Ep.168 เยี่ยมเยียนสํานักบนยอดเขา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

Ep.168 เยี่ยมเยียนสํานักบนยอดเขา

 

“พรึบ!”

 

นกสีขี้เถ้ากระพือปีกบินออกจากห้อง จินซ่านปังสอดกระดาษแผ่นหนึ่งที่ได้จากนกไว้ใต้หนังสือเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“เข้ามาได้”

 

จินเสี่ยวถังเดินยิ้มเข้ามา “ท่านพ่อ…ข้าได้ยินเสียงนกเมื่อครู่ มีใครส่งจดหมายมาหรือเจ้าคะ?”

 

“อืม…”

 

จินซ่านปังโบกมือพัดความร้อนจากถ้วยชาพร้อมกับหันมายิ้ม “มิใช่เรื่องสําคัญอันใด สหายข้า เพียงส่งจดหมายมาทักทาย แล้ว..หลินมู่อวีมาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”

 

จินเสี่ยวถังลอบมองด้านหลังของจินซ่านปัง เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตราตาบไขว้ประทับสอดอยู่ใต้กองหนังสือซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของสํานักอัศวิน และข้อความสีแดงสดที่ปรากฏ บนกระดาษหมายความว่าผู้ที่เขียนอย่างน้อยต้องเป็นสมาชิกระดับทูตการท่องเที่ยว แก้วชาที่เคยร้อนได้ถูกจินซ่านปังหยิบขึ้นมา มันอุ่นกําลังพอดีไม่จําเป็นต้องวางทิ้งไว้ให้เย็นอีกต่อไปแล้ว

 

“เขาเพียงแต่ถามว่าเราจะหาดอกบัวเจ็ดสีได้เมื่อไหร่ ท่านพี่ใหญ่อาอวีมีเงินไม่พอเจ้าค่ะ” จินเสี่ยวถังยิ้มตอบ

 

จินซ่านปังหรี่ตา “หลินมู่อวีเป็นองครักษ์อวี้หลินที่ถูกส่งไปอยู่หน่วยองครักษ์อินทรีที่ยากไร้ ไม่แปลกหากเขาจะไม่มีเงิน ช่างเถิด…แล้วสินค้าจากมณฑลหยุนจงมาถึงหรือยัง?”

 

“ยังไม่ถึงเจ้าค่ะ ท่านพ่อต้องการสินค้านั้นด่วนหรือ?”

 

“ไม่เป็นไร…ข้าเพียงถามถึง เสี่ยวถังเจ้าจงเข้าเมืองหลันเยี่ยนและจ้างช่างตีเหล็กที่ดีที่สุดมาข้าจะต้อาวุธสักหน่อย”

 

“หืม?” จินเสี่ยวถังสงสัย “เช่นนั้นแล้วเรายังต้องการให้ท่านพี่ใหญ่อาอวี่ทําอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”

 

“หลินมู่อวีเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมระดับสูง เราคงไม่จําเป็นต้องรบกวนเขาในครานี้ถึง การโอบต้นไม้ใหญ่จะไม่ง่าย ทว่าเราก็ไม่ควรพึ่งพาเข้ามากจนเกินไป”

 

“หากท่านพ่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าก็พร้อมทําตามเจ้าค่ะ”

 

“อืม”

 

จนเสียวถังเดินออกไปด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย

 

“กุบกับ…กุบกับ…”

 

ก่อนที่หลินมู่อวี่ควบม้าขึ้นเขาอินทรี เขาได้สั่งให้เว่ยโฉวคอยดูแลคนในหน่วย โดยปกปิดความจริงที่ว่าตนออกจากค่ายมา จะให้ใครรู้ไม่ได้จนกว่าจะกลับไป

 

หลินมู่อวีสวมใส่ชุดเกราะสีเขียวพร้อมติดเหรียญตราทหารรับจ้างไว้บนอก ซ่อนกระบี่เหลียวหยวนไว้ใต้เสื้อคลุมดํา แม้แต่มาที่ตนขอยู่ก็จําเป็นต้องซื้อใหม่ เนื่องจากม้าของเหล่าองครักษ์หลินรวมทั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์พวกมันล้วนเป็นม้าสายพันธุ์พิเศษและมีสัญลักษณ์พิเศษที่บั้นท้าย และกีบเท้าเพื่อให้ง่ายต่อการจํา

 

“พรึบ!”

 

หลินมู่อวีกางม้วนกระดาษ มองหาเส้นทางไปสํานักอัศวินเสี่ยวหลิน เมื่อตะวันใกล้ลับฟ้า เขาจึงต้องเร่งควบม้าไปให้ถึงที่หมายก่อนมืดค่ํา

 

เมื่อเลาะไปตามขอบปาล่ามังกร หลินอวีได้พบหมู่บ้านหลายแห่งระหว่างทางทว่าไม่มีใครอยู่ กระทั่งอีกสิบไมล์จะถึงสํานักอัศวินเสี่ยวหลิน เขาเห็นสมาชิกของสํานักกลุ่มหนึ่งที่พกดาบและมีเหรียญตราสีเขียว สีขาว สีเงิน และสีทองแดงบนหน้าอก เพราะไม่รู้ว่าเหรียญตราเกี่ยวข้องกับลำดับขั้นอย่างไร หลินมู่อวีจึงไม่ใส่ใจและเดินทางต่อ

 

ก่อนพลบค่ํา หลินมู่อวีมาถึงภูเขาไร้ชื่อลูกหนึ่งซึ่งมีถนนคดเคี้ยวยาวขึ้นไปถึงยอดเขา บริเวณ ทางขึ้นมีต้นไม้ใหญ่ถูกตัดและลอกเปลือกไม้ออกโดยมีสีแดงสดถูกสลักไว้ตรงเนื้อไม้สํานักอัศวิน เสี่ยวหลิน! เขามาถึงแล้ว!

 

หลินมู่อวีบังคับม้าให้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ พบว่ามีสมาชิกแปดคนคอยเฝ้าทางเข้าอยู่ด้วยหน้าตาไม่เป็นมิตร นอกจากชื่อสํานักอัศวินที่ใช้ หลินมู่อวีรู้เกี่ยวกับคนพวกนี้น้อยมาก สิ่งเดียวที่ทําให้สํานักอัศวินแตกต่างจากทหารรับจ้างคือมีจํานวนที่มากกว่า

 

กระนั้นสํานักอัศวินที่กล้าทําร้ายองค์หญิงแห่งจักรวรรดิและองค์หญิงของเมืองชีให่นั้นก็ถือได้ ว่าห้าวหาญกว่าทหารรับจ้างทั่วไปนัก

 

“เจ้าเป็นใคร?!”

 

หนึ่งในทหารยามหันคมดาบชี้หลินมู่อวี “มาที่นี้ด้วยธุระอันใด?”

 

หลินมู่อประสานมือคํานับและพูดตามที่จินเสี่ยวถังเคยสอนไว้ “ข้าเดินทางมาจากเจียงหู่ มีนามว่าหลินหยานเป็นทหารรับจ้างจากเมืองหลันเยี่ยน ขากําลังตามหาสํานักอัศวินนั่นก็เพราะต้องการจะขอเข้าร่วมสํานัก โลกภายนอกนี้ช่างโหดร้ายนักข้าจึงอยากได้ที่พักพิงขอรับ”

 

“เจ้าอยากเข้าสํานักอัศวินงั้นรึ?” อัศวินถาม

 

“ขอรับ”

 

“ฮ่าๆๆ” อัศวินผู้นั้นหัวเราะอย่างไม่เป็นมิตรชักดาบออกจากฝักและตะโกนลั่น “ หากเจ้าอยากเข้าร่วมสํานักอัศวิน ก็ต้องสังหารอัศวิน! เช่นนั้นเจ้ายังอยากจะเข้าอยู่หรือไม่เจ้าหนู?”

 

ชายผู้นี้เป็นเพียงยอดฝีมือขอบเขตมนุษย์ขั้นหนึ่งยังไม่ถึงระดับสิบด้วยซ้ํา แต่เพราะความกล้าบ้าบินที่มีคงทําให้ถูกเลือกเป็นคนเฝ้าประตู

 

หลินมู่อวีแทบไม่ปลายตามอง รวบรวมพลังและกระแทกลมจากฝ่ามือออกไป!

 

“พลั่ก!”

 

ไม่ทันได้เห็นการเคลื่อนไหวของหลินมู่อวี่ อัศวินก็ถูกผลักกระเด็น! เลือดและลมปราณแตกกระจาย ทําให้ไม่สามารถรวมปราณยุทธ์และสู้กลับได้ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ํา “เจ้า…เจ้าชนะ แล้ว เข้าไปได้!”

 

หลินมู่อวีโบกมือลาและควบม้าขึ้นเขาไปด้วยรอยยิ้ม

 

ทหารเฝ้าประตูอีกเจ็ดคนที่เหลือไม่กล้าแม้แต่จะมอง ทําเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและ ปล่อยหินมู่อวีขึ้นเขาไป

 

ม้าของหลินมู่อวี่ที่ส่งเสียงร้องตลอดทางขณะก้าวเท้าเดินไปอย่างช้าๆ ตามถนนเส้นนี้มีบ้านหลัง สีขาวและสีดําตั้งเรียงราย..บ้านเหล่านั้นคงจะเป็นที่พักที่ถูกสร้างเอาไว้เพื่อรอเหล่าอัศวินมาอยู่กระมัง บ้านที่ตั้งอยู่จํานวนมากทําให้หลินมู่อวีคิดภาพตามได้ว่าคนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้คงจะมากโข อยู่ไม่น้อย ทันใดนั้น! จู่ๆ ก็มีเสียงอึกทึกเล็ดลอดออกมาจากป่าทึบ เสียงนั้นคล้ายกับว่ากําลังมีคนฝึกรบ.ล่าสัตว์อะไรทํานองนั้น

 

ด้านนอกศูนย์บัญชาการมีสมาชิกจํานวนหนึ่งกําลังฝึกซ้อมรบกับหุ่นฟางและขี่ม้า หลินมู่อวีควบม้าเข้าไปช้าๆ เมื่อเหล่าทหารเห็นเข้าก็ต่างพากันหยุดมองหลินมู่อวีราวกับกําลังดูลิงในสวนสัตว์

 

“ดูเจ้าบ้านั่นสิ สวมชุดทหารรับจ้างยังจะกล้าเหยียบเข้ามาในสํานักอัศวิน รนหาที่ตายชัดๆ”

 

“ไอ้โง่ รู้หรือไม่ว่าทหารรับจ้างกับสํานักอัศวินไม่ลงรอยกัน?”

 

“ลงจากม้าเดี๋ยวนี้”

 

“ไอ้สารเลว หากเจ้ากล้าจ้องหน้าข้าอีก ข้าจะสังหารตระกูลเจ้าให้สิ้น!”

 

หลินมู่อวีขมวดคิ้ว ดูเหมือนสํานักอัศวินจะปาเถื่อนกว่าทหารรับจ้างเสียอีก แม้แต่พวกกลุ่มเหยี่ยวทมิฬยังไม่โหดร้ายเท่านี้

 

เท่าที่ดูทุกคนมีเหรียญตราสํานักอัศวินบนหน้าอกทั้งสีทองแดง สีเงิน สีทองและสีขาว คงจะมีการแบ่งลําดับขั้นเหมือนกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหลินมู่อวปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณไปรอบๆ สมาชิกที่มีเหรียญตราสีทอง พบว่ากลุ่มนี้มีพลังเทียบเท่าปรมาจารย์สงครามระดับสี่สิบถึงห้าสิบ ทว่า ด้อยกว่าองครักษ์อวี้หลินและสมาชิกเหรียญทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่แปลกใจที่สํานักอัศวินเที่ยบชั้นกับองครักษ์อวี้หลินไม่ได้

 

หากคิดจะใช้พลังเพียงเท่านี้ลอบสังหารฉินอินคงทําได้แค่ฝันเท่านั้น หลินมู่อวีคิดแล้วเผลอยิ้มออกมา

 

เหล่าทหารในสํานักอัศวินเมื่อเห็นรอยยิ้มของหลินมู่อวีต่างพากันโมโหเพราะคิดว่าตนกําลังถูกหยามเกียรติ…จนกระทั่งสมาชิกเหรียญทองคนหนึ่งถือขวานยักษ์ตรงเข้าไปหาหลินมู่อวีพร้อมตะโกนลั่นอย่างฉุนเฉียว “ไอ้คนสกปรก! มีสิ่งใดน่าขันงั้นรึ? ถึงได้เผยรอยยิ้ม อันอัปลักษณ์ออกมา หากยังไม่หยุดเย้ยหยัน ข้าจะเด็ดหัวของเจ้า!”

 

ใบหน้าดุดันที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนั้นน่าเกลียดเป็นที่สุด…การถูกคนอัปลักษณ์เรียกว่าอัปลักษณ์มันไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ ทว่าหลินมู่อวีไม่สามารถแสดงความคิดนั้นออกไปได้จึงได้แต่เก็บงําความโกรธนั้นไว้

 

“ข้ามาเพื่อขอเข้าร่วมสํานักขอรับ” ขณะลงจากม้า หลินมู่อวีได้ล้วงจดหมายแนะนาของจินเสี่ยวถังออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยืนมันให้คนด้านหน้านี้ด้วยความเคารพ “จดหมายแนะนําตัวของข้า ท่านช่วยอ่านได้หรือไม่?”

 

หลินมู่อที่มีประวัติโดดเด่นครั้งยังเป็นคุณชายแห่งหลงชินกรุ๊ป เขาได้รับการศึกษาอย่างดี ซึ่งสิ่งที่เขาได้เรียนรู้คือการไม่ดูถูกและควรให้ความเคารพกับทุกคน

 

ชายแก่ที่ยกขวานเผยท่าทึกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นเด็กเมื่อวานขึ้นปฏิบัติกับตนอย่างนอบน้อม เช่นนี้ เขารับจดหมายจากหลินมู่อวีและเอ่ยขึ้น “อย่าเรียกข้าว่าท่านเฉยๆ…ข้าไม่ใช่ทหารของพวกหลันเยี่ยน ข้ามีนามว่าหลงหยาน จงเรียกข้าว่าท่านหลงหยาน!”

 

“…” หลินมู่อวีไม่รู้จะตอบเช่นไร

 

หลงเหยียนคว้าจดหมายแนะนําและเปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาหลินมู่อวี “นามเจ้าคือหลินหยานหรือ? ตามข้ามา…ท่านผู้นาอิซื้อยากพบเจ้า!”

 

“รับทราบขอรับ!” หลินมู่อวีผูกม้าไว้และขึ้นบันไดตามหลงหยานไปในศูนย์บัญชาการ

 

ทหารองครักษ์เฝ้าศูนย์บัญชาการที่มีเพียงไม่กี่คน พวกเขาจ้องมองมายังหลินมู่อวี แต่ละคน ใช้อาวุธและสวมเกราะชั้นดี ขณะเดินผ่านโถงใหญ่เขาสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายจากเหล่าองครักษ์ ความมืออาชีพและน่าเกรงขามของทหารด้านนอกนั้นเทียบไม่ติดเลยเมื่อได้เจอกับทหารรักษาการณ์ในศูนย์บัญชาการ คนพวกนี้ดูและนักฆ่ามืออาชีพเสียมากกว่า!

 

สํานักอัศวินขึ้นชื่อเรื่องการต่อสู้แบบกลุ่ม หลินมู่อวีเคยเจอมากับตัวเมื่อครั้งถูกไล่ล่าที่เมือง หยินซาน…พวกทหารม้าของในการล่าสังหาร แม้จะมีพลังเพียงแค่ระดับสิบก็สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามสิบได้อย่างง่ายดาย อย่างเช่นในเกมไม่ว่าผู้เล่นหนึ่งคนจะเก่งเพียงใดเมื่อถูกรุม แล้วอย่างไรเสียก็แพ้

 

พื้นของศูนย์บัญชาการถูกปด้วยอิฐสีแดงเข้ม เมื่อหลินมู่อวีเข้าไปด้านในก็พบว่าทุกอย่างตั้งแต่ พื้นกระเบื้องยันโคมไฟล้วนเป็นวัสดุเคลือบเงาทั้งหมด มีกระทั่งแผนที่รบแขวนอยู่บนเพดาน ความหรูหราของศูนย์บัญชาการแห่งนี้เมื่อเทียบกันแล้วไม่ด้อยไปกว่าตําหนักเจ้อเทียนเลย

 

“เจ้าคงเป็นหลินหยาน? จงเงยหน้าขึ้น”

 

เสียงเย็นเยียบตรงหน้าหลินมู่อวีเอ่ยถาม