เจียงป่าวชิงจะไปรับรู้อารมณ์มรสุมผสมคลื่นลูกใหญ่ของหมอที่อยู่ข้าง ๆ กงจี้ได้ยังไงกัน นางเพียงแค่เป็นห่วงอาการของกงจี้เท่านั้นจึงไต่ถามและวัดชีพจรให้เขา ผ่านไปสักครู่ นางก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมาให้เห็น “ดูเหมือนจะมั่นคงกว่าสภาพชีพจรของเมื่อวานมากนะ”
กงจี้พยักเผยิดไปทางหมอด้านข้าง คล้ายกับกำลังแนะนำเขาให้เจียงป่าวชิงรู้จัก “นี่คือหมอชี เขาชำนาญด้านการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก”
หมอที่อยู่ด้านข้างมีอายุมากแล้ว เมื่อได้ยินกงจี้แนะนำเขาให้กับเด็กสาวที่ดูเหมือนอายุเพียงสิบกว่าปีเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันแปลกพิกลไปหน่อย
แต่ในเมื่อนายท่านกำลังแนะนำเขาอยู่ หมอชีจึงต้องแสดงออกพอเป็นมารยาท เขารีบเดินมาด้านหน้าพลางน้อมตัวแสดงความเคารพและพูดว่า “นายท่านชมผิดคนแล้วขอรับ โชคดีที่เมื่อคืนมีบุคคลมีความสามารถห้ามเลือดนายท่านกับไป๋จีไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น ต่อให้มีหมอสิบคนอยู่ตรงนี้ ก็เกรงว่าจะไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ขอรับ”
ทันทีที่หมอชีพูดเช่นนี้ เขาก็เห็นว่าเด็กสาวตัวเล็กคนนั้นยิ้มให้เขา “เป็นเช่นนั้นที่ไหนล่ะเจ้าคะ ถ้าหากว่าไม่มีหมอชี เกรงว่าทั้งสองคนยังคงต้องทนต่อความทรมานอยู่น่ะสิไม่ว่า” พูดเสร็จ เด็กสาวก็หันไปพูดกับกงจี้ “ฟังจากที่หมอชีพูดแล้ว แสดงว่าไป๋จีก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหมคุณชายกง ?”
กงจี้พยักหน้า และนั่นทำให้เด็กสาวยิ้มกว้าง
ทว่าหมอชีกลับรู้สึกว่าแม่นางน้อยคนนี้หน้าตาน่ารัก แต่ไม่รู้จักเรื่องมารยาทสักเท่าไหร่เลย
เมื่อสักครู่เขาเอ่ยชมบุคคลที่มีความสามารถผู้ซึ่งช่วยห้ามเลือดนายท่านของเขาเมื่อคืน เด็กสาวคนนี้จะรับคำสุ่มสี่สุ่มห้าเพื่ออะไร ทำอย่างกับว่านางเป็นคนห้ามเลือดอย่างนั้นแหละ
กงจี้ชำเลืองมองหมอชีและเพียงได้เห็นสีหน้าของหมอชี เขาก็รู้แล้วว่าหมอชีกำลังเข้าใจผิด เท่านั้นไม่พอ ยังตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอกอีก
ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น กงจี้คร้านจะเปลืองลิ้นอธิบาย และปล่อยให้เข้าใจผิดไปทั้งอย่างนั้น แต่นี่คนที่ถูกเข้าใจผิดเป็นเจียงป่าวชิง แน่นอนว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
กงจี้ขมวดคิ้วใส่หมอชีพลางพยักหน้าไปทางเจียงป่าวชิง “หมอชี นางคือบุคคลมีความสามารถที่เจ้าพูดถึงนั่นแหละ”
หมอชีมองไปทางด้านหลังเจียงป่าวชิงด้วยแววตาฉงนสงสัย แต่ด้านหลังคือกำแพง ไม่มีใครอื่นแล้วนี่นา
สุดท้ายหมอชึงตระหนักได้ในภายหลังว่าที่นายท่านหมายถึงคงไม่ใช่… เด็กสาวที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนนี้หรอกใช่ไหม ?
หมอชีตกใจจริง ๆ จนเขาพูดขึ้นเสียงหลง “หา ? คงไม่ใช่เจ้าหรอกใช่ไหม ?”
กงจี้เห็นหมอชีถามเจียงป่าวชิงอย่างสงสัย เขาก็ไม่พอใจเอามาก ๆ “ทำไมจะไม่ใช่ ? เจียงป่าวชิงชำนาญด้านการรักษาทั้งบาดแผลและรักษาโรค อีกทั้งนางยังมีทักษะเฉพาะตัวด้วย ขาของข้าก็ได้นางนี่แหละช่วยรักษาจนดีขึ้น เจ้าเองก็จับชีพจรแล้ว ขาของข้าอาการเป็นยังไงเจ้าไม่รู้รึ ?”
น้อยครั้งมากที่กงจี้จะพูดตำหนิยาวเหยียดแบบนี้ ถึงขั้นทำให้หมอชีผู้ซึ่งอายุมากตกใจไปเลยทีเดียว
นี่นายท่านของเขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่หรือที่สมองกันแน่ ทำไมนิสัยถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้เล่า ?!
หมอชีวิจารณ์อยู่ในใจ แต่เขารู้ว่าหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับกงจี้ในปีที่ผ่านมา นิสัยของนายท่านก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ร้าย โหดเหี้ยมคุ้มดีคุ้มร้าย ยากที่ใครจะเข้าใกล้ได้ นับประสาอะไรกับการที่เขาช่วยพูดสิ่งดี ๆ แทนผู้อื่นเช่นนี้
แสดงว่าเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้รักษาขาของนายท่านของเขาให้หายจากพิษเรื้อรังได้จริง ๆ อย่างนั้นรึ ?
หมอชีตีหน้าขรึมพลางเก็บแขนเสื้อแล้วโค้งให้เจียงป่าวชิง “อ่า… เมื่อสักครู่ข้าเข้าใจไม่ลึกซึ้ง ทำให้ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก แม่นางอายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถที่น่าตกใจเช่นนี้ ข้าต้องขออภัยจริง ๆ โปรดแม่นางรับการขอโทษจากข้าด้วยเถอะ”
เจียงป่าวชิงรีบเอียงตัวหลบทันที นางไม่กล้ารับการโค้งเคารพเพื่อขอโทษจากหมอชีเพราะเขาอายุรุ่นราวคราวปู่ของนางได้เลย นางเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ ทว่าไม่ได้เก็บคำเยินยอของหมอชีมาใส่ใจแต่อย่างใด
ไม่อวดดีและไม่ใจร้อน นี่มันดีมาก!
ณ ตอนนี้หมอชียิ่งมองเจียงป่าวชิง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางมีบุคลิกในแบบของเด็กเก่งและฉลาดจริง ๆ
บนโลกใบนี้มีเรื่องมหัศจรรย์ตั้งมากมาย การที่อายุน้อยขนาดนี้แต่กลับมีทักษะอันน่าตกใจ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะจินตนาการอะไร
หมอชีเดินตามอยู่ข้างหลังเจียงป่าวชิงอย่างมีความสุข เขาอยากดูว่าคนเก่งทำการรักษากันอย่างไร แต่กลับเห็นแม่นางน้อยผู้เก่งกาจคนนี้เลิกกางเกงของนายท่าน
เลิกกางเกงนายท่านเลยนะนั่น!
โอ้แม่นางน้อยผู้กล้า…!
หมอชีตกใจเผลอก้าวถอยหลังเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาเกือบจะปิดหน้าหนีอยู่แล้ว
นายท่านของเขาเป็นผู้ที่มีปัญหามากมาย หนึ่งในนั้นคือไม่อนุญาตให้ผู้อื่นแตะต้องตัวเด็ดขาด หมอชีจำได้ว่าเมื่อก่อนมีองครักษ์คนหนึ่งแตะต้องตัวนายท่านอย่างไม่ทันระวัง จึงถูกนายท่านของเขาปาแจกันดอกไม้ใส่ทั้งยังตะคอกไล่ให้ออกไป
แม้หมอชีจะไม่ได้กังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า แต่เขาก็เสียดายแจกันดอกไม้ตรงหน้าบ้านที่นายท่านของเขาปาแตกไปอยู่พอสมควรเพราะนั่นคือวัตถุโบราณหากยากเชียวนะ อย่างน้อยราคาก็คงหลายร้อยตำลึงเป็นอย่างต่ำแต่มันแตกไปแล้ว!
แม่นางน้อยคนเก่งคนนี้เก่งเกินไปจริง ๆ หมอชีไม่คิดเลยว่านางจะกล้าเลิกกางเกงของนายท่านของเขาโดยตรงแบบนั้น
หมอชีหน้าถอดสีขณะที่กลอกตามองไปรอบบริเวณ เขาต้องการรีบสำรวจดูว่าตัวเองจะรีบชิงช่วยสิ่งของล้ำค่าแตกง่ายที่อยู่แถวนี้ได้หรือเปล่า ทว่าเขารออย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่สักพักก็กลับพบว่านายท่านของเขาดูเหมือนจะไม่มีอาการอะไรผิดปกติเลย
เป็นไปได้อย่างไร ?!
หมอชีเห็นนายท่านที่จริง ๆ แล้วต้องเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายของเขาก้มหน้าลง แม้จะไม่มีอารมณ์ใด ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนายท่าน แต่สายตานั้นเหมือนกำลังมองสองมือของแม่นางน้อยที่กำลังนวดขาให้ตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
ลูกตาของหมอชีแทบจะหลุดออกจากเบ้าอยู่แล้ว
นี่… นี่… นี่มันเกินความรู้ของเขามาก!
หลายพันคำกลายเป็นหนึ่งประโยคที่พึมพำเบา ๆ “เด็กสาวคนนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่ามาจากที่ไหนกันแน่ ?!”
……
เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าการที่นางตรวจขาของกงจี้เป็นประจำจะทำให้หมอชีรู้สึกหวาดกลัวในใจจนหน้าซีดขนาดนั้น เมื่อคืน กงจี้ฝืนลากขาไปฆ่าคนด้วยความแค้นตั้งมากมาย นางแค่กลัวว่าขาของเขาจะแบกน้ำหนักจนเกินไปและก่อให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา
แต่โชคดีที่เลือดลมตรงขาของเขาดีขึ้นทำให้เขาขยับได้อย่างราบรื่นขึ้นมาก เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อขาเขานัก เพียงแค่ทำให้เขาอ่อนแอลงเล็กน้อยเท่านั้น
เจียงป่าวชิงเงยหน้าขึ้นยิ้มบาง ๆ ให้กงจี้ก่อนจะเอ่ยว่า “อาการขาทั้งสองข้างยังถือว่าดีอยู่ คุณชายกงเจ้าไม่รู้อะไร ข้าน่ะกลัวว่าสิ่งที่สั่งสมมาแต่ก่อนจะต้องเสียไปอย่างเปล่า ๆ เพราะเรื่องเมื่อคืนซะแล้ว”
กงจี้มองสังเกตเจียงป่าวชิงอย่างละเอียด
เจียงป่าวชิงถูกกงจี้มองจนรู้สึกแปลกราวกับว่าสายตานั้นของเขาสามารถมองทุกสิ่งอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“เจ้ามองข้าทำไม ?” นางถามพลางลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
กงจี้พ่นลมออกมาจากจมูกดังพรืด “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นตอนที่ข้ากับไป๋จีฆ่าไอ้คนสอดแนมและทิ้งศพมาแล้ว เป็นเวลานานหลังจากนั้น ตาซ้ายเจ้ามองข้ากับไป๋จีเป็นคนโรคจิต และมีคำว่าคนบ้าฆ่าคนอื่นเขียนอยู่ที่ตาขวาของเจ้า… แต่มาตอนนี้ดีหน่อย เมื่อคืนคนตายออกจะเยอะขนาดนั้น เจ้ากลับไม่กลัวข้าแล้ว”
ได้ฟังที่เขาพูด เจียงป่าวชิงถึงจะนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เจอกับกงจี้ครั้งแรกนางมองเขาด้วยสายตาอย่างไร นางยกยิ้มมุมปาก ที่แท้เขาเองก็รู้มาตลอดว่านางทำเหมือนพวกเขาเป็นไอ้โรคจิตฆ่าคน
เจียงป่าวชิงหัวเราะ “หึ ๆ เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกรึ ? ตอนนั้นเจ้ายังอยากฆ่าปิดปากข้าอยู่เลยหนิ จะไม่ให้กลัวได้ไงล่ะ ? แล้วตอนหลังก็มักทำท่าทางเหมือนอยากเชือดข้าบ่อย ๆ ด้วยนะ ถ้าไม่ให้ข้าทำเหมือนเจ้าเป็นคนโรคจิต งั้นจะให้ทำเหมือนว่าเจ้าเป็นพระและให้ข้ากราบไหว้แบบนั้นหรือ ?”
กงจี้หัวเราะเยาะ “เหอะ ๆ แต่ตอนหลังข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าดีไม่ใช่หรือไง ?”
เจียงป่าวชิงมีท่าทีเหมือนมีเหตุผลที่จะพูดได้เต็มปาก “ตอนหลังก็ตอนหลังสิ ตอนหลังข้าเองก็ไม่ได้ทำเหมือนว่าเจ้าเป็นคนโรคจิตแล้วหนิ ? ใครใช้ให้เจ้ากับไป๋จีเกือบฆ่าข้าในตอนนั้นล่ะ ?”
กงจี้ส่งรอยยิ้มอาบยาพิษให้เจียงป่าวชิง “ถูกคนอื่นเห็นความลับเข้า แล้วต้องการฆ่าปิดปากคนนั้นก็ไม่ใช่ว่าถูกต้องแล้วรึ ? ใครจะรับประกันได้ว่าเจ้าไม่ใช่พวกสอดแนมของอีกฝ่าย ? ถ้าจะโทษก็โทษที่เจ้าเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเองมากกว่า”
เจียงป่าวชิงถูกคำพูดเยาะหยันของกงจี้ทำให้โมโหจนอดไม่ได้ที่จะตีแขนเขาเบา ๆ “โหย! งั้นก็ฆ่าสิ ฆ่าข้าเลย ตอนนั้นถ้าเจ้าฆ่าข้า ข้าเตรียมรอดูเลยว่าใครจะรักษาขาให้เจ้า!”
กงจี้ชำเลืองมองเจียงป่าวชิงเล็กน้อยพลางทำสีหน้าประมาณว่า ‘ช่วยไม่ได้’ แล้วเขาก็หันหน้าไปแต่มุมปากเขาคล้ายกับว่ากำลังยิ้มอยู่อย่างไรอย่างนั้น
……
หมอชีที่ฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลก แรกเริ่มทั้งสองคนยังพูดเรื่องเป็น ๆ ตาย ๆ กันอยู่ ต่อมาเปลี่ยนเป็นเรื่องคนโรคจิตกับคนบ้าฆ่าคน แต่ตอนหลัง ทำไมเขายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูกล่ะ ?
สองคนนั้นเหมือนกับกำลังหยอกล้อกันยังงั้นแหละ
หมอชีตัวสั่นทันที
ไม่น่าใช่ เขาอายุมากแล้ว หูต้องเพี้ยนฟังผิดไปอย่างแน่นอน คนอย่างนายท่านของเขาจะหยอกล้อกับคนอื่นได้ยังไง ?