ตอนที่ 117 ผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 117 ผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวง

มิมีใครสามารถเข้าใจความในใจของฟู่เสี่ยวกวนได้ แม้แต่ฝ่าบาทในยามนี้เองก็ยากที่จะเข้าใจ

มิว่าเยี่ยงไรก็ตามฉาวซ่านต้าฟูนี้ก็หมดหนทางจะเปรียบเทียบกับขุนนางกรมคลังได้ ถึงแม้จะเป็นขั้นห้า แต่ช่องว่างระหว่างนั้นก็ยังมีมากกว่าพันลี้

ด้วยชื่อเรียกฉาวซ่านต้าฟูนี้ หากมิใช่การเรียกเข้าเฝ้าจากองค์ฮ่องเต้ ก็มิอาจย่างก้าวเข้ามาในพระราชวังจินเตี้ยนได้ และมิมีกรมสังกัดเช่นกัน ไร้งานราชการโดยสิ้นเชิง แล้วจะมีเกียรติได้เยี่ยงไร ?

แต่ขุนนางในกรมคลังแตกต่างออกไป ขุนนางนั้นจะมีหน้าที่ที่รับผิดชอบเฉพาะบุคคล ทุกวันต้องมายังกรมคลังเพื่อเข้างาน หลังจากนั้นก็จัดทรัพย์สินและแรงงานอยู่ที่กรมคลัง จำต้องติดต่อกับหลายสำนักงาน

จัดทรัพย์สินและแรงงานอยู่ภายในวังหลวง ต่อจากนั้นก็จะได้รู้จักกับขุนนางอีกมากมาย หลังจากนั้นก็จะได้เข้าไปในแวดวงเหล่านั้น หากรู้จักวางตน ก็จะมีผู้สูงศักดิ์สนับสนุน และหากมีสหายที่ดีคอยผลักดัน ก็จะได้เข้าร่วมไปในวังวนของราชสำนักราวกับปลาได้น้ำ ถึงจะมีโอกาสโผบินจากพื้นไปสู่เมฆาได้

ดังนั้นเป็นตัวฟู่เสี่ยวกวนเองที่ตัดหนทางของตนเอง จนต่งคังผิงค่อนข้างผิดหวัง แต่ชางกวนเหวินซิ่วกลับยินดียิ่ง

“เสี่ยวกวนเสียนตี้ ตำแหน่งขุนนางนี้ดีนัก ภายภาคหน้าเจ้ามานั่งที่กั๋วจื่อเจี้ยนของทางข้าได้ กั๋วจื่อเจี้ยนมีหนังสือมากมาย เจ้ามาอ่านได้ทุกเมื่อ”

ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ยังคงคุกเข่าอยู่ หากฝ่าบาททรงยังมิตรัสเขาก็ยังมิสามารถลุกขึ้นได้ ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นในใจ และหันหน้าไปกล่าวขอบคุณกับชางกวนเหวินซิ่ว

ผู้อาวุโสผู้นี้เป็นคนดี !

“เจ้าลุกขึ้นเสีย” ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงตรัสขึ้นมา

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ !”

“จากสายตาของข้ามิควรมีเพียงเท่านี้ ในฐานะที่เจ้าได้รับนามว่าฉาวซ่านต้าฟูไปแล้ว วันปกติก็เข้าไปนั่งในกรมคลัง และรอการโยกย้ายจากเสนาบดีต่ง”

“หะ… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากจะเข้าวังหลวงนี่

เขาเพียงอยากมีแค่ตำแหน่ง หลังจากนั้นก็กลับหลินเจียง ดังนั้นแล้วหากมีคนคิดวางแผนใส่ร้ายเขา เยี่ยงนั้นแล้วก็ต้องผ่านการตรวจสอบจากทางศาลต้าหลี่ มิเหมือนกับฐานะในก่อนหน้านี้ แม้จะอยู่ที่หลินเจียงก็จะสำเร็จโทษเขาได้ทันที

องค์ฮ่องเต้ทรงเหลือบมอง เยี่ยงไรเล่า เจ้าหนุ่มนี่โง่หรืออย่างไรเล่า ?

โอ้ อย่างไรเนื้อในของเขาก็เป็นเพียงปัญญาชนทางวรรณกรรมเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วเยี่ยงนี้…

“ในวันปกติเจ้ายินยอมที่จะอยู่กรมคลังก็ย่อมได้ ยินยอมที่จะอยู่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ย่อมได้เช่นกัน เรื่องนี้ถูกกำหนดไว้เยี่ยงนี้ !”

ขุนนางมากมายต่างหันมองหน้ากันอีกครา มิถูกต้องแล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หยูมาจนถึงวันนี้เป็นระยะเวลาสองร้อยกว่าปีมิเคยมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อน !

นี่ได้รับความโปรดปรานไปมากมายถึงเพียงใดกัน? ถึงขั้นได้รับตำแหน่งที่ว่างงานและสามารถไปได้ทั้งสองกรม ทั้งยังมิต้องอยู่ภายในขอบเขตของสองกรมนี้

เห็นได้ชัดว่าองค์ฮ่องเต้ต้องการอุปถัมภ์ค้ำชูฟู่เสี่ยวกวน ถึงได้มีอิสระมากมายเพียงนี้ ก็เหมือนกับให้โอกาสแก่ฟู่เสี่ยวกวน ให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับอีกหลายหน่วยงานของราชสำนัก และได้รู้จักกับขุนนางมากมาย ชายผู้นี้ ได้จังหวะที่จะโผบินแล้ว

เมื่อได้ครุ่นคิดเมื่อครู่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่ามีสตรีอยู่ในใจสองคนแล้ว ต่งชูหลานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อีกหนึ่งคนก็มิอาจระบุตัวตนได้

ผู้ที่มีความตั้งใจก็นึกขึ้นได้ว่าองค์หญิงเก้าเคยประพาสไปยังหลินเจียง และที่เมืองหลวงหลายวันนี้ก็เหมือนจะมีข่าวคราวว่าฟู่เสี่ยวกวนและองค์หญิงเก้าอยู่ด้วยกัน เยี่ยงนั้นแล้วสตรีอีกหนึ่งคนที่ฟู่เสี่ยวกวนชมชอบมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นองค์หญิงเก้า!

แต่พระราชบุตรเขยมิสามารถดำรงตำแหน่งขุนนางของวังหลวงได้ แต่ฝ่าบาทก็ยังให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนาง มีสิ่งใดที่พิเศษอีกกัน ?

คิดมิออกแล้ว แม้จะคิดมิออก ก็ตัดสินใจไปหนึ่งเรื่องแล้ว หากภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทำผิดใหญ่หลวงอันใด เกรงว่าจะได้กลายเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวงไป !

ยังมิทันอายุครบสิบเจ็ดปีดีดัก ก็ประพันธ์ตำราจนเป็นที่พูดถึง ได้รับการสลักนามบนหินเชียนเปยสือ ถวายกลยุทธ์บรรเทาภัยพิบัติแก่ฝ่าบาท  ฝ่าบาทประทานตำแหน่งจิ้นซื่อให้ แต่งตั้งเป็นฉาวซ่านต้าฟูขุนนางขั้นที่ห้า ไปมาระหว่างกรมคลังและกั๋วจื่อเจี้ยนได้อย่างอิสระ เพิ่งผ่านไปได้นานเท่าใดกัน ?

เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่ชายผู้นี้ได้เข้าวัง แต่กลับทำเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนด่าทอจนกระอักเลือดและเป็นลมล้มพับไป

วันนี้เป็นครั้งที่สองที่ชายผู้นี้ได้เข้าวัง ก็ทำให้ฝ่าบาทปูนบำเหน็จรางวัลอย่างใหญ่โตเยี่ยงนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วเขากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ?

การตอบคำถามเมื่อวานยามบ่ายที่ห้องทรงพระอักษรก็มิได้มีการแพร่งพรายออกมา เหล่าขุนนางต่างมิทราบว่ากลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้นผ่านการพิจารณาและเริ่มนำไปใช้แล้ว สิ่งที่พวกเขาคิดคือนโยบายสงครามฉบับนั้นได้เข้าพระเนตรฝ่าบาทแล้วหรือไม่ ?

แต่การทดสอบของวังหลวงนั้นเลือกมาเพียงสามอันดับแรก และในตอนนี้จิ้นซื่อทั้งสามก็ได้มายืนอยู่ ณ ที่นี่แล้ว ยังมีที่ว่างในสามอันดับแรกให้ชายผู้นี้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

จิตใจของชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและสีส่วงต่างโศกเศร้ายิ่ง วันนี้เป็นวันที่ฝ่าบาทจะประกาศสามอันดับแรกของการทดสอบ ในวันนี้ ณ ที่นี่พวกเขาควรเป็นตัวเอกจึงจะถูกต้อง แต่ความสนใจเหล่านั้นกลับถูกฟู่เสี่ยวกวนแย่งชิงไปเสียจนหมด แม้แต่กั๋วจื่อเจี้ยนและกรมคลังต่างก็แย่งชิงตัวเขา แต่ชายผู้นั้นกลับมิยินยอมพร้อมใจ !

แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะทำอันใดกันแน่ ?

ชืออีหมิงอยากจะเข้าไปถามเหลือเกิน

ใช่ หาโอกาสฟาดเจ้าเด็กนี่สักครา แล้วไถ่ถามให้เต็มที่ !

ในยามนี้เหมือนว่าฝ่าบาทจะเพิ่งตระหนักได้ว่ายังมิได้ประกาศผู้ที่สอบได้สามอันดับแรกของการทดสอบ ดังนั้นเขาจึงกวักมือเรียก ขันทีเจี่ยได้ร่างพระราชโองการปูนบำเหน็จรางวัลของฟู่เสี่ยวกวนเสร็จแล้ว และวางลงบนโต๊ะมังกรขององค์ฮ่องเต้

องค์ฮ่องเต้หยิบตราขึ้นมาและประทับลงไป ขันทีเจี่ยกระแอมไอล้างลำคอ

“ฟู่เสี่ยวกวนรับราชโองการ !”

ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงคุกเข่าลงไปอีกครา

“ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์ฮ่องเต้มีพระบัญชาว่า ฟู่เสี่ยวกวนจากหลินเจียงมีแผนทางการเมืองอย่างเต็มเปี่ยม มีความรู้ในวิธีการปกครองบ้านเมือง เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า นอกจากนี้กลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้น ลึกซึ้งไปถึงใจของข้า สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากไฟและน้ำไว้นับหมื่นคน ข้าผู้ต้องส่งเสริมใต้หล้า เพื่อให้ประชาราษฎรของข้าได้รับพระกรุณาธิคุณกันถ้วนหน้า ดังนั้น ข้าจึงประทานตำแหน่งจิ้นซื่อแก่ฟู่เสี่ยวกวน และแต่งตั้งให้เป็นฉาวซ่านต้าฟู สามารถไปได้ทั้งกั๋วจื่อเจี้ยนและกรมคลัง ประทับตราองค์ฮ่องเต้”

ฟู่เสี่ยวกวนกู่ร้องทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน รับราชโองการมาจากมือของขันทีเจี่ย จนถึงตอนนี้ จิตใจของเขาถึงได้สงบลงอย่างแท้จริง

เขากลับหลังหันไปมองเหล่าขุนนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สองมือกอบกุมกันไว้ ในยามนี้ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปข้างหน้าและตบบ่าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเอง “ยินดีด้วยคุณชายฟู่ คุณชายฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ข้าชื่นชมอย่างแท้จริง วันใดมีเวลาว่าง ก็ขอเชิญคุณชายฟู่มานั่งเล่นที่จวนเยี่ยนได้ทุกเมื่อ”

“อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนให้เกียรติเยี่ยงนี้ ข้าน้อยจะขอรับไว้ ภายภาคหน้าจะไปเยี่ยมเยือนที่จวนของท่านเป็นแน่ จะขอน้อมฟังคำสอนของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน”

อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ต่างก็แสดงท่าทีออกมาแล้ว ขุนนางอีกร้อยชีวิตก็ควรจะแสดงท่าทีออกไปเช่นกัน

ดังนั้นคำอวยพรและคำเชื้อเชิญมากมายต่างมีมาไม่ขาดสาย สีหน้าของชือเฉาหยวนแข็งกระด้าง เจ้าเด็กนี่ คนต้อยต่ำได้รับลาภยศไปเสียแล้ว !

จิ้นซื่อทั้งสามต่างตกตะลึงอีกครา พี่ใหญ่ พวกข้ายังคงรอองค์ฮ่องเต้ประกาศอยู่นะว่าใครกันที่ได้เป็นจอหงวน

เจ้ารู้จักจอหงวนหรือไม่ ?

ที่หนึ่งในแผ่นดิน ที่หนึ่งในแผ่นดินเลยนะ !

จอหงวนในปีนี้ดูไร้รสชาติเสียมิมี… !

ชางกวนเหวินซิ่วเบียดเข้าไปมิได้ ทำได้เพียงตะโกนเสียงดัง “ฟู่เสียนตี้ ประเดี๋ยวเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าข้าจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก ! ”

“ขอรับ ! ”

ชื่อหลางกรมพิธีการสวี่หวยซู่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ สีหน้าค่อนข้างปลื้มปีติ ไม่ว่าเยี่ยงไร บุตรชายมิได้ความของน้องสาวในตอนนี้ดูจะมีโอกาสขึ้นมาแล้ว เพียงแค่ท้ายที่สุดแล้วเขานั้นจะเดินไปทางไหน ?

เรื่องนี้ต้องบอกกับบิดาสักหน่อยหรือไม่ ?

บิดาจะยอมรับหลานชายผู้นี้ได้หรือไม่ ?

ต่งคังผิงมิได้เข้าไปร่วมยินดีกับฟู่เสี่ยวกวน และเลือกที่จะพูดคุยกับเยี่ยนซือเต้าเป็นการส่วนตัว

“พี่เยี่ยน เรื่องนี้ยังคงดูที่ความตั้งใจของเด็ก ๆ อยู่หรือไม่ ? ”

เยี่ยนซือเต้ายิ้มบาง ๆ “น้องต่ง ต้นไม้ที่ไร้รากมิสามารถเติบโตได้ น้ำที่ไร้ตาน้ำก็มิอาจกลายเป็นทะเลสาบได้ คนที่ไร้รากฐานก็ยากที่จะเป็นหลักได้ เรื่องนี้มิต้องรีบร้อนไป คอยดูต่อไปอีกสองปี คิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ?”

ต่งคังผิงใจสั่นสะท้าน เข้าใจความหมายของเยี่ยนซือเต้าในทันพลัน

เยี่ยนซือเต้ามิถือหางฟู่เสี่ยวกวน เพราะ…เขามิมีอะไรเลยทั้งสิ้น !

“นี่มิใช่เจตนารมณ์ของข้า คิดว่าองค์หญิงใหญ่คงจะเคยมาพบเจ้า”

“มิเป็นไร คิดว่าองค์หญิงใหญ่เองก็คงมิอยากจะเห็นชูหลานต้องทนทุกข์เช่นกัน”