หลี่ซานเจียงไม่ได้กล่าวอะไร ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือเองก็เหมือนกับว่าจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ภายในห้องหนังสือเงียบสงัด ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเฉิงฉือจะได้สติกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ทางด้านของเว่ยจื้อเฮ่านี้ ข้าเตรียมจะถอนหุ้นออกมา เจ้ากลับไปถามนายท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าสักหน่อยว่าเขาประสงค์จะซื้อหุ้นที่อยู่ในมือของข้ากลับไปหรือไม่…”
เสียงพูดของเขายังไม่ทันได้จบลง หลี่ซานเจียงก็หน้าถอดสี เขาลุกขึ้นมาด้วยอาการกึ่งหวาดกลัวกึ่งกังวลใจ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ ทุกอย่างก็กำลังดีๆ เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงอยากจะถอนหุ้นหรือขอรับ”
หรือว่าตระกูลเฉิงต้องการริบสิทธิ์ในการปกครองดูแลกิจการของเฉิงฉือกลับไปอย่างนั้นหรือ
แต่นี่ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก!
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตอนนี้ผู้คนภายนอกที่มาทำการค้ากับตระกูลเฉิงนั้นรู้จักเพียงชื่อเสียงของนายท่านสี่ของตระกูลเฉิงผู้นี้เท่านั้น หากตระกูลเฉิงจะไม่ให้เฉิงฉือดูแลกิจการของตระกูลจริงๆ แล้วล่ะก็ เฉิงฉือที่มีตำแหน่งเป็นถึงจิ้นซื่อลำดับที่สองอยู่กับตัวนี้ ก็จะเป็นจังหวะดีได้ทุ่มเทกับการไปรับราชการอย่างหมดห่วง และยังได้สลัดดินโคลนนี้ออกไปพอดี เป็นเรื่องที่ปรารถนามาโดยตลอด ในขณะที่ส่วนแบ่งของทางเว่ยจื้อเฮ่านี้ก็ถูกเฉิงฉือบีบบังคับมาในตอนแรก นายท่านผู้เฒ่าไม่มีทางเลือกจำต้องยอมบีบจมูกเชิญเขาเข้ามาร่วมหุ้นด้วย โดยที่ตระกูลเฉิงไม่จำเป็นต้องมีคนมารับรู้ด้วย เมื่อมีกำไรส่วนนี้อยู่ในมือแล้ว ต่อไปต่อให้ตระกูลเฉิงไม่สนับสนุนเฉิงฉืออีก เฉิงฉือก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง สำหรับผู้อื่นถือเป็นการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนประหนึ่งเก็บเกี่ยวผลท้อหลังฤดูใบไม้ร่วงเรื่องหนึ่ง และสำหรับเฉิงฉือก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ควรเฉลิมฉลองถึงจะถูก
แล้วเหตุใดเขาถึงมีความคิดอยากจะถอนหุ้นออกจากเว่ยจื้อเฮ่าเล่า
ความเป็นไปได้ลำดับแรกที่หลี่ซานเจียงนึกถึงก็คือเว่ยจื้อเฮ่าอาจจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และความเป็นไปได้ลำดับถัดมาที่นึกถึงก็คือหรือว่าเฉิงฉือต้องการจะหันหลังให้ตระกูลหลี่!
แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ทุกคนต่างก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี และที่ผ่านมาตระกูลหลี่ก็ไม่เคยไปกระตุกหนวดเสือของเฉิงฉือให้เขาต้องระคายเคือง เฉิงฉือจึงไม่น่าจะไร้หัวจิตหัวใจขนาดนี้กระมัง
เรื่องนี้เฉิงฉือเองก็คิดพิจารณามานานแล้ว แต่ในเมื่อต้องการจะละทิ้ง ก็ละทิ้งเสียให้หมดก็แล้วกัน ด้วยสถานะทางครอบครัวของเขาในตอนนี้ ขอเพียงคนรุ่นลูกรุ่นหลานไม่เอาสมบัติพัสถานไปเล่นพนันจนหมด ก็เพียงพอให้อยู่กันอย่างสบายไปจนถึงสองสามรุ่นเลยทีเดียว
บางครั้ง การมีเงินมากก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
เขากล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการสร้างท่าเรือสักแห่งที่เทียนจิน จำเป็นต้องใช้เงิน เจ้าไปบอกนายท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน!”
ถ้าเขาขายหุ้นในส่วนของเขาให้ซิ่นอ๋องจูเฉิงผู้เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ลำดับที่สาม จูเฉิงก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ลำดับที่สองซึ่งจะเป็นรองเพียงแค่ตระกูลหลี่เท่านั้น เมื่อรวมกับสถานะพิเศษของจูเฉิงแล้ว เกรงว่าตระกูลหลี่อาจจะสูญเสียอำนาจในการควบคุมร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าไป
โดยไม่ต้องคิด หลี่ซานเจียงกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ ในเมื่อเป็นเรื่องของเงิน สำหรับร้านตั๋วแลกเงินอย่างพวกเราแล้วจะนับว่าเป็นปัญหาอะไรได้ ท่านก็อย่าได้ด่วนถอนหุ้นเลย ขอเพียงท่านบอกมาว่าท่านต้องการเงินจำนวนเท่าใด ร้านเว่ยจื้อเฮ่ามีทรัพย์สินจำนวนเท่าใดท่านก็ทราบดี หากว่ายังไม่พอ ไม่ใช่ว่าเมืองเซ่อเซี่ยนของพวกข้าเป็นแหล่งรวมของร้านขายอัญมณีหรือไม่ก็ธนาคารหรอกหรือ ด้วยชื่อเสียงที่มีมาช้านานของตระกูลหลี่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเงินพันล้านเหลี่ยง ต่อให้มากกว่านั้น ก็รวบรวมมาให้ท่านได้ ขอเพียงท่านแจ้งความประสงค์แก่ข้ามาก็พอ ข้าจะกลับไปคุยกับนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้า ไม่จำเป็นต้องถอนหุ้นออกไปเลยขอรับ!”
หากไม่มีเฉิงฉือ นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลหลี่อาจควบคุมจูเฉิงเอาไว้ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าอาจจะต้องเลิกกิจการไป ไม่สู้เอาเงินให้เฉิงฉือกู้เสียจะดีกว่า
จนถึงปัจจุบันไม่ว่าเขาจะทำการค้าอะไรก็ไม่เคยขาดทุนมาก่อน!
เฉิงฉือกล่าว “ในน้ำขุ่นเกินไป พวกเจ้าอย่ากระโจนลงมาจะดีกว่า”
หลี่ซานเจียงไม่มีอะไรจะกล่าวอีก
เฉิงฉือมียศจิ้นซื่อลำดับสองอยู่กับตัว ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
ไม่เหมือนพวกเขาที่เป็นเพียงพ่อค้าผู้หนึ่งเท่านั้น
หากคุณชายสี่ของตระกูลหลี่ทำได้อย่างที่ทุกคนคาดหวัง สอบผ่านจวี่เหรินของการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้าได้ ก็จะไม่เป็นการเสียแรงที่นายท่านผู้เฒ่าอุตส่าห์ตรากตรำมาอย่างยาวนานหลายปีขนาดนี้
เขาค้อมตัวพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าจะกลับไปแจ้งนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้าขอรับ”
เฉิงฉือยกน้ำชาขึ้น
ไหวซานออกไปส่งแขก
เฉิงฉือนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังกว่าครู่ใหญ่
ไหวซานกลับเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “นายทานสี่ ท่านคงไม่ใช่เป็นเพราะคิดว่าช่วงสองปีนี้ไม่มีอะไรทำ ก็เลยเตรียมจะไปสร้างท่าเรืออะไรนั่นกับเซียวเจิ้นไห่จริงๆ กระมัง”
เฉิงฉือยิ้มเย็น พลางกล่าว “สมองของข้าไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย! เซียวเจิ้นไห่ได้เงินจากการดักปล้นมาสร้างท่าเรือ หรือก็คือท่าเรือที่จะสร้างที่เป่ยถังนั่น จะต้องสิ้นเปลืองเงินทองตั้งเท่าไร สิ่งที่เซียวเจิ้นไห่ต้องการคือการฟอกขาวสถานะของตัวเอง หากข้าตามไปร่วมวงด้วย เช่นนั้นจะนับเป็นเรื่องอะไรไปแล้ว” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็มีสำเนียงพูดท้องถิ่นของเมืองหลวงติดออกมาด้วย
ไหวซานหน้าแดง พึมพำกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าวันนั้นท่านกับเซียวเจิ้นไห่คุยกันถูกคอยิ่งนัก…”
เฉิงฉือไม่แม้แต่จะชายตามองเขาเลยสักนิด
ไหวซานมีสีหน้าอึกอัก รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ในใจ
วันนั้นเซียวเจิ้นไห่ดูดุดันข่มขู่ผู้คน แต่นายท่านสี่กลับทำเพียงยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไร ตอนที่เซียวเจิ้นไห่จากไปนั้นแน่นอนว่าในใจเขาต้องรู้สึกไม่มั่นใจนัก มาวันนี้นายท่านสี่พูดต่อหน้าคนของตระกูลหลี่ว่าต้องการร่วมหุ้นสร้างท่าเรือเป่ยถังที่เทียนจิน หากเซียวเจิ้นไห่ได้ยินข่าวคราวนี้เข้าจะไม่ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายท่านสี่เป็น ‘เทพเจ้าแห่งโชคลาภ’ กลัวแต่ว่าบรรดาคนที่ก่อนหน้านี้ยังรอดูสถานการณ์พวกนั้นพอได้ยินว่านายท่านสี่ต้องการร่วมหุ้นด้วยจะรีบเปลี่ยนใจในทันที แล้วเงินก็คงจะหลั่งไหลไปหาเซียวเจิ้นไห่…กระทั่งถึงเวลาลงลายมือชื่อในหนังสืออย่างเป็นทางการ เมื่อคนพวกนั้นค้นพบว่านายท่านสี่ไม่ได้มีแผนการนี้ ถึงตอนนั้นหากไม่ไปคิดบัญชีกับตระกูลหลี่ก็คงจะไปคิดบัญชีกับเซียวเจิ้นไห่…
เขายืนไว้อาลัยให้ทั้งตระกูลหลี่และเซียวเจิ้นไห่ในเวลาเดียวกันไปหลายลมหายใจ
อย่างไรก็ตาม เซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นก็เป็นคนเหี้ยมโหดผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมาแฉนายท่านสี่หรือไม่
เขากระซิบกล่าวว่า “นายท่านสี่ ตระกูลหลี่อยู่ภาคกลาง เซียวเจิ้นไห่อยู่ทางเหนือ ส่วนสิบสามห้างอยู่ทางใต้ อาณาเขตของผายเจี้ยวผู้นั้นที่ชวนซีนั้น คราวก่อนที่ท่านให้คนไปล่มเรือของพวกเขา พวกเขายังคงเก็บงำความแค้นมาจนถึงทุกวันนี้นะขอรับ! ในเมื่อท่านเตรียมจะวางมือแล้ว เหตุใดถึงไม่วางมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยขอรับ!”
เฉิงฉือรู้สึกว่าไหวนซานเป็นผู้คุ้มกันที่ดี แต่กลับไม่ใช่ผู้ติดตามที่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้จัดการเรื่องต่างๆ
แต่ไหวซานเป็นคนของเขา ฉะนั้นเขาจึงอธิบายให้ฟังว่า “ปีนี้ข้าขายใบอนุญาตค้าเกลือของตระกูลเฉิงที่ไหวตง ไหวซี และเจ้อเจียง ขายโรงทอผ้าที่หังโจว และขายกิจการเดินเรือที่เฉวียนโจวแล้ว…ภายใต้โลกหล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีรู ข้าจำเป็นต้องอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยหรือ หากต้องการกล่าวโทษก็ต้องโทษเซียวเจิ้นไห่ที่โชคร้าย ทั้งๆ ที่เป็นวันตรุษจีน เขาก็ยังมาหาถึงเมืองจินหลิง หากไม่ใช่เขาแล้วผู้ใดสมควรจะเป็นแพะรับบาปในครั้งนี้เล่า”
ไหวซานพูดไม่ออก
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “จริงสิ ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าฝานฉีผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะ ตอนนั้นข้าไม่ได้ฟังดีๆ”
ไหวซานรีบกล่าว “เขารอจนกระทั่งคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่แต่งงานก็เดินทางกลับไปแล้วขอรับ”
เช่นนั้นเขามาจิงเฉิงเพื่ออะไร
มาเพียงเพื่อให้เห็นกับตาว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่แต่งงานออกไปแล้วเท่านั้นน่ะหรือ
ตระกูลมู่กับตระกูลหลินต่างก็ไม่ได้มีความผิดปกติอะไร การเกี่ยวดองของทั้งสองตระกูลก็พบเห็นได้ปกติทั่วไป ตระกูลหลินเป็นคนจิงเฉิงดั้งเดิม ส่วนตระกูลมู่ย้ายมาอยู่ที่จิงเฉิงเนื่องด้วยนายท่านมู่มารับราชการ ตอนที่นายท่านมู่เดินทางกลับบ้านนั้นถูกโจรดักปล้น ได้นายท่านหลินที่ผ่านทางมาช่วยเหลือเอาไว้พอดี ไม่เพียงช่วยนายท่านมู่ไล่ตามจนได้ข้าวของกลับคืนมาเท่านั้น ยังพานายท่านมู่ที่ล้มอยู่บนพื้นไปรักษาบาดแผล ณ โรงหมอที่รู้จักอีกด้วย นายท่านมู่รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนายท่านหลิน หลังจากที่ทั้งสองตระกูลค่อยๆ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จนต่อมาบุตรชายบุตรสาวก็ได้หมั้นหมายกัน
เขาพยายามคิดทบทวนแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าตระกูลมู่กับตระกูลหลินจะมีสิ่งใดพิเศษ
ยิ่งคิดไม่ตกว่าเหตุใดโจวเสาจิ่นถึงต้องการให้ฝานฉีเข้าเมืองหลวงด้วย สรุปแล้วเรื่องที่ฝานฉีพนันขันต่อกับนักพรตเต๋าแซ่หยางผู้นั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรือมีเจตนากันแน่
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทั้งๆ ที่ยังเด็กนักแต่ฝานฉีผู้นี้ก็ขุดหลุมวางกับดักตระกูลจี้ได้ ถึงแม้จะเป็นเพราะตระกูลจี้ขาดความระมัดระวังด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็พูดได้เต็มปากเด็กผู้นี้ฉลาดเฉลียวยิ่ง
เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่ได้เร่งด่วนอะไร วางเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน รอให้พวกเรากลับจินหลิงแล้วค่อยว่ากัน” จากนั้นถามถึงเฉิงเซ่าขึ้นมาว่า “ยังคงปิดประตูอยู่แต่ในห้องหนังสือไม่ประสงค์จะพบผู้ใดหรือ”
ไหวซานพยักหน้า แต่ก็กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “นายท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่า…”
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดวิธีไปเสาะหาไม้สำหรับทำพิณมาให้นายท่านผู้เฒ่าสักหน่อย ข้าจะทำพิณเป็นเพื่อนเขาสักชิ้นแล้วค่อยกลับจินหลิง”
ไหวซานกล่าว “พวกเราไม่กลับไปพร้อมเหลียงกั๋วกงหรือขอรับ”
เหลียงกั๋วกงมีหมายกำหนดจะออกเดินทางออกจากเมืองหลวงในวันที่ยี่สิบหกเดือนหก
เฉิงฉือกล่าว “จะรอพวกเขาเพื่ออันใด จะเป็นเป้าให้ผู้อื่นโจมตีเสียเปล่าๆ!”
ไหวซานพูดไม่ออก
เขาเข้าใจว่าไม่ว่าอย่างไรเฉิงฉือก็น่าจะเห็นแก่หน้าของจวนเหลียงกั๋วกงสักครั้งหนึ่ง
หลังจากที่เฉิงฉือเก็บสมุดบัญชีที่อยู่หน้าโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็เดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอกไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ข้าจะไปดูท่านอารองสักหน่อย ส่วนเรื่องของเซียงจื้อหย่ง เจ้าให้เซี่ยติ่งจือไปเร่งที่จวนของหลิวหย่งสักหน่อย อย่าปล่อยให้พวกข้าราชการชั้นผู้น้อยที่วันๆ รู้จักแต่คาดเดาเจตนาของผู้อยู่สูงกว่าเหล่านั้นมาประจบสอพลอ จนทำให้เซียงจื้อหย่งมาเป็นเจ้าเมืองของเมืองจินหลิงได้”
ไหวซานขานตอบว่า “ขอรับ”
มีบ่าวเด็กวิ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ คุณชายใหญ่มาขอรับ”
“เขามาทำอันใด” เฉิงฉือยังคงเดินไปด้านหน้า ไม่แม้แต่จะหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ สั่งการไหวซานว่า “ให้ฉินจื่อผิงไปพบเขา บอกไปว่าข้ากำลังอยู่กับท่านอารอง”
ไหวซานเดินไปยังห้องรับรองที่อยู่ด้านหน้า ส่วนเฉิงฉือเดินไปที่ห้องหนังสือของเฉิงเซ่า
เฉิงเซ่าเป็นชายชราที่มีรูปร่างสูงผอมผู้หนึ่ง แต่เส้นผมกลับดำขลับเงางาม เมื่อเห็นเฉิงฉือ นัยน์ตาที่ดูเหม่อลอยนั้นก็ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่งลงมาคุยกันเถิด!”
เฉิงฉือประสานมือขึ้นคำนับ จากนั้นนั่งลง ความสัมพันธ์ของเขากับเฉิงเซ่าสนิทสนมกันยิ่งนัก ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ซอยจิ่วหรู
เฉิงเซ่ากล่าว “เจ้าสบายดีหรือไม่”
“สบายดีขอรับ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ได้เดินท่ามกลางขุนเขาและธารธารา ได้ลิ้มลองของเลิศรส ชีวิตของผู้คนก็มีเพียงเท่านี้!”
“นี่น่าจะเป็นคำพูดประชดประชันกระมัง!” เฉิงเซ่ากล่าวยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี “ดูทีเจ้าคงเตรียมตัวเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว จะจากไปเมื่อใดหรือ”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย
เฉิงเซ่ากล่าว “ความจริงแล้วข้าไม่ค่อยเห็นด้วยที่เจ้าไปดูแลกิจการพวกนั้นมาโดยตลอด แต่ว่าในเวลานั้นก็มีเพียงเจ้าที่เหมาะสม เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ก็เลยจำต้องให้เจ้าไป” ขณะที่เขากล่าว ก็หัวเราะไปด้วย “ข้าจำได้ตอนที่เจ้ายังเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าเจ้าสร้างเรื่องอะไรขึ้น ข้ามีธุระไปหาพี่ใหญ่ เห็นพี่ใหญ่กำลังตำหนิเจ้าอยู่ ใบหน้าเล็กของเจ้าบึ้งตึง เบิกดวงตาโตจ้องบิดาของเจ้า ถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความต้องการร้องขอความยุติธรรมว่า เหตุใดต้องสนนี่สนนั่นด้วย ข้าไม่สนหรอก! ข้าต้องการเล่นคนเดียว นั่นมันของๆ ข้าในเวลานั้นข้าคิดว่า เด็กคนนี้หากเติบโตขึ้นต้องเป็นคนที่ดื้อรั้นผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเพื่อพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว เจ้ากลับอดทนได้ยาวนานหลายปีขนาดนี้…” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
เฉิงฉือหน้านิ่ง กล่าวเพียงว่า “ในเมื่อท่านรู้สึกเป็นหนี้ท่านแม่ของข้า เช่นนั้นก็อย่าให้ท่านแม่ของข้าเจ็บปวดใจเลย เรื่องที่ข้ากำลังจะจากไป ช่วงนี้อย่าเพิ่งบอกนางจะดีกว่า หลังจากที่ข้าตั้งถิ่นฐานเรียบร้อยแล้ว จะลอบกลับไปเยี่ยมเยียนนางอย่างเงียบๆ แน่นอนขอรับ”
“ก็ได้!” เฉิงเซ่าไม่ได้คะยั้นคะยอเขา กล่าวต่อว่า “มีวสันต์ก็มีคิมหันต์ มีคิมหันต์ก็มีสารทฤดู บนโลกใบนี้มีเรื่องราวมากมาย ดังวันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้น มีขึ้นมีลง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจไปหยุดยั้งมันได้ ตระกูลเฉิงก็เสมือนกับต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้น ที่ผุพังเปื่อยเน่าไปตามกาลเวลา ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติที่มันควรจะเป็นเถิด!”
เฉิงฉือหัวเราะ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เฉิงเซ่ากล่าว “เจ้าอย่าได้สนใจข้าเลย ข้าดูแล้วธุระของเจ้าก็เกือบจะเสร็จแล้ว อีกสองวันก็เดินทางกลับไปเสียเถิด! เจ้ากลับไปดูแลบุพการี ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะมีความสุขเพียงใด มีประโยชน์กว่าอยู่กับข้าที่นี่มากนัก!” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย เขาก็หัวเราะออกมา
เฉิงฉือพยักหน้า ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับจินหลิงในอีกสามวันขอรับ!”
***
โจวเสาจิ่นที่อยู่ที่จินหลิงกลับมีอารมณ์ที่ไม่ค่อยอภิรมย์นัก ไม่เพียงเป็นเพราะนางคิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีการอะไรเพื่อเข้าใกล้เฉิงฉือเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะนับตั้งแต่ที่ไต้เท้าอู๋ได้รับข่าวว่าเจ้าเมืองจินหลิงยังคงเป็นเขาแล้ว ฮูหยินอู๋ก็กลายมาเป็นแขกประจำของจวนสี่ไปโดยพลัน นี่ยังไม่นับเรื่องที่ว่า อู๋เป่าจางก็เริ่มติดตามฮูหยินอู๋เข้ามาที่ตระกูลเฉิงด้วย
อุตส่าห์เลี้ยวหนีไปเส้นทางใหม่แล้ว เหตุใดถึงยังต้องมาพบกับอู๋เป่าจางอีก?