ตอนที่ 643 แดนปริศนาของเทพสรรพชีวิต

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

หลิงอวี้จิววิ่งออกมาจากใต้ท้องเรือ นางพบอะไรแปลกประหลาดเกี่ยวกับเรือนี้ นางกล่าวด้วยเสียงเบา “เด็กเลี้ยงวัว กระดูกสันมังกรของเรือนี้เป็นกระดูกของมังกรจริงๆ”

ฉินมู่ตะลึงไป เขาตามนางเข้าไปใต้ท้องเรือ และเห็นกระดูกสันมังกรของเรือ เป็นโครงกระดูกใหญ่ของมังกรตัวหนึ่ง นี่หมายความว่าเมื่อเรือเหาะเหินไป โครงกระดูกมังกรก็จะขยับไปซ้ายขวาเหมือนงู

ไม่เพียงเท่านั้น ซี่โครงมหึมาของมังกรได้ก่อขึ้นมาเป็นโครงหลักของเรือนี้!

เมื่อเขาแตะไปที่ลำตัวเรือ เขาก็พบว่ามันชื้นนุ่ม และหนังที่ห่อหุ้มมันเอาไว้เป็นหนังของเทพและมาร

“พวกเขาใช้เลือดและเนื้อของเทพเจ้ามากมายมาสร้างเป็นเรือนี้ และศีรษะของเทพเจ้ามาหลอมสร้างเป็นสมบัติวิเศษ ยุคสมัยแสงฉานนี้ป่าเถื่อนไปหน่อยจริงๆ”

ฉินมู่และหลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้ม ในตอนนั้น เรือเหาะกำลังแล่นลอยไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เมื่อฉินมู่มายังดาดฟ้าเรือ เขาก็เห็นผานกงสั่วกำลังศึกษาดาดฟ้าอยู่ ฉินมู่เองก็ศึกษาดาดฟ้าอย่าละเอียด เขาเงยหน้าขึ้นมองผารกงสั่ว และผานกงสั่วก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร เมื่อร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “แผ่นกระดูกหุ้มหนัง!”

ทั้งดาดฟ้าเรือทำมาจากแผ่นกระดูกหุ้มหนัง เทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหารเพียงเพื่อสร้างเรือนี้!

“ท่านที่นับถือชื่อซี วิธีการจัดการเรื่องราวของยุคสมัยแสงฉานของเจ้า ไม่ป่าเถื่อนและโหดร้ายไปหรอกหรือ”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ได้ตรวจตราดูเรือนี้ด้วยเช่นกัน เขาส่ายหัว “เพื่อสร้างเรือลำหนึ่ง เทพเจ้าหลายพันตนคงต้องตาย”

ชื่อซีแย้มยิ้ม “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งของเจ้ายืนยาวเพียงแค่สองหมื่นปี ใช่หรือไม่”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะลึงไปเล็กน้อย เขาผงกหัว “ไม่ถึงสองหมื่นปีด้วยซ้ำ”

ชื่อซีกล่าว “เจ้าไม่รู้หรอกว่ายุคสมัยแสงฉานได้ผ่านประสบการณ์อะไรมา ในเมื่อพวกเจ้ายังอยู่กันไม่ถึงสองหมื่นปี เทพเจ้ามีอายุขัยไม่จำกัด และเพียงสองหมื่นปีก็เพียงพอที่จะก่อกำเนิดเทพเจ้านับล้านๆ ตน เทพเจ้าเหล่านี้เป็นอมตะ และดังนั้น เมื่อรัชสมัยรุ่งเรือง ก็จะยิ่งมีเทพเจ้ามากขึ้นและมากขึ้นไปทุกที รัชสมัยเทวะแสงฉานมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงสิบหมื่นปี ดังนั้นจำนวนของเทพเจ้าได้มากมายถึงขั้นที่ฟ้าและดินไม่อาจรองรับไหวอีกต่อไป จักรวาลและดินแดนที่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งของเจ้าปกครองนั้น น้อยกว่าที่ยุคสมัยแสงฉานแผ่ไพศาลไปถึงมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนที่เจ้าปกครองก็เล็กกว่ารัชสมัยเทวะแสงฉานสองสามเท่า และกระนั้น แม้ด้วยดินแดนอันกว้างใหญ่ ก็ยังไม่เพียงพอจะให้แก่เทพเจ้ามากมายที่เกิดขึ้น เมื่อผู้เปี่ยมความสามารถของรุ่นหลังไม่มีพื้นที่ให้ขยับขยายอีกต่อไป พวกเขาก็เริ่มก่อกบฏและสร้างความวุ่นวาย เมื่อพวกเขาสร้างความวุ่นวาย…”

สีหน้าของเขาเยือกเย็น และน้ำเสียงของเขาก็มีจิตสังหารอันไร้ประมาณ “พวกเราก็ย่อมสังหารพวกเขา! ฮี่ๆ! สังหารเทพเจ้าหลายพันเพื่อสร้างสมบัติอันล้ำค่าเช่นนี้ ย่อมได้กำไร”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกขมวดคิ้ว “นั่นไม่ผิดจริยธรรมหรอกหรือ”

“ผิดจริยธรรม? เมื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งของเจ้าถูกทำลายล้าง มีผู้คนตายไปเท่าไร นั่นก็ไม่ผิดจริยธรรมเหมือนกันหรอกหรือ”

ชื่อซีแค่นเสียงหยันและกล่าว “อย่างเช่น ถุงเต๋าตี้บนตัวของเจ้า นั่นไม่ใช่สมบัติที่สร้างขึ้นมาจากการสังหารสัตว์ร้ายเต๋าตี้หรอกหรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว “ถุงเต๋าตี้สองถุงของข้า ผู้สูงศักดิ์เป็นคนทำขึ้นมา ผู้สูงศักดิ์มอบมันให้ข้า”

ผานกงสั่วสีหน้ามืดดำทันที

ชื่อซีกล่าว “สังหารเทพเจ้าเพื่อสร้างสมบัติวิเศษนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกยุคสมัย การทำลายล้างของรัชสมัยเทวะแสงฉานของข้าเกิดขึ้นเมื่อสามแสนห้าหมื่นปีก่อน และหลังจากนั้น มันก็เป็นการผงาดขึ้นมาของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งยืนยงอยู่สามแสนห้าหมื่นปี และเป็นยุคสมัยที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ มันยังเป็นยุคสมัยอันรุ่งเรืองที่สุดด้วย สาเหตุที่ผู้รอดชีวิตจากยุคสมัยแสงฉานกบดานอยู่ในโลกลอยเลื่อนนานขนาดนี้ และไม่ออกมาเสาะหาแผ่นดินบรรพชน ส่วนใหญ่ก็เพราะพวกเรากลัวจะถูกสภาสวรรค์จักรพรรดิสูงส่งจับตัวไปหลอมสร้างเป็นสมบัติวิเศษ!”

ฉินมู่ย้อนนึกถึงการเดินทางข้ามเวลาครั้งก่อนป๋ายฉวีเอ๋อและพี่ชายของนางดูไม่เหมือนคนที่จะสังหารผู้คนเพื่อหลอมสร้างเป็นสมบัติ แต่ทว่า จากการพบพานวิหารภูเขาบิด เทพเจ้าภูเขาบิดคงจะต้องสังหารสัตว์เทพเต๋าตี้ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสมบัติวิเศษและวิหาร

หัวใจเขาสั่นไหวเล็กน้อย เขานำเอาเนตรหยกตะวันและเนตรหยกจันทราออกมาจากถุงเต๋าตี้และถาม “ผู้อาวุโสชื่อซี สมบัติสองชิ้นนี้น่าจะเป็นสมบัติจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ข้าเข้าใจถูกไหม”

ชื่อซีมองไปที่พวกมัน “น่าจะเป็นเช่นนั้น หากว่าพวกมันมาจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งจริงๆ งั้นลูกตาสองลูกนี้ก็ไม่ได้สร้างมาจากหยก ในทางกลับกัน มันเป็นลูกตาของเทพเจ้าของจริง ลูกตาของเต๋าตี้”

ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เมื่อเขาสัมผัสเนตรหยก เขารู้สึกเหมือนกับสัมผัสเนื้อหยก เขามองไม่ออกเลยว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากเลือดและเนื้อ หรือว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งก็จะอำมหิตเหมือนกับยุคสมัยแสงฉาน แต่จากที่ป๋ายฉวีเอ๋อและคนอื่นๆ จัดการเรื่องราว พวกเขาดูไม่เหมือนคนอำมหิตเลยสักนิด ถ้าอย่างนั้น ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งจัดการกับปัญหาเทพเจ้าล้นเกินอย่างไรนะ

ในตอนนั้น เรือเหาะได้ข้ามผ่านสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญยาณ และพวกเขาก็มาถึงสวรรค์ไท่หวง เมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลี ฉินมู่ก็ลงจากเรือไปไต่ถาม ราชครูสันตินิรันดร์ยังไม่กลับมา

ราชครูคงกำลังฝึกปรืออยู่ข้างๆ นักบุญคนตัดไม้ในสวรรค์หลัวฝูของเผ่ามาร

พวกเขาไปที่สวรรค์หลัวฝู ในโลกที่กำลังแตกทำลายนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ บนแท่นสังเวย เทพเจ้าหลายตนกำลังปกป้องแท่นสังเวยเอาไว้อย่างไม่ได้พักผ่อน

ฉินมู่ไปยังแท่นสังเวยที่นักบุญคนตัดไม้อยู่ และบรรพชนแรกก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เมื่อนักบุญคนตัดไม้เห็นเขาจากที่ไกลๆ เขาก็รีบหันหลังกลับและหลบหน้าเขา

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกลายเป็นซึมเศร้า

ชื่อซีมองไปที่นักบุญคนตัดไม้ด้วยรอยยิ้มหยัน

ฉินมู่เดินขึ้นไปบนแท่นสังเวยและบอกกล่าวเหตุผลที่เขามาที่นี่ นักบุญคนตัดไม้กล่าว “ศิษย์น้องของเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกปรือ ดังนั้นเขาคงยังไม่ออกมาอีกสักพัก เจ้าจะต้องรออีกปีครึ่งกว่าเขาจะออกมาจากการเก็บตัว”

ฉินมู่ส่ายหัว “พวกเราไม่อาจรอได้นานขนาดนั้น ในเมื่อศิษย์น้องเก็บตัวฝึกปรืออยู่ อาจารย์สามารถบอกพวกเราได้หรือไม่ว่าการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้มีสิ่งใดต้องพึงระวัง”

นักบุญคนตัดไม้มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา และเผยยิ้มออกมา “ทำตามธรรมเนียมพื้นถิ่น สังเกตดูสิ่งที่ผู้อื่นกระทำ และทำตามพวกเขา หากว่าเจ้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ ก็ปลดใบหลิวที่หน้าผากของเจ้าออกมา”

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนแห่งยุคสมัยแสงฉานมีแต่ดุร้ายและเขื่องโข ข้าเกรงว่าข้าคงต้องสังหารผู้คนหากว่าทำตามธรรมเนียมของพวกเขา”

“นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าบอกให้เจ้าปลดใบหลิวออกมาหากว่าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ก็ไม่ใช่ว่ามีภูติบดีคอยตามเช็ดอยู่หรือ”

ฉินมู่สีหน้ามืดดำราวกับถ่าน

นักบุญคนตัดไม้หันหลังให้แก่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่อาจเชื่อใจคนหนีทัพได้ คนหนีทัพที่เคยหลบหนีมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ย่อมจะหลบหนีละทิ้งไปได้อีกครั้งหนึ่ง”

ฉินมู่หันหัวกลับไป และเห็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกยืนอยู่ที่หัวเรือโดยไม่ปริปากสักคำ

นักบุญคนตัดไม้เรียกหลิงอวี้จิวเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย เจ้านั้นดีกว่าบิดาของเจ้ามาก เมื่อเจ้าขึ้นเป็นจักรพรรดินีในอนาคต ก็จงดูแลผู้คนของเจ้าให้ดี และดูแลศิษย์ข้าให้ดี รับฟังคำแนะนำของเขาอย่างจริงจัง”

หลิงอวี้จิวมองที่ฉินมู่และกล่าว “ข้าจะทำเช่นนั้น”

“เด็กดี วรยุทธของเจ้าอ่อนแอที่สุด ดังนั้นให้ข้ามอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าสักหน่อย”

นักบุญคนตัดไม้ยังคงยิ้มอยู่ เมื่อจู่ๆ เขาก็เหวี่ยงขวานขึ้นมาจามใส่หน้าผากของหลิงอวี้จิว

หลิงอวี้จิวกระโดดโหยงด้วยความตกใจ แต่นางไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด นักบุญคนตัดไม้จามขวานไปอีกหลายครั้ง ฟาดใส่หน้าผากหลิงอวี้จิวซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อเขาทำเสร็จ เขาก็เก็บขวานเอาไว้และกล่าว “บุตรีแห่งตระกูลหลิง จดจำถ้อยคำในวันนี้เอาไว้ เจ้าทั้งหมดไปได้แล้ว”

หลิงอวี้จิวฉงนใจเล็กน้อย นางหันกายและเดินกลับไปยังเรือเหาะพร้อมกับฉินมู่

ชื่อซีมองไปยังแผ่นหลังของนักบุญคนตัดไม้และยิ้มหยัน “สหายเต๋า ไว้พวกเรามาสู้กันใหม่เมื่อมีโอกาสในอนาคต!”

นักบุญคนตัดไม้ไม่หันกลับ แต่เขาโบกมือเป็นการตอบ เรือเหาะพุ่งทะยานไปยังอวกาศนอกโลก และหายวับไปอย่างรวดเร็ว

ในนภาประดับดาว เรือเหาะโบกปีกสามคู่กระพือไป พุ่งกรีดฟ้าอันมืดมิด ในเมื่อท้องฟ้ากว้างใหญ่ไม่มีสิ่งต้านทานใดๆ เรือเหาะก็ยิ่งแล่นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ความเร็วของเรือนั้นเพิ่มพูนถึงขั้นอันเกินจะจินตนาการ เคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายฟ้า

พวกเขาเคลื่อนผ่านวงแหวนสะเก็ดดาวอย่างรวดเร็ว และสะเก็ดดาวก้อนใหญ่ก็พุ่งเข้ามาชนกับเรือ แต่ทว่าอักษรรูนบนเรือเปล่งแสงไหลวน และสะเก็ดดาวก้อนใหญ่เท่าภูเขาก็พลันถูกป่นเป็นผง

ชื่อซีนำเอาเข็มทิศดวงดาวออกมาเพื่อระบุพิกัดของพวกเขา เข็มทิศดวงดาวฉายแสงอันงดงามของแผ่นที่หมู่ดาว เขากล่าว “อีกครึ่งปีให้หลัง พวกเราจะไปถึงโลกลอยเลื่อนแสงฉาน และในช่วงครึ่งปีนี้ เจ้าจะไปไหนก็ได้ที่นี่ แต่ห้ามออกไปจากเรือ”

ฉินมู่ตรวจดูภาพฉายของแผ่นที่หมู่ดาวและเห็นว่าเส้นทางโคจรของดวงดาวนั้นประหลาดอย่างเหลือแสน หมู่ดาวกระจุกใหญ่มากมายโคจรไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ แต่สถานที่แห่งนั้นว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง มีก็แต่แสงเจิดจ้าอยู่ที่นั่น

“ผู้อาวุโสชื่อซี ตรงนี้คือที่ไหนหรือ” เขาไปยังจุดที่ว่างเปล่าเหมือนหลุมดำ

ชื่อซีมองไปตามที่เขาชี้ และเขาก็เลิกคิ้ว “เด็กหนุ่มจากชนบท เจ้าไม่เคยเดินออกมาจากแผ่นดินบรรพชนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าย่อมไม่รู้ถึงแง่อัศจรรย์มากมายของจักรวาล”

บรรพชนแรกมองดูและกล่าว “นั่นคือสถานที่นับได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามกับแดนใต้พิภพ มันเป็นสถานที่พำนักของเทพสรรพชีวิต มันลึกลับเป็นปริศนาอย่างยิ่ง”

หลิงอวี้จิวก็ไม่เคยได้ยินนามเทพสรรพชีวิตมาก่อน และเขาก็มารับฟังด้วยกันกับฉินมู่ นางถาม “เทพสรรพชีวิตเป็นขั้วตรงข้ามกับแดนใต้พิภพหรือ ในเมื่อภูติบดีควบคุมการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ แล้วเทพสรรพชีวิตทำอะไร?”

ไม่ทันที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจะตอบ ชื่อซีก็อธิบาย “เทพสรรพชีวิตเป็นบรรพบุรุษแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย และเขาควบคุมการดำเนินไปของปรากฏการณ์บนฟากฟ้า เขานั้นยุติธรรมและไม่เห็นแก่ตัว ดวงดาวทั้งหลายที่เจ้ามองเห็นในโลกมิติทุกโลกนั้นถูกควบคุมโดยเทพสรรพชีวิต เทพตนนี้ไม่ด้อยไปกว่าภูติบดี และด้วยร่างกายอันประกอบไปด้วยเทหวัตถุนับล้านล้าน เขาก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “เทพสรรพชีวิตสามารถเข้าไปในโลกใดๆ ได้ตามที่ต้องการ แต่ท้องฟ้าของสันตินิรันดร์นั้นเป็นของปลอม สันตินิรันดร์ไม่มีปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของจริง ดังนั้นเทพสรรพชีวิตจึงไม่สามารถไปที่นั่นได้”

ผานกงสั่วไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน และเขาก็รับฟังจนงมงายไปโดยไม่รู้ตัว เขาโพล่งขึ้นมาทันที “หรือนี่หมายความว่า ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายที่พวกเรามองเห็นแล้วแต่เป็นของปลอม”

“ไม่ใช่ทั้งหมด”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “เมื่อยามรุ่งอรุณในแดนโบราณวินาศ ดวงอาทิตย์ที่เจ้าเห็นเป็นของจริง บางครั้งเจ้าจะเห็นดวงจันทร์และดวงดาวอันประปรายยามรุ่งสาง และของเหล่านั้นก็จริงเช่นกัน”

ผานกงสั่วตกตะลึง เขาพึมพำ “หากว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่มองเห็นได้จากแดนโบราณวินาศเป็นของจริง และพวกที่อยู่ข้างนอกเป็นของปลอม งั้นการปิดผนึกในแดนโบราณวินาศมีไว้เพื่ออะไร”

ฉินมู่ปรายตามองเขา “ก็เพื่อปิดผนึกผู้คนนอกแดนโบราณวินาศอย่างไรล่ะ ผู้สูงศักดิ์ไม่เคยนึกสงสัยเลยหรืออย่างไรว่าทำไมในบรรดาผู้คนนอกแดนโบราณวินาศจึงมีแค่สี่มหากายาวิญญาณ ขณะที่กายาวิญญาณในแดนโบราณวินาศทั้งแปลกและพิสดารนานา”

ผานกงสั่วห่อเหี่ยว “ปิดผนึกพวกเรา นี่มันเพื่อปิดผนึกพวกเรา…พวกเราทำอะไรผิดถึงโดนปิดผนึก?”

ผู้คนนอกแดนโบราณวินาศคอยแต่จะดูแคลนผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ และเรียกพวกเขาว่าผู้คนที่ถูกละทิ้ง

เดิมที ผานกงสั่วเป็นผู้สูงศักดิ์แห่งทุ่งหญ้า และเป็นผู้ก่อตั้งวังทองโหรวหลัน ดังนั้นเขายิ่งหมิ่นแคลนผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศเข้าไปใหญ่ เขามักจะไปคร่าตัวสัตว์พิสดารและผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศมาเพื่อฝึกวิชาหมอผี เมื่อฟังถ้อยคำของบรรพชนแรกเมื่อครู่ กลายเป็นว่ามันทำลายความเชื่อและความหยิ่งผยองของเขา!

หลังจากดำรงชีวิตมานานถึงหมื่นปี ก็ตอนนี้เองที่เขาสำเหนียกตนว่าเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง

ผู้คนที่ถูกเทพเจ้าละทิ้ง!

เขาไม่อาจเชื่อน้ำคำของฉินมู่ แต่เขาไม่มีข้อสงสัยต่อคำพูดของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก นั้นก็เพราะตัวตนของเขาคือกษัตริย์มนุษย์รุ่นแรกสุด บุรุษที่ได้นำบรรพชนแห่งทุกเผ่าพันธุ์หนีออกไปจากมหาภัยพิบัติ!

บรรพชนของผานกงสั่วก็อยู่ในบรรดาผู้คนเหล่านั้น!

ใครอาจจะโกหกเขาได้ มีก็แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่จะไม่โกหก

เรือเหาะทิ้งร่องรอยแสงเอาไว้เมื่อเหาะเหินไป และเส้นแสงเป็นทางนั้นค้างคาอยู่ในนภาประดับดาวเป็นเวลานาน เทพชื่อซีหันกลับไปมองและขมวดคิ้ว “แม้ว่าเรือนี้จะเร็ว แต่มันก็ไม่ได้ไร้เทียมทานในโลกหล้า ศัตรูคงจะสามารถค้นพบร่องรอยที่เรือสมบัตินี้ทิ้งเอาไว้ พวกเราจะต้องหยิบยืมเส้นทางจากเทพสรรพชีวิตและมุ่งหน้าไปยังโลกลอยเลื่อนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พวกเราไม่อาจปล่อยให้ศัตรูค้นพบตำแหน่งของโลกลอยเลื่อน!”

ฉินมู่จิตใจคึกคัก “หยิบยืมเส้นทางจากเทพสรรพชีวิต? หรือนี่หมายความว่าพวกเรากำลังจะได้พบเห็นตัวตนอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว”

“ยังเร็วเกินไป การเดินทางจากที่นี่ไปยังจุดที่เทพสรรพชีวิตดำรงอยู่จะใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน”

เรือเหาะเคลื่อนไปราวกับแสงอันวูบไหวและเงาที่พร่าพราย ฉินมู่และหลิงอวี้จิวนั้นกำลังฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิม แต่จู่ๆ เรือเหาะก็เขย่าสะเทือน และช้าลง ทั้งสองคนรั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับมา และเดินไปที่ดาดฟ้าเรือ พวกเขาเห็นเมืองเทพยดาอันใหญ่โตมโหฬารลอยโดดเดี่ยวอยู่ในนภาประดับดาว และก็มีดวงอาทิตย์ที่โคจรไปรอบๆ มัน

เมืองเทพยดานี้ปรักหักพัง มันได้ผ่านการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว ถูกทำลายลงไปในการต่อสู้

เรือเหาะเหาะไปยังเมืองเทพยดาแห่งนี้ และฉินมู่มองลงไป เขาเห็นรูปสลักเทพเจ้าอันสูงเยี่ยมมากมายที่ร่วงหล่นลงไปในเมือง และเทวรูปเหล่านั้นก็มีสามเศียรหกกร พวกมันจะต้องเป็นรูปสลักที่มาจากยุคสมัยแสงฉาน

ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงดาวอันแตกหัก และมีสิ่งก่อสร้างมากมายอยู่บนนั้น สิ่งก่อสร้างพวกนี้ก็มีแบบแผนแบบยุคสมัยแสงฉาน

เมื่อพวกเขาเดินทางไป เมืองเทพยดาอันพังภินท์นี้ก็ลอยอย่างเงียบเชียบอยู่ท่ามกลางทะเลดาว พวกเขายังสามารถเห็นซากศพนับไม่ถ้วนที่ลอยห้อยแขนขาอยู่ระหว่างเส้นทางอันพวกเขากำลังมุ่งหน้าไป

เมื่อหาสถานที่ให้พวกตนได้ลงหลักปักฐาน ยอดฝีมือแห่งยุคสมัยแสงฉานได้ทิ้งเทพเจ้าไว้เป็นจำนวนมากเพื่อปกปักพิทักษ์สหายร่วมเผ่าของพวกเขา ส่วนใหญ่แล้วก็ตายในการศึกที่นี่

ไม่ว่าขนบธรรมเนียมของยุคสมัยแสงฉานจะป่าเถื่อนมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงต่อสู้จนตัวตายเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

ในที่สุด เรือเหาะก็แล่นมาถึงเขตอันว่างเปล่า โลกมิติอันก่อขึ้นมาจากแสง

เรือเหาะแล่นเข้าไปในแสง และทุกๆ คนถึงกับมองไม่เห็นเงาของตนเอง แสงนี้สาดส่องมาจากทุกทิศทาง และไม่มีแง่มุมไหนให้ปรากฏเงา!

ฉินมู่หันกลับไปเพื่อมองจุดที่พวกเขาจากมา และร่างของเขาก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เขาถึงกับมองเห็นแดนโบราณวินาศที่ห่อหุ้มอยู่ในความมืด!

มันราวกับว่าแดนโบราณวินาศอยู่ตรงหน้าเขา!

แต่ทว่าเขาไม่อาจมองเห็นจักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่อยู่ข้างนอกแดนโบราณวินาศ!

เขาไม่อาจเห็นสันตินิรันดร์ ไม่อาจเห็นแผ่นดินตะวันตก และเขาก็ไม่อาจเห็นทะเลใต้ ทะเลเหนือ และทะเลตะวันออก!

สถานที่เหล่านั้นถูกคลี่คลุมไปด้วยเทหวัตถุปลอม ดังนั้นพวกมันจึงไม่ปรากฏให้เห็น

นอกจากแดนโบราณวินาศ เขายังเห็นสวรรค์ไท่หวง และสวรรค์หลัวฝู!

เขาเงยศีรษะขึ้น และเขาพลันรู้สึกเหมือนกับว่าได้ค้นพบโลกใหม่ ดวงดาวนับไม่ถ้วนฉายแสงส่องอยู่บนฟากฟ้า และโลกมิติทุกขนาด ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างต่างปรากฏอยู่บนม่านฟ้า บางโลกมิติถึงกับอยู่ในระหว่างการถูกทำลาย!

เมื่อมองจากมุมนี้ โลกเหล่านั้นได้กลายเป็นเล็กจิ๋วไปทั้งหมด และอยู่ใกล้พวกเขาแค่เอื้อม แต่ทว่า ฉินมู่ก็รู้ดีว่าอันที่จริงโลกมิติเหล่านั้นอยู่ไกลแสนไกล ดาวเล็กละเอียดเหล่านั้น อันที่จริงก็คือดวงตะวันมหึมา!

“ที่นี่คือแดนปริศนา สถานที่พำนักของเทพสรรพชีวิต มันถือได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามกับแดนใต้พิภพ” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวอย่างนุ่มนวล

ฉินมู่รีบกวาดตาไปรอบๆ และถาม “เทพสรรพชีวิตอยู่ที่ไหน”

“ข้างๆ กายพวกเรา”

ชื่อซีหันหัวกลับไปและเห็นว่าร่องรอยแสงที่เรือเหาะทิ้งเอาไว้ถูกแสงสว่างของที่นี่ปิดกลบไปหมด เขาระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าว “ตอนนี้พวกเรากำลังแล่นผ่านดวงตาของเขาข้างหนึ่ง หลังจากเหาะไปอีกสองวัน พวกเราก็จะสามารถมองเห็นดวงตาทั้งดวงของเขาได้”