หานโม่ฉือจ้องมองฉินอวี้โม่นิ่งนาน สายตาคมของเขาอ่อนหวานละมุนละไม ถึงแม้ว่าเขาจะตกตะลึงในความพิเศษไม่เหมือนผู้ใดของสตรีตรงหน้าอยู่ไม่น้อย ทว่าบุรุษเย็นชาก็มีความสุขมากเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เขาเตรียมใจไว้แล้ว และคิดว่าอย่างไรวันนี้ตัวเขาก็คงหลีกหนีความตายไม่พ้น ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าหญิงสาวผู้นี้จะหาญกล้ายอมเสียสละร่างกายงดงามเพื่อช่วยถอนพิษให้เขาด้วยวิธีเช่นนั้น
ถึงแม้นางจะขัดเขินอยู่บ้าง แต่กลับไม่แสดงความกระดากอายหรือกล้ำกลืนฝืนทนออกมาให้เห็น เพื่อช่วยชีวิตเขาแล้ว สตรีผู้นี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางมีแต่ความมุ่งมั่นลงมืออย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ก่อนที่นางจะช่วยเขา ฉินอวี้โม่ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าหากเขาไม่รับผิดชอบ นางจะทำอย่างไร
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ในดินแดนแห่งนี้ เขายังไม่เคยพบเจอหรือรู้จักสตรีที่เป็นเช่นนี้มาก่อน
หานโม่ฉือคิดเสมอว่า ด้วยร่างกายที่แตกต่างจากคนทั่วไปของเขา เขาคงจะไม่สามารถตกหลุมรักสตรีคนใดและคงไม่มีใครก้าวเข้ามาในหัวใจของเขาได้ ทว่าไม่คิดเลยว่าสตรีที่ไม่ธรรมดาผู้นี้จะทำให้เขามองข้ามเงื่อนไขทั้งปวงและพานางเข้ามานั่งในหัวใจของเขาเองได้*….อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้*
“ข้า…” // “ข้า…”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกัน
เมื่อครู่หานโม่ฉือได้สารภาพออกมาหมดแล้ว และเขาก็ตอบตกลงรับเงื่อนไขทั้งสามข้อของนาง ฉินอวี้โม่จึงคิดว่าตัวเองไม่ควรมีสิ่งใดปิดบังต่อบุรุษที่นางเลือกจะยืนเคียงข้าง ดังนั้นอดีตคุณหนูผู้ไม่เคยเป็นคุณหนูจึงตั้งใจจะเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนตัวโตฟังทั้งหมด ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าเขาเองจะเอ่ยปากขึ้นพร้อม ๆ กัน*….* ไม่คาดคิดว่าใจของเขาจะตรงกับนาง
เพราะถ้อยคำตอบรับเงื่อนไขข้อสุดท้ายเมื่อครู่จากปากเขายังคงดังก้องอยู่ในหัวใจดวงน้อย ‘นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ’ ความนัยของวาจานั้นยังคงทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจต้าน… ไม่ใช่เพียงแค่ตอบตกลง แต่เสมือนเขากำลังสื่อให้รู้ว่า*…* พวกเขาทั้งคู่มีหัวใจที่ตรงกัน
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะยอมรับว่าตนเองมีใบหน้าที่หนาในระดับหนึ่ง ทว่าในตอนนี้ใบหน้าของนางก็ยังคงแดงซ่านและร้อนผ่าวราวกับถูกเผาไหม้อยู่ดี
หานโม่ฉือเงียบและรอฟัง ฉินอวี้โม่เองก็รอให้เขาพูดก่อน บรรยากาศในตอนนี้จึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เจ้าพูดก่อน”
เพื่อลดทอนความขัดเขิน ฉินอวี้โม่จึงเดินหาสถานที่นั่งคุยกัน และในทันทีที่พบเจอจุดเหมาะสม อดีตคุณหนูก็นั่งลงแล้วเริ่มบทสนทนา นางมองหานโม่ฉือและบอกให้เขาเอ่ยปากเรื่องที่อยากพูดออกมาก่อน
“ร่างกายของเจ้าคือกายเทพมายาใช่หรือไม่ ?”
หานโม่ฉือนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ สาวงามหันไปมองบุรุษข้างกาย ความงุนงงปรากฏบนใบหน้านวลชัดเจน นางกำลังสงสัยว่าหานโม่ฉือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร “ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องนี้ได้ ?”
จริงอยู่ที่ฉินอวี้โม่เป็นผู้ขจัดพิษเย็นในร่างกายของเขา แต่เพียงเท่านั้นเขาจะรู้ได้ในทันทีเลยหรือว่าร่างกายของนางคือกายเทพมายา ?
รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของหานโม่ฉือก่อนที่เขาจะกล่าวตอบ “ข้าแค่เดาเท่านั้น”
การที่ฉินอวี้โม่ช่วยเขากำจัดพิษเย็นในร่างกายไปได้ นั่นก็แสดงว่าร่างกายของนางจะต้องมีความพิเศษ
ร่างกายมหัศจรรย์ที่สามารถขจัดพิษที่ไร้ทางรักษาได้ และยังทำให้ฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์อันน่าตกใจ ไหนจะความรวดเร็วอย่างผิดปกติของนางในการสยบอสูรมายา เรื่องทั้งหมดนี่มีเพียงกายเทพมายาในตำนานเท่านั้นที่จะทำได้
เมื่อฟังคำพูดของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
“วางใจเถอะ ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ว่าในอนาคตจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ตาม”
หานโม่ฉือคว้าจับมือบางของฉินอวี้โม่อย่างอ่อนโยน ต้องบอกเลยว่าถึงแม้หานโม่ฉือจะเป็นมนุษย์เย็นชาอย่างยากจะหาผู้เปรียบเทียบ ทว่ากับสตรีที่เขารักแล้ว บุรุษเย็นชาผู้นี้ก็สามารถปฏิบัติอย่างอ่อนโยนและเอาใจใส่จนแทบจะละลายคาอกกว้างนี้ได้เลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคำกล่าวที่ไม่ต่างจากคำมั่นสัญญาของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มหวานหยดตอบรับอย่างมีความสุข แม้จะรับรู้ว่ามือใหญ่ของเขายังคงเย็นอยู่เล็กน้อย ทว่าภายใต้มือคู่นี้ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก นางจึงปล่อยให้เขากอบกุมมือบางไปเรื่อยๆ อย่างตามใจ
“คนที่ไล่ล่าข้าคือน้องชายต่างมารดาของข้าเอง เขามีนามว่า หานโม่หยวน คนผู้นั้นต้องการจะกำจัดข้ามาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะถูกลอบกัดจนพิษเย็นในร่างกายกำเริบขึ้นมาได้ ข้าก็ไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาสักครั้ง ต่อให้พวกมันมากันเป็นสิบข้าก็ไม่เคยกลัว”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา เขาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉินอวี้โม่ฟัง ในน้ำเสียงที่คล้ายจะเรียบเฉยของเขานั้น นางสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ถูกส่งออกมาอยู่หลายส่วน
ที่หานโม่ฉือเข้ามาในป่าแสงจันทร์ครั้งนี้ก็เพื่อตามหาสมุนไพรสำหรับต้านพิษเย็นในร่างกาย เขาออกมาตามลำพังไม่ได้นำคนของเขาติดตามมาด้วย
ตอนที่เขาพบเจอสมุนไพรก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาค้นพบว่าตัวเองถูกหานโม่หยวนและลูกน้องสะกดรอยตามมาอย่างลับ ๆ
ในตอนแรกนั้น เขาไม่ได้สนใจน้องชายต่างมารดาและพรรคพวกของมันแม้แต่น้อย เมื่อได้สมุนไพรมาแล้วหานโม่ฉือก็เตรียมตัวจะกลับทันที
ทว่าในตอนนั้นเองก็มีอสูรเทวะราชันปรากฏตัวขึ้นและขวางทางเขาเอาไว้
อสูรเทวะราชันตัวนั้นสร้างปัญหาให้หานโม่ฉือไม่น้อย และโชคร้ายที่พิษเย็นในร่างกายของเขากำเริบขึ้นมาในเวลานั้นอย่างพอดิบพอดี
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาพลาดพลั้งถูกอสูรมายาทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก แต่ด้วยความสามารถอันสูงส่ง หานโม่ฉือก็ยังคงหลบหนีออกมาได้ เดิมทีเขาพยายามยับยั้งพิษเย็นเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็รีบหลบหลีกการติดตามของหานโม่หยวนและลูกน้อง
ทว่าเขาไม่ทราบว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการใด แต่หานโม่หยวนกลับยังคงสามารถไล่ตามกลิ่นอายของเขาได้และเปลี่ยนเป็นการไล่ล่า !
ซึ่งในภายหลัง หานโม่ฉือก็ได้เข้าใจวิธีที่หานโม่หยวนใช้ คนชั่วช้าผู้นั้นแอบโรยผงไร้สีไร้กลิ่นไว้บนร่างของเขาในขณะที่กำลังต่อสู้กับอสูรเทวะราชัน
ไม่ว่าหานโม่ฉือจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในสถานการณ์ตอนนั้น บวกรวมกับสภาพร่างกายที่เลวร้ายทำให้เขาไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
และในตอนที่เขากำลังเข้าตาจน จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยเขาเอาไว้
เดิมทีเรื่องของพิษเย็นที่อยู่ในร่างกายของหานโม่ฉือถือเป็นเรื่องสิ้นหวังและไร้หนทางแก้
มารดาของเขาได้รับพิษเย็นนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะให้กำเนิดเขา และในตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นางกำลังตั้งครรภ์บุตรชาย โชคร้ายที่พิษเย็นนั้นสามารถถ่ายเทไปยังทารกในครรภ์ได้ หานโม่ฉือจึงติดพิษร้ายตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่โชคร้ายยิ่งกว่าคือมารดาของเขาได้หายตัวไปหลังจากให้กำเนิดเขาได้ไม่นาน
หานโม่ฉือนั้นเป็นที่โปรดปรานของผู้นำตระกูลตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะเป็นเพราะผู้นำตระกูลหรือก็คือบิดาของหานโม่ฉือรักมารดาของเขามาก ทว่าก็เป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ส่งผลให้ตัวเขาถูกหานโม่หยวนและมารดาเลี้ยงเกลียดชังและลงมือกลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่เริ่มเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องถูกรังแก หานโม่ฉือก็สัญญากับตัวเองว่าหากเขามีสตรีที่รัก เขาจะขอรักมั่นเพียงแต่นางผู้เดียว เขาจะยึดมั่นในความรักนั้นให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับความคิดของฉินอวี้โม่ นอกจากจะไม่คิดคัดค้านคำขอในเงื่อนไขของนางแล้ว หานโม่ฉือยังสัญญากับตัวเองว่าเขาจะประคับประคองดูแลความรักของพวกเขาทั้งสองอย่างดีที่สุด
หลังจากตามสืบมานาน ในที่สุดหานโม่ฉือก็ทราบว่าผู้ที่ทำให้เขาต้องติดพิษเย็นก็คือมารดาของหานโม่หยวน
แท้จริงแล้วหานโม่ฉือมีพลังและอิทธิพลมากเพียงพอที่จะกำจัดทั้งมารดาเลี้ยงและน้องชายต่างมารดาทิ้งไปอย่างไร้ร่องรอยได้ ทว่าเขากลับสืบรู้ข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่งว่า มีใครบางคนกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังมารดาของหานโม่หยวน
หานโม่ฉือไม่ใช่คนโง่ เขาเริ่มสงสัยถึงจุดประสงค์อันแท้จริงที่มารดาของหานโม่หยวนก้าวเข้ามาในตระกูลหาน ดังนั้นเขาจึงยังไม่ลงมือสังหารสองแม่ลูกในทันที แต่เลือกที่จะจับตามองพฤติกรรมของคนทั้งสองไปก่อน ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นในวันนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดหานโม่ฉือสามารถปลดเปลื้องปัญหาอันหนักหน่วงที่สุดที่เขาไม่เคยคิดว่าจะแก้ไขได้อย่างเรื่องพิษเย็นในร่างกายออกไปได้ เวลานี้เขาจึงไม่อยากคิดสิ่งใดให้ปวดหัว ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้พบเจอสตรีที่จะอยู่เคียงข้างกับเขาไปจนแก่เฒ่าแล้วและนั่นก็ทำให้เขามีความสุขมากเหลือเกิน
หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
แท้จริงแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเป็นศัตรูกับหานโม่ฉือ ต่อให้วันนี้บุรุษเย็นชาผู้นี้ต้องตายไป แต่หลังจากหานโม่หยวนกลับถึงจวนก็จะมีสถานที่เพียงที่เดียวเท่านั้นที่รอคอยให้เขาเข้าไปอยู่*…นั่นก็คือในหลุมฝังศพของตัวเอง* ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของเขาก็จะถูกฆ่าในทันทีเช่นกัน เรื่องนี้หานโม่ฉือได้เตรียมการเอาไว้แล้วทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หานโม่หยวนนั้นไม่รู้ถึงแผนการของพี่ชายที่เขาชิงชังเลยแม้แต่น้อย
ทว่าในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และหานโม่ฉือก็ตระเตรียมแผนการใหม่เอาไว้แล้วเช่นกัน
“ข้ามีเรื่องนึงที่สงสัย เจ้าไม่มีอสูรมายาเลยหรือ ทั้ง ๆ ที่ตัวเจ้าก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ?”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉินอวี้โม่สงสัยเป็นอย่างมาก ในมุมมองของอดีตสาวนักฆ่า จริงอยู่ว่าหานโม่ฉือน่าจะแข็งแกร่งกว่าตัวนาง แต่ในยามเข้าตาจนการพึ่งพาพลังของอสูรมายาแล้วหลบหนีไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุด ทว่าเหตุใดในตอนที่มีอันตรายจนเกือบจะถึงชีวิต เขาจึงไม่เรียกอสูรมายาออกมา นี่เป็นเรื่องที่นางไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ไม่กี่วันก่อน อสูรมายาของข้าเพิ่งจะเข้าสู่การเก็บตัวและเตรียมตัวรับทัณฑ์อัสนี แม้ข้าจะเรียกมันออกมา มันก็ไม่ตอบสนอง”
หานโม่ฉือส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขามีอสูรมายาคู่ใจอยู่เพียงตัวเดียว และเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตในช่วงเวลาที่อสูรคู่ใจเก็บตัวพอดีเช่นนี้ หากว่าเขามีอสูรมายาอยู่ด้วย แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“รับทัณฑ์อัสนี ?”
ฉินอวี้โม่ตกตะลึง นั่นเป็นการเลื่อนพลังของอสูรมายาระดับใดกันถึงต้องรับทัณฑ์อัสนีด้วย ?
‘ไม่ต้องสงสัยหรอกนายหญิง เพราะว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรของท่านเองหากมันเลื่อนไปอีกขั้นมันก็จะต้องรับทัณฑ์อัสนีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันยังต้องการพลังอีกมาก ข้าคิดว่าเรื่องนั้นคงยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่
หลังจากรับการชำระล้างจากทัณฑ์อัสนีแล้ว อสูรมายาระดับเทวะราชันก็จะพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้น
นั่นก็หมายความว่าอสูรมายาของหานโม่ฉือจะต้องเหนือกว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรที่เป็นถึงอสูรมายาระดับเทวะราชันเก้าดาราของนาง !
“แล้วระดับของเจ้าในตอนนี้ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือและเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้ แต่นางกลับมองมันไม่ออก ไม่ว่าจะลอบใช้พลังตรวจสอบอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ อันที่จริงในเรื่องนี้ฉินอวี้โม่สงสัยมาโดยตลอดเพียงแต่ว่ามันไม่ได้มากมายเท่ากับตอนนี้ ตอนที่ได้รู้ว่าอสูรมายาคู่ใจของเขากำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับที่สูงกว่าอสูรเทวะราชันเก้าดาราแล้ว
หานโม่ฉือยิ้มและเรียกสัญลักษณ์แสดงระดับพลังออกมาในทันที
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่ฝ่าเท้าของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ได้แต่เบิกตากว้าง สาวงามเอ่ยสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดที่ผ่านมานางจึงไม่สามารถมองดูระดับพลังของเขาได้ …นั่นก็เพราะระดับพลังของเขาสูงอย่างผิดปกติถึงขนาดนี้
“เป็นเพราะกายเทพมายาของเจ้าและเป็นเพราะพิษเย็นในตัวข้าถูกกำจัดออกไป ทำให้ระดับพลังของข้าก้าวหน้าขึ้นมาหลายขั้น อีกไม่นานข้าก็จะทะลวงสู่ขอบเขตถัดไปแล้ว”
หานโม่ฉืออธิบายเพิ่มเติมโดยไม่คิดปกปิดสตรีในดวงใจ
ฉินอวี้โม่นิ่งอึ้งอยู่นาน ตั้งแต่เริ่มมาถึงยังดินแดนแห่งนี้ นางก็คิดว่าพรสวรรค์ของตัวเองนั้นเป็นหนึ่งมาโดยตลอด ด้วยประสบการณ์ในสองภพของนางทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากกว่าคนทั่วไป ทั้งทักษะวิชาการต่อสู้ หรือแม้แต่ทักษะชีวิตและการเอาตัวรอดทำให้พรสวรรค์และระดับพลังของนางสูงส่งผิดปกติหากเทียบกับคนในวัยใกล้เคียงกัน ทว่าไม่คิดเลยว่าความสามารถของหานโม่ฉือผู้นี้จะประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่านางเสียอีก
“ตอนนี้พิษเย็นของเจ้าก็ถูกลบล้างไปหมดแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องอย่างวันนี้อีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางใช้มือที่ว่างลูบหลังมือใหญ่อย่างแผ่วเบา ตอนนี้อดีตคุณหนูผู้งดงามให้การยอมรับหานโม่ฉือแล้ว นางหวังว่าจะได้จับมือเดินเคียงคู่กับเขาไปตลอด และแน่นอนว่านางไม่ต้องการให้เขามีอันตราย ฉินอวี้โม่อยากจะอยู่ข้างกายคนผู้นี้และช่วยปัดเป่าภัยร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่ ไม่ให้มากล้ำกรายตัวและหัวใจของเขาได้
หานโม่ฉือพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อสารเป็นอย่างดี ทว่าบุรุษร่างใหญ่ก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เขาเพียงแต่บีบกระชับมือบางในอุ้งมือใหญ่ให้แน่นขึ้นเท่านั้น
“หานโม่ฉือ ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า !”
หลังจากปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับความรู้สึกอุ่นซ่านในใจอยู่ชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงจริงจังเพราะไม่ต้องการปิดบังความจริงและไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เองในภายหลัง ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจจะบอกความลับของเธอให้เขารู้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้
หานโม่ฉือสบตาฉินอวี้โม่เงียบ ๆ เพื่อรอคอยให้นางพูด
“หานโม่ฉือ เจ้าจำครั้งแรกที่เราพบกันได้หรือไม่ ? มันไม่ใช่ที่สมาคมทหารรับจ้างเมืองหลิงซี แต่เป็นก่อนหน้านั้นที่บึงสายหมอก”
หานโม่ฉือเป็นบุรุษเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นางเชื่อว่าเขาคงไม่คิดหันหลังกลับ หลังจากที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ
หานโม่ฉือพยักหน้ารับ เหตุการณ์ในวันนั้นเขาจำได้อย่างแม่นยำ
วันนั้นที่บึงสายหมอก เขาและหลินจิ้งหงบังเอิญได้รู้เห็นภาพเหตุการณ์ที่สตรีงดงามผู้อยู่ตรงหน้านี้กำลังไล่ฟาดฟันและลงมือสังหารบุรุษร่างใหญ่โตนับสิบคนอย่างโหดเหี้ยม…ด้วยตัวนางเองเพียงลำพัง
ในเวลานั้นพวกเขาเกิดข้อสงสัยในตัวฉินอวี้โม่มากมาย
เห็นได้ชัดว่านางไม่มีพลังมายา และไม่ใช่จอมยุทธ์แม้แต่ในระดับจิตมายา แต่ทว่านางกลับสามารถลงมือสังหารชายหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตจิตมายาจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
ในเวลานั้น แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของหานโม่ฉือจะไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าภายในหัวใจแสนเย็นชาเขากลับรู้สึกเปลี่ยนไป เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นและสนใจคนผู้นี้อย่างที่ไม่เคยเป็นกับสตรีคนใด
อย่างไรก็ตาม ทั้งหานโม่ฉือและหลินจิ้งหงกลับไม่ได้เห็นตอนที่ฉินอวี้โม่ถูกไล่ล่าจนจนมุม ถูกด่าทอเหยียดหยามและเกือบจะถูกกลุ่มคนกักฬะย่ำยี ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นฉากที่คุณหนูสี่ผู้นี้ตายและไม่ได้เห็นเมื่อยามนางฟื้นขึ้นมา
“หานโม่ฉือ จริง ๆ แล้วเจ้าของร่างกายนี้ที่แท้จริงได้ตายไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนข้าที่กำลังพูดคุยกับเจ้านั้นไม่ใช่นาง… ไม่ใช่คุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งหลิงซี… ข้าเป็นเพียงดวงวิญญาณจากโลกอื่นที่ฟื้นกลับมาจากความตายและมาอาศัยร่างกายนี้”
ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็บอกความลับตัวเองออกไปให้หานโม่ฉือได้รับรู้ เธอกำลังยอมรับกับเขาตรง ๆ ว่าตัวเธอไม่ใช่คนของโลกมายาแห่งนี้
หลังจากกล่าวออกไป ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองหานโม่ฉือนิ่งเงียบ แววตาหวานมีความกังวลเจืออยู่
นางรู้ดีว่าเรื่องที่นางเอ่ยออกไปเป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อถือ การที่ดวงวิญญาณข้ามภพมาเข้าร่างคนตายที่อยู่ต่างภพต่างชาติ หรือแม้แต่ต่างมิติจนฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็คงคิดว่าเหลวไหล หากว่าหานโม่ฉือไม่เชื่อเรื่องนี้ฉินอวี้โม่เองก็จะไม่ว่า
หากว่าเขาบอกว่านางพูดจาเหลวไหลนางก็จะไม่ถือสา นางเพียงแค่อยากจะบอกให้เขาได้รับรู้เอาไว้ก่อน เมื่อตัดปลงใจแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างคนผู้นี้ตลอดไป นางก็ไม่อยากมีเรื่องใดปิดบังเขา
“งั้นข้าก็ต้องขอบคุณคนที่ฆ่าเจ้าในอีกโลกน่ะสิ ไม่งั้นข้าก็คงไม่ได้พบกับเจ้า”
หานโม่ฉือกล่าวติดตลก แล้วดึงร่างบางของฉินอวี้โม่เข้ามาแนบอก เขาต้องการจะโอบกอดร่างเล็กๆ นี้ไว้ให้เนิ่นนานที่สุด ไม่ว่าร่างกายนี้จะเคยผ่านความตายมาหรือไม่ ไม่ว่าวิญญาณนี้จะไม่ได้อยู่ในร่างกายนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ขอเพียงแค่เป็นนาง เป็นฉินอวี้โม่ที่เขารู้จัก เป็นสตรีที่เขากอดและกำลังกอดตอบเขาอยู่ตอนนี้ที่จะเดินเคียงข้างเขาตลอดไป เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
เมื่อได้ฟังคำตอบคล้ายหยอกล้อของบุรุษแสนเย็นชาอย่างหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย สาวผู้ข้ามภพมาจากโลกอื่นยิ้มอย่างนึกทึ่งปนโล่งใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนางกำลังสุขใจเป็นที่สุด*…* คนคนนี้คือผู้ที่คู่ควรแล้วที่จะให้นางวางทั้งหัวใจเอาไว้บนมือของเขา