ตอนที่ 329 เครือญาติจวนตระกูลเฟิ่ง! + ตอนที่ 330 มักใหญ่ใฝ่สูง!

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 329 เครือญาติจวนตระกูลเฟิ่ง!

สิ้นเสียง เขาก็ไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทนั่นจริงๆ

“ฉีคัง” ทุกคนต่างตะโกนเสียงเข้มเรียกเขาไว้

องครักษ์ที่เดินไปคนนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับมามองพวกเขาแวบหนึ่ง พร้อมด้วยความไม่แยแสที่มาพร้อมใบหน้ายิ้มเยาะ “พวกเจ้ากังวลเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้จะทำอะไรผู้นำตระกูล แค่อยากรู้เลยจะเข้าไปดูเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก”

กล่าวจบเขายื่นมือผลักไปทางประตูห้อง และในเวลานี้เอง มือที่ยื่นออกไปก็ถูกคนคว้าไว้ ครั้นหันมองเล็กน้อยจึงเห็นว่าเป็นหลัวอวี่ที่กำลังจับมือเขาไว้

“หลัวอวี่ เจ้าทำอะไรน่ะ?”

หลัวอวี่มองเขาด้วยสีหน้าขรึมเล็กน้อย นัยน์ตามีความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉีคัง ตอนไปนายท่านสั่งพวกเราให้เฝ้าอยู่ตรงนี้ หากไม่ได้รับอนุญาตก็เข้าไปไม่ได้ ตอนนั้นเจ้ารับปากแล้ว อย่าทำให้พวกเราลำบากเลย”

เห็นความเคร่งเครียดและจริงจังในดวงตาเขา ฉีคังตกใจอยู่บ้าง นิ่งไปพักหนึ่งจึงดึงมือกลับแล้วก้าวเท้าถอยไป เมื่อหันกลับมามองหลายคนด้านหลังก็เห็นสีหน้าที่ทั้งเคร่งและเฉียบขาด จึงยิ้มขอโทษพวกเขาไป

“ขอโทษด้วย ข้าแค่อยากรู้นิดหน่อย ไม่เข้าไปแล้วก็ได้”

เดิมทีไม่ได้มองว่าเรื่องนี้ร้ายแรงอะไรนัก ทว่าตอนนี้เห็นพวกเขาแต่ละคนเป็นเช่นนี้ กลับทำให้เขาใจเสียขึ้นมา เขาไม่มีความคิดอื่นจริงๆ แค่อยากรู้สภาพร่างกายผู้นำตระกูลตอนนี้ นึกไม่ถึงว่าความหุนหันพลันแล่นชั่วขณะเกือบจะทำให้เหล่าพี่น้องต้องลำบาก

ฉีคังเด็กที่สุดในแปดคนนี้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล หลังจากตระหนักถึงความผิดพลาดก็จะขอโทษและแก้ไขทันที พวกเขาเห็นเช่นนี้จึงถอนหายใจเบาๆ ถึงจะวางใจลงได้

อันที่จริง พวกเขาต่างไม่รู้ว่าเฟิ่งจิ่วไม่เพียงสั่งให้พวกเขาเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ให้ใครเข้าไป แต่ยังสั่งให้องครักษ์ลับปฏิบัติตามคำสั่งอารักขา หากมีใครเข้าไปเองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้สังหารทันที!

และการเคลื่อนไหวภายในเรือนนี้ ก็ต้องมีองครักษ์ลับคอยรายงานเธอเป็นอย่างๆ ต่อให้เธอไม่อยู่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่อย่างชัดเจน

สองวันต่อมา เฟิ่งจิ่วตั้งใจรีบร้อนกลับมาจากด้านนอก ทว่าครั้งนี้กลับให้ผู้คนในเมืองเห็นตัวและรู้ว่าเธอกลับมาแล้ว

ครั้นข่าวการกลับมาของเฟิ่งจิ่วกระจายไปในเมือง มู่หรงอี้เซวียนก็ไปจวนตระกูลเฟิ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่จวนจะเห็นด้านนอกมีคนสิบกว่าคนคอยอยู่ จึงเอ่ยเสียงเบาสั่งผู้ติดตามด้านหลังให้ไปถาม สักพักถึงรู้ว่าที่แท้ก็เป็นเครือญาติสาขาของจวนตระกูลเฟิ่ง

เห็นดังนั้นเขากลับไม่ตรงเข้าไป แต่หาโรงน้ำชาที่ห่างจากจวนตระกูลเฟิ่งไม่ไกล นั่งลงดื่มชาอยู่บนชั้นสอง ขณะเดียวกันก็สังเกตการณ์ประตูใหญ่จวนไปด้วย

“ท่านผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ด้านนอกมีเครือญาติจวนตระกูลเฟิ่งเรามาเยือน บอกว่าอยากมาเยี่ยมผู้นำตระกูลเสียหน่อยขอรับ” พ่อบ้านนำสถานการณ์ด้านนอกมารายงาน และรอคำสั่งจากทั้งสอง

“เครือญาติ? เครือญาติทางไหนกัน?” ผู้เฒ่าถามพลางขมวดคิ้วเบาๆ

“เป็นทางฝั่งท่านผู้เฒ่ารองขอรับ แม้แต่ท่านผู้เฒ่ารองก็มาด้วย”

ได้ยินเช่นนี้ ผู้เฒ่าครุ่นคิดเล็กน้อย มองเฟิ่งจิ่วข้างๆ ที่ไม่ปริปากอะไรแวบหนึ่ง จากนั้นบอกกับพ่อบ้านว่า “พาพวกเขาไปห้องโถงใหญ่ ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย”

“ขอรับ” พ่อบ้านขานรับถึงจะหมุนตัวออกไป

“แม่หนูเฟิ่ง หลานเห็นเช่นไร?” ผู้เฒ่าถามไถ่

“คงได้ยินว่าท่านพ่อล้มป่วย ถึงได้สนใจพวกเราขึ้นมา” เธอหัวเราะอย่างเฉยเมย เรื่องวันนี้ก็แค่เริ่มต้น หมาป่าที่เพ่งเล็งจวนตระกูลเฟิ่งมีอยู่มากไม่ใช่น้อย

“ไม่เลว คนพวกนี้ล้วนเป็นหมาป่าตาขาว ปู่จะส่งพวกเขาออกไปเอง” ผู้เฒ่าพูดแล้วก็สาวก้าวเดินออกไป

“ท่านปู่เจ้าคะ” เธอเรียกเขาไว้ ในดวงตาใสกระจ่างมีสีสันไหลเวียน…

………………………………………………….

ตอนที่ 330 มักใหญ่ใฝ่สูง!

ผู้เฒ่าหยุดฝีเท้าลงหันกลับไปมองนาง

เฟิ่งจิ่วลุกยืนขึ้น เดินหาเขาพร้อมพูดเสียงเบา “ให้หลานไปก็ได้ ท่านปู่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านพ่อเถอะ”

“เจ้าจะไป?” ผู้เฒ่าแปลกใจเล็กน้อย กังวลอยู่บ้างว่านางจะรับมือไม่ไหว

“ก็แค่พวกเครือญาติสาขา หรือท่านปู่พะวงว่าข้าจะรับมือไม่ได้?” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ สะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก่อนจะก้าวไปยังห้องโถงใหญ่ด้านหน้า

และเวลานี้เอง คนที่รออยู่ในห้องโถงหน้าหมดความอดทนแล้ว

“ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก? ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลยกระมัง?”

“จริงด้วย พอเฟิ่งเซียวล้มไป ก็ไม่รู้แม้วิธีการรับแขกเลยรึ?”

ได้ยินหลายคนในห้องโถงกำลังพูดถึงด้วยความไม่พอใจ ชายชราที่ในมือถือไม้เท้านั่งตัวตรงหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นตะโกนดังลั่น “หุบปาก!”

พอเสียงนี้เปล่งออกมา คนในห้องโถงเงียบลง ไม่มีใครส่งเสียงอะไรอีก จนกระทั่งเสียงพ่อบ้านแว่วมาจากด้านนอก

“คุณหนูใหญ่มาแล้วขอรับ!”

ได้ยินคำพูดนี้ กลุ่มคนในห้องโถงต่างมองไปทางร่างที่เดินมาจากข้างนอก

เพียงเห็นผู้มาสวมชุดกระโปรงสีขาว สัดส่วนเพรียวบางอ้อนแอ้น เดินมาช้าๆ ด้วยย่างก้าวนวยนาดและสง่างาม ทุกก้าวของนางกระโปรงสีขาวจะพลิ้วไหวกระจายออกราวกับเกลียวคลื่น ช่างงดงามจริงๆ

มองไปข้างบนอีก จะเห็นรูปโฉมงามเลิศไร้ที่ติ ผิวขาวผ่องดั่งหิมะเสริมให้ใบหน้างดงามยิ่งโดดเด่นเป็นที่สุด เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้คนจำได้ไม่ลืม

ลองคิดแล้วก็จริง สามารถถูกเรียกขานว่าหญิงงามอันดับหนึ่ง รูปโฉมย่อมเทียบไม่ได้กับหญิงงามทั่วไป

เพียงแต่คำร่ำลือก็เรื่องหนึ่ง เมื่อเห็นนางกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าบนร่างนางมีมนตร์เสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ และเสน่ห์นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปลักษณ์ที่งดงามแม้แต่น้อย

ขณะที่มองนาง ความคิดทุกคนก็ย้อนกลับมา ลองคิดว่าสาวน้อยผอมบางอ้อนแอ้นเช่นนี้จะมีความสามารถแบกรับทั้งตระกูลเฟิ่งไว้ได้อย่างไร?

นึกถึงตรงนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคิดถูกที่มาที่นี่กันวันนี้

“ชิงเกอคารวะท่านอารองและท่านอาทั้งหลาย” เธอคารวะให้ชายชรารวมถึงชายวัยกลางคนอีกสองสามคนในห้องโถง ก่อนจะเดินมานั่งที่นั่งตำแหน่งอาวุโส

“ทำไมเป็นเจ้า? ท่านปู่เจ้าล่ะ?” ชายชราเอ่ยปากถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำ มีความไม่พอใจที่ถูกปฏิบัติด้วยไม่ดีอยู่บางส่วน

“หลายวันนี้ในจวนมีเรื่องมากมาย ท่านปู่งานยุ่งทั้งในและนอก ร่างกายรับไม่ไหวเท่าไหร่นัก ตอนนี้จึงกำลังพักผ่อนเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเธออ่อนโยน ทำนองเนิบนาบ ประหนึ่งคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงไว้แต่ในห้องจึงไม่รู้ความอะไร

เธอในตอนนี้ช่างให้ความรู้สึกอ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัย

ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดนาง ชายชราชำเลืองมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราได้ยินเรื่องพ่อเจ้าแล้ว เพราะได้ยินข่าวถึงตั้งใจรีบมา ต้องรู้ไว้ว่าถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติสายเลือดตระกูลเดียวกัน ยามนี้จวนตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่อง พวกเราย่อมเฝ้านิ่งดูดายไม่ได้”

ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วยกน้ำชาที่ข้ารับใช้ส่งให้มาจิบเบาๆ อึกหนึ่ง ปกปิดรอยยิ้มเย้ยหยันที่คลี่ตรงริมฝีปากไว้ หลุบตาลงครึ่งหนึ่งพลางดื่มชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ชายชราเห็นนางไม่ปริปาก จึงพูดต่อไปว่า “ต้องรู้ไว้ว่าแคว้นไม่อาจขาดกษัตริย์ ตระกูลไม่อาจขาดผู้นำ ยามนี้พ่อเจ้าล้มป่วย ปู่เจ้าก็อายุมาก ซ้ำตัวเจ้ายังเป็นลูกสาวคนเดียว ดังนั้นครั้งนี้ข้าเลยมาเพราะอยากปรึกษากับปู่เจ้าเสียหน่อย ว่าจะเสนอให้พี่น้องของพ่อเจ้ามาดูแลตระกูลเฟิ่งเราไปก่อน เพื่อให้ทั้งจวนมั่นคง ด้วยกำลังระดับบรรพชนนักรบ มีเพียงเขาที่รับงานสำคัญเช่นนี้ได้”

………………………………………………….