บทที่ 207
มันเป็นของข้าแล้ว
ลั่วอู๋ลืมตาขึ้นและก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่กลางป่าทึบเสียแล้ว แต่เขาก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่ตกลงไปในรังของสัตว์วิญญาณหรือเจอกับคู่แข่งคนอื่นในทันที
“จงออกมา”
ลั่วอู๋ใช้ไหปีศาจ ปล่อยผีหลายร้อยตัวออกมา
ผีเหล่านี้ล้วนเป็นสัตว์วิญญาณระดับระดับทองแดงมิติ 1 และ 2 ดังนั้นลั่วอู๋จึงสามารถปล่อยพวกมันหลายร้อยตัวออกมา เพื่อให้พวกมันทำงานตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่าพวกมันจะอ่อนแอมาก จนแม้แต่คนธรรมดาก็สามารถทำให้พวกมันตกใจกลัวได้ด้วยมีดทำครัวก็ตามที
แต่พวกมันมีข้อได้เปรียบที่สมบูรณ์แบบมากอยู่ข้อหนึ่ง
นั่นก็คือพวกมันมีสติปัญญา
“ทั้งหมดกระจายออกไป ถ้าพวกเจ้าพบใครหรือสัตว์วิญญาณเข้าใกล้ ให้กลับมารายงานข้าในทันที” ลั่วอู๋กระซิบ
เหล่าผีพยักหน้าจากนั้นก็กระจัดกระจายกันไป
กลุ่มผีลอยไปมาอยู่รอบ ๆ ลั่วอู๋ แม้มันจะค่อนข้างน่ากลัว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้อันตรายเลยแม้แต่น้อย
ลั่วอู๋เลือกที่จะหยุดลงพักผ่อนก่อน
ตลอดการเดินทางเขาเหนื่อยล้ามากแล้ว และต้าหวงเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องการการพักผ่อนที่ดี มันจะเป็นการดีที่สุดหากไม่ไปต่อสู้กับใครในเวลานี้
ต้องบอกว่าเลยว่าความสามารถของผีเหล่านี้อยู่ในระดับที่ไม่เลวเลยทีเดียว พวกมันรู้จักวิธีแยกแยะว่าสิ่งใดนั้นอันตรายและสิ่งใดไม่เป็นอันตราย
มันเหมือนกับว่าถ้าพวกมันเจองูหลามยักษ์ที่น่าจะพบได้ทั่วไป พวกมันก็จะปล่อยไปเฉย ๆ
แต่ถ้าเจอเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์ในที่แบบนี้ ดูผิดวิสัย พวกมันจะกลับมาเตือนในทันที
ประมาณสามชั่วโมงต่อมาลั่วอู๋ก็กลับออกมาจากมิติไห ในสภาพที่ทั้งทางร่างกายและพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม
แต่ลั่วอู๋ก็ไม่ได้เรียกเหล่าผีกลับมา เพราะเขาพบว่าผีเหล่านี้สามารถตรวจจับอันตรายได้ดี ซึ่งเหมือนกับการมีดวงตาคอยสอดส่องระวังอันตรายให้กับเขาหลายร้อยดวง
“พวกเจ้าคอยตรวจสอบต่อไปให้ข้า ไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบและรายงานการเปลี่ยนแปลงให้ข้าทราบด้วย” ลั่วอู๋ออกคำสั่ง
จากนั้นพวกมันก็ทำตามหน้าที่สำรวจสภาพแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมา
นี่มันช่างสมบูรณ์แบบ
ลั่วอู๋มองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบ ที่นี่เป็นป่าทึบดึกดำบรรพ์ที่แทบไม่มีร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์อยู่เลย พืชทุกชนิดเติบโตอย่างไร้การควบคุม
มีร่องรอยมากมายของสัตว์วิญญาณที่นี่ ซึ่งผสมผสานระหว่างร่องรอยเก่าและความใหม่ทำให้เขารู้สึกว่า อาจจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์วิญญาณที่อันตรายได้ในทุกที่ทุกเวลา
จังหวะนั้นเองจากข้างในมิติไห ต้าหวงได้ส่งข้อความมาบอกเขาว่าแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาแมลงเริ่มตรวจจับลมปราณของพวกเดียวกันได้จากบริเวณใกล้เคียง
ใบหน้าของลั่วอู๋เริ่มเคร่งเครียดในทันที
ดูเหมือนว่าเขาจะได้พบกับหยีเทียนเฉินซะแล้ว
ลั่วอู๋เรียกเหล่าผีหลายร้อยตัวกลับมา เพราะเขาต้องใช้พลังวิญญาณในการควบคุมพวกมัน
หากเขาจะต้องควบคุมแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาไปพร้อมกับเหล่าผีละก็ พลังวิญญาณของเขาจะไม่พอ การใช้ความสามารถพิชิตควบคุมสัตว์วิญญาณระดับทองเพียงตัวเดียวก็ถึงขีดจำกัดของลั่วอู๋แล้ว เขาจึงไม่สามารถควบคุมผีพวกนี้ได้อีก
……
……
หยีเทียนเฉินเดินไปมาอย่างอิสระในพื้นที่ล่าสัตว์
เขามีแผ่นหยกเจ็ดใบที่เอวของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาเอาชนะผู้เข้าทดสอบมาแล้วอย่างน้อยหกคน ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่วันแรกเท่านั้น
การสอบคัดเลือกในรอบนี้นั้นค่อนข้างโหด
จู่ ๆ หยีเทียนเฉินก็รู้สึกใจสั่น มันไม่ใช่ความรู้สึกจากตัวของเขาเอง แต่เป็นความรู้สึกที่มาจากสัตว์วิญญาณ คู่พันธสัญญาของเขา – แมลงกินวิญญาณระดับนางพญา
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” หยีเทียนเฉินถาม
แมลงกินวิญญาณระดับนางพญาตอบทันควัน : มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์วิญญาณชนิดเดียวกัน และอีกฝ่ายก็มีพลังมากทีเดียว
ปฏิกิริยาแรกของหยีเทียนเฉินคือความตื่นเต้น
มีแมลงกินวิญญาณที่ทรงพลังในพื้นที่ล่าสัตว์นี้งั้นเหรอ? หรือว่าจะเป็นแมลงกินวิญญาณระดับนางพญา? หากปล่อยให้แมลงกินวิญญาณระดับนางพญาของเขากินมันเข้าไป ความแข็งแรงของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
มันยากมากที่จะปรับแต่งเพาะพันธุ์แมลงกินวิญญาณระดับนางพญา
ดังนั้นมันจึงยากที่เขาจะสามารถพัฒนานางพญาของเขาให้ยกระดับขึ้นไปได้ไกลกว่านี้
“ข้าต้องหามันให้เจอ” หยีเทียนเฉินบินไปยังทิศทางตามที่แมลงนางพญาบอก แต่เมื่อเขาไปถึงที่หมาย ก็พบว่าจู่ ๆ ลมปราณนั้นก็หายไป
หยีเทียนเฉินมองไปรอบ ๆ สภาพแวดล้อมอย่างสงสัย
กลิ่นของแมลงกินวิญญาณหายไปไหนแล้ว ?
ในเวลานี้นัยน์ตาของเขาเป็นประกายมองลึกเข้าไปในป่าทึบ จากนั้นก็ซ่อนร่างของเขาและให้ความสนใจกับสถานการณ์โดยรอบอย่างระมัดระวังและรอบคอบ
เขาเห็นลั่วอู๋เดินผ่านมา
ลั่วอู๋เดินมาพร้อมกับสุนัขสีเงินตัวใหญ่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขากำลังติดตามอะไรบางอย่างอยู่
“เป็นเรื่องจริงสินะ ที่ศัตรูย่อมจะมีชะตาต้องเข้าห้ำหั่นกัน” หยีเทียนเฉินหัวเราะเยาะในความมืด “ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้ามีความสามารถในการกำจัดแมลงกินวิญญาณของข้าได้ จริง ๆ หรือไม่”
แมลงกินวิญญาณสีทองหลายร้อยตัวคลานออกมาจากแขนเสื้อของเขาและพุ่งเข้าไปในป่า พวกมันล้อมรอบลั่วอู๋อย่างเงียบ ๆ
มันเป็นทักษะวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขา
การใช้แมลงกินวิญญาณระดับนางพญาสั่งแมลงกินวิญญาณเหล่านี้จะสามารถโจมตีกลืนกินพลังวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่ต้องมีข้อควรระวังใด ๆ และคู่ต่อสู้จะกลายเป็นลูกแกะที่ถูกฆ่าได้อย่างง่ายดาย
การเคลื่อนไหวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อเขา
และดูเหมือนลั่วอู๋จะเป็นเหยื่อรายต่อไปที่จะต้องถูกแมลงกินวิญญาณกลืนกินโดยไม่รู้ตัว
ลั่วอู๋ยังคงจ้องมองไปที่ร่องรอยบนพื้น
“ตายซะ” ดวงตาของหยีเทียนเฉินเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
เขาเริ่มคิดค้นหาวิชาลับของอีกฝ่ายหลังจากฆ่าเขาแล้ว
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือปากของลั่วอู๋ถูกหุบยิ้มอย่างแปลก ๆ
ขณะที่แมลงกินวิญญาณหลายร้อยตัวกำลังจะพุ่งเข้าใส่เขาแสงสีขาวก็เปล่งออกมาจากลั่วอู๋ และทันใดนั้นแมลงกินวิญญาณขนาดเท่าตะปูก็ปรากฏตัวขึ้น
“แกร็ก … ”
ด้วยเครื่องหมายรูปดาวสิบสองดวงบนปีกของมันแมลงกินวิญญาณก็ส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
ร่างกายของหยีเทียนเฉินสั่นและใบหน้าของเขาแสดงท่าทางที่ไม่เชื่อสายตาตนเอง
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
……
มันเป็นไปได้อย่างไร?
หยีเทียนเฉินคำรามในใจ: อีกฝ่ายมีแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาได้อย่างไรกัน
สัตว์วิญญาณเก่าแก่เหล่านี้นั้น ตระกูลของเขาในหุบเขามรณะได้ทำงานอย่างหนักมานานหลายทศวรรษ เพื่อสร้างสัตว์วิญญาณประเภทนี้ขึ้นมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามกลับมีแมลงกินวิญญาณที่สมบูรณ์แบบอยู่ในโลกภายนอกด้วยอย่างงั้นเหรอ?
ความมั่นใจของหยีเทียนเฉินได้รับผลกระทบอย่างมาก
เขาคงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาในมือของลั่วอู๋นั้น แท้จริงแล้วเป็นตัวที่เขาส่งไปเพื่อจัดการกับลั่วอู๋ แต่ลั่วอู๋ได้ทำการปรับแต่งมันจนกลายเป็นระดับนางพญาก็เท่านั้น
ถึงบอกไปเขาก็คงไม่อยากจะเชื่อ
เหล่าแมลงกินวิญญาณที่ได้ยินคำสั่งจากนางพญาอีกตัว ก็เริ่มสับสนในทันที พวกมันไม่พอใจอย่างมากและอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ลั่วอู๋ขมวดคิ้วและเสียงของแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาในมือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเหล่าแมลงกินวิญญาณเหล่านั้นที่บุกเข้ามาโจมตีหยุดลงอยู่กับที่และยอมจำนนในทันที
เมื่อแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาสองตัวมาต่อสู้กันเพื่อแย่งการควบคุม ฝ่ายที่ยิ่งอยู่ใกล้นั้นก็ยิ่งเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
มันได้เกิดขึ้นแล้ว
ซึ่งตอนนี้ก็เป็นฝ่ายของลั่วอู๋ที่อยู่ใกล้กับฝูงแมลงกินวิญญาณมากกว่านั่นเอง
“ฮ่าฮ่า ข้าขอรับพวกมันไปล่ะ” ลั่วอู๋ได้ใช้ความสามารถในการรับสัตว์วิญญาณเข้าไปในมิติไหของไหปีศาจ รวบรวมแมลงกินวิญญาณหลายร้อยตัวลงในไหปีศาจรวดเดียว
หยีเทียนเฉินหายจากอาการตกใจและรู้สึกได้ว่าการเชื่อมต่อกับแมลงกินวิญญาณเหล่านั้นถูกตัดขาดออกจากเขาโดยสิ้นเชิง เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดใจในทันที “อา! แมลงกินวิญญาณของข้า”
แมลงกินวิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นดั่งสมบัติของเขา
หากไม่มีแมลงกินวิญญาณเหล่านี้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขาจะลดลงอย่างมากและความสามารถในการปรับแต่งพลังวิญญาณของเขาเองก็จะลดลงไปหลายระดับ
“ขอโทษด้วยนะ แต่ตอนนี้พวกมันได้กลายเป็นแมลงกินวิญญาณของข้าแล้ว” ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ
เขาไม่ได้เป็นฝ่ายที่ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองก่อน อีกฝ่ายต่างหากที่ส่งแมลงกินวิญญาณเข้าไปในร่างของเขาเพื่อพยายามทำร้ายเขาก่อน
ตอนนี้ลั่วอู๋จึงไม่มีความกรุณาใด ๆ ให้กับอีกฝ่าย
หยีเทียนเฉินคำราม “ข้าจะฆ่าเจ้า”
ทันใดนั้นรอยสักตะขาบบนแขนขวาของเขาก็สว่างขึ้น มีตะขาบสีม่วงพุ่งออกมาจากแขนของเขา
ตัวของตะขาบยักษ์มีความยาวมากกว่าสิบเมตร เขี้ยวอันน่ากลัวของมันเปล่งแสงออกมาและมีหมอกสีขาวจาง ๆ ล้อมรอบตัว
หมอกสีขาวนี้ไม่ใช่ลมหายใจธรรมดา แต่มันเป็นหมอกพิษ
มันคือสัตว์วิญญาณระดับทอง – ตะขาบหัวใจสีม่วง