่!”

รออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไร้เสียงตอบรับ กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมาจากด้านในห้อง ทันใดนั้นเองบรรยากาศก็ผิดปกติออกไปเล็กน้อย กู่หานโบกมือเงียบๆ เพื่อให้คนเตะประตูเปิด

ซ่งชูอีก็ลงจากม้าเช่นกัน

เสียงปังดังขึ้น ประตูถูกเตะอย่างกะทันหัน เศษไม้หักทำให้ฝุ่นจางๆ บนพื้นลอยฟุ้ง

ห้องที่จมอยู่ในกองเลือดปรากฏสู่สายตาของทุกคน นอกเหนือจากนี้สิ่งที่สะดุดตายิ่งกว่าก็คือภาพของเด็กหญิงในชุดธรรมดาคนหนึ่งที่ค่อยๆ ลุกขึ้นจากกองเลือดพร้อมมีดที่อยู่ในมือ นางสวมชุดผ้าป่านที่ยังมิได้ย้อมสี เลือดสีแดงเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าจนน่าตกใจ ผมดกดำที่ยาวเท่าเอวของนางปล่อยสยายบดบังใบหน้าเสียครึ่งหนึ่ง มีเพียงปลายจมูกเล็กและริมฝีปากไร้สีเลือดโผล่ออกมาให้เห็น เสื้อผ้าบนตัวนางหลวมโพรกจนมองไม่เห็นรูปร่างที่ชัดเจน สามารถเห็นได้เฉพาะข้อมือและข้อเท้าขาวเรียวเท่านั้น

ในชั่วขณะนั้นไม่มีใครขยับตัว

หากถีบประตูออกไป แล้วภายในห้องเป็นกลุ่มโจรที่ฆ่าปล้นสะดมก็คงได้ประมือกันนานแล้ว ทว่าทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าจะเจอฉากที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“ท่าน ทำอย่างไรดี?” กู่หานถาม

คำถามของกู่หานนี้มีหลายความหมาย นอกจากไม่รู้ว่าควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไม่ยังมีอีกอย่างที่ทำให้เขาเสียสติไปชั่วขณะ เถ้าแก่ร้านนี้ไม่เพียงประกอบกิจการขายสุราเท่านั้น ยังรับผิดชอบพาขบวนรถขึ้นภูเขา บัดนี้ดูจากรูปการณ์แล้ว ศพที่นอนจมอยู่ในกองเลือดก็เกรงว่าจะเป็นเขา เช่นนั้นใครจะนำทางเล่า?

ซ่งชูอีสำรวจเด็กหญิงผู้นั้น แววตาหยุดอยู่ที่มือสั่นเทาของนาง

ซ่งชูอีเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วางมีดลงแล้วเดินมา”

ร่างของเด็กสาวสั่นเทาเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองซ่งชูอี ลังเลอยู่ครึ่งก่อนทิ้งมีดทำอาหารในมือลง ก้าวเท้าเดินออกไปช้าๆ และหยุดอยู่ห่างจากมือดาบออกไปครึ่งจั้ง

“เจ้าเป็นใคร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ซ่งชูอีก็มองเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน นางเป็นสตรีที่งดงามมาก ดวงหน้าใหญ่เท่าขนาดฝ่ามือ คิ้วดุจควันดวงตาดุจหงส์ มีไฝจางๆ เม็ดหนึ่งที่ใต้ตาขวา ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

“ข้า…” เสียงของนางแหบแห้ง

คำนี้เพียงคำเดียวก็สามารถบอกอะไรซ่งชูอีได้มากมาย เด็กสาวสถานะต่ำต้อยทั่วไปจะไม่แทนตัวเองเช่นนี้เมื่อเห็นขบวนรถเยี่ยงพวกเขาโดยเด็ดขาด

อีกทั้งเด็กสาวผู้นี้ยืนด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ทว่ายังคงยืนหยัดสุดกำลังมิยอมให้ตัวเองล้มลงไปง่ายๆ หากมิใช่เป็นพวก

ดื้อรั้นก็เป็นคนที่มีความหยิ่งยโสเข้ากระดูกจนมิยอมให้ผู้คนดูหมิ่นซึ่งซ่งชูอีคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง

“เขาดูหมิ่นข้า ข้าจึงฆ่าเขาเสีย” เด็กสาวพยายามรักษาความสงบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงสั่นเครือยังเผยให้เห็นความกลัวของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ

ซ่งชูอีหมุนตัวสั่งกู่หาน “พักที่นี่สักครู่แล้วค่อยออกเดินทาง”

กู่หานตอบรับเสียงหนึ่ง

ซ่งชูอีนั่งลงในตำแหน่งที่ไกลจากตัวบ้าน

ในเมื่อเจ้าของร้านก็ตายแล้ว ไก่และเป็ดที่นี่จึงสามารถกินได้ เหล่ามือดาบขอความยินยอมจากซ่งชูอี จากนั้นก็ฝังร่างของเถ้าแก่แล้วกินอาหารของเขาโดยถือเสียว่าเป็นการตอบแทน

หลังจากย่างเป็ดเสร็จแล้ว เหล่ามือดาบก็ฉลองกันอย่างมีความสุข

ซ่งชูอีสั่งให้คนนำอาหารครึ่งหม้อไปให้เด็กสาวผู้นั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด หากนางมิได้ฆ่าเถ้าแก่บ้ากามผู้นั้น พวกเขาก็คงมิได้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญเยี่ยงนี้

ในยุคนี้ การฆ่าพลเมืองต่ำช้าก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าสัตว์ป่าตัวหนึ่ง

ทว่ากู่หานกลับกินไม่ลง “ท่าน เถ้าแก่ตายแล้ว การเดินเขาก็จะลำบาก”

ฝีมือการทำอาหารของมือดาบนั้นไม่ใคร่ดี เป็ดยังคงมีกลิ่นคาว ซ่งชูอีขมวดคิ้วดื่มน้ำแกง เอ่ยว่า “อย่าได้กังวลไป ข้าสามารถหาวิธีจัดการได้”

กู่หานเห็นท่าทางใจเย็นของนาง หัวใจที่ร้อนรนก็ผ่อนคลายลงมาบ้าง “เช่นนั้นก็รบกวนท่านนำทางแล้ว”

“กินให้มากหน่อยเถิด จะได้มีแรงเร่งเดินทาง” ซ่งชูอีผลักถ้วยเป็ดไปให้กู่หานด้วยสีหน้าเป็นมิตร

จี๋อวี่ออกมาจากห้องครัวและเห็นฉากนี้เข้าพอดี หัวเราะเยาะเบาๆ เดินนำเนื้อต้มที่อยู่ในมือไปวางไว้ตรงหน้านาง

ซ่งชูอีดมๆ แล้วดวงตาก็เป็นประกาย ก้มหน้ากินโดยไม่พูดไม่จาแล้ว

เดิมทีซ่งชูอีเป็นคนกินง่าย แม้กระทั่งอาหารขึ้นราก็ยังสามารถกลืนลงไปได้ หรือแม้แต่สามารถกินเนื้อดิบได้ด้วยซ้ำ ทว่าสิ่งเดียวที่รับไม่ได้คือเนื้อครึ่งสุกครึ่งดิบที่ยังมีกลิ่นคาวพวกนั้น สำหรับนางแล้วสู้กินดิบยังจะดีเสียกว่า

หลังจากทุกคนกินอิ่ม เก็บข้าวของและนับอาหารแห้งเสร็จแล้ว ก็เริ่มเดินทางไปยังภูเขาลูกใหญ่

การไปคราวนี้อาจจะต้องอยู่ในหุบเขาสามถึงห้าวัน ในป่าทึบมีสัตว์ป่ามากมาย แต่ความชื้นก็หนักหน่วง สามารถหาสถานที่จุดไฟได้ยากยิ่ง หากไม่ต้องการกินเนื้อดิบก็จำต้องเตรียมตัวให้พร้อม

“ท่าน”

ซ่งชูอีเพิ่งจะพลิกตัวขึ้นขี่ม้า พลันได้ยินเสียงแหบแห้งของเด็กสาวผู้นั้นเรียกนาง