ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นออกไปตั้งแคมป์อยู่ด้านนอกเส้นเลือดมังกร
เหลิ่งหลิงยวิ๋นตั้งกระโจม ชีอ้าวชวางเตรียมฟืนไว้สำหรับจุดไฟตอนกลางคืน ไป๋ตี้และเฮยหยู่กำลังกระโดดอยู่รอบๆ เหลิ่งหลิงยวิ๋น พวกเขากำลังรอเหลิ่งหลิงยวิ๋นย่างเนื้อกินอยู่
ในเวลานี้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่เทือกเขา หญิงสาวที่เดินนำหน้าแต่งกายด้วยชุดหรูหรามีเสน่ห์และมีชายหนุ่มที่แต่งกายหรูหราสูงส่งอยู่ข้างๆ นาง ที่เอวของชายผู้นี้มีดาบที่งดงาม และที่เท้าของเขาก็สวมรองเท้าบูทอย่างดี เสื้อผ้าที่ดูงดงามประณีตบ่งบอกได้ถึงสถานะที่ไม่ธรรมดาของเขา ด้านหลังของทั้งสองคนมีกลุ่มอัศวินอาวุธครบมือกลุ่มหนึ่ง แต่ที่น่าแปลกก็คือด้านหลังของพวกเขาทั้งหมดมีคนหนึ่งคนที่แต่งกายต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของคนๆ นั้นเป็นสีขาว ทั้งหมดและเดินรักษาระยะห่างจากพวกเขาอย่างพอดี ไม่ห่างเกินไปและไม่ตามติดชิดใกล้จนเกินไป
“นายท่าน ตรงหน้านี้คือเส้นเลือดมังกรแล้ว พวกเราหยุดกันเท่านี้เถอะครับ” หัวหน้ากลุ่มอัศวินเตือนพร้อมแอบด่าอยู่ในใจ องค์ชายสมองกลวงผู้นี้พาพวกเขามาในที่อันตรายเช่นนี้เพราะการยุยงของหญิงผู้นั้น ตรงหน้านี้คือเส้นเลือดมังกร ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่จะมีสัตว์เวททั่วไปจะมาปรากฎตัวได้เลย แม้ว่าจะมีศิษย์ของนิกายลี้ลับจะคอยคุ้มกันพวกเขาอยู่ด้านหลัง แต่หากเข้าไปในเส้นเลือดมังกรแล้วทำให้มังกรโกรธเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้พาหนะของพวกเขาทั้งหมดตื่นตระหนกจนสงบลงไม่ได้เลย พวกเขาจึงต้องให้คนสองคนอยู่เฝ้าพวกมันเอาไว้แล้วคนที่เหลือก็เดินทางกันต่อ
“หุบปาก! เจ้าพวกไร้ประโยชน์” ชายผู้แต่งกายด้วยชุดหรูหราหันมาตะคอกอย่างโมโห คำพูดของหัวหน้าอัศวินทำให้เขาอับอายต่อหน้าหญิงสาว ชายผู้นี้ชื่อว่าบานาส เป็นองค์ชายสามแห่งประเทศเบรุค ส่วนหญิงผู้นั้นคือคนที่องค์ชายพบระหว่างทาง แล้วเขาก็หลงใหลนางมาก
ใบหน้าของหัวหน้าอัศวินดูขมขื่น ที่เขาพูดนี่เรียกว่าไร้ประโยชน์งั้นหรือ? มนุษย์ต่อกรกับเผ่ามังกรได้หรือ? หัวหน้าอัศวินมองหญิงสาวที่เดินอยู่ด้านหน้าอย่างรังเกียจ พวกเขาต้องตามองค์ชายสมองกลวงมาในที่แบบนี้ก็เพราะหญิงหน้าอกโตผู้นั้น ศิษย์ของนิกายลี้ลับผู้นั้นก็มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยขององค์ชายเพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อถึงยามคับขันก็คงไม่สนใจพวกเขาหรอก แม้ว่านิกายลี้ลัยจะไม่สนเรื่องทางโลก แต่ก็เป็นคน ต้องกินต้องใช้เช่นกัน นิกายได้รับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากราชวงศ์ต่างๆ ทางนิกายจึงส่งศิษย์ผู้มีชื่อเสียงมาตามดูแลคนของราชวงศ์เป็นการตอบแทน ประเทศเบรุคเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเช่นกัน หัวหน้าอัศวินชำเลืองมองศิษย์ของนิกายลี้ลับที่รักษาระยะห่างจากพวกเขา ศิษย์ของนิกายลี้ลับผู้นั้นดูใจเย็นและนิ่งมาก ไม่พูดอะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย หัวหน้าอัศวินหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อไปปลายเทือกเขาแล้วองค์ชายสมองกลวงจะได้สติแล้วไม่เดินทางต่อไปอีก
“ที่รัก…” หญิงสาวหันมาพูดกับองค์ชายบานาส
“หือ ทำไมหรือที่รัก?” องค์ชายบานาสถามอย่างระวังด้วยรอยยิ้มพอใจ
“ใกล้จะมืดแล้ว ข้าว่าเราไปตั้งแคมป์กันที่ปลายเทือกเขาก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปดีหรือไม่?” การพูดเย้ายวนของหญิงสาวผู้นั้นทำให้องค์ชายบานาสระทวย
“ดีๆ ไม่มีปัญหาเลยที่รัก เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยเข้าไปในเส้นเลือดมังกรกันนะ” องค์ชายบานาสมองหญิงสาวแล้วรับปาก
“จะไม่มีปัญหาอะไรหรือคะ?” หญิงสาวถาม
“จะมีได้อย่างไรล่ะ? เหล่าอัศวินของข้าแข็งแกร่งที่สุดในเบรุคเลยนะ อีกทั้งยังมีศิษย์ของนิกายลี้ลับที่คอยคุ้มกันข้าอีก” องค์ชายบานาสพูดรับประกัน
“โธ่ ศิษย์ของนิกายลี้ลับผู้นั้นคอยคุ้มกันเพียงแค่ท่านผู้เดียว ไม่ได้คุ้มกันข้านี่” หญิงสาวคร่ำครวญ ในแววตาของนางมีร่องรอยล้ำลึกบางอย่างปรากฎขึ้น แต่แล้วก็หายไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เด็กโง่ เจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างของข้า เขาจะไม่คุ้มกันเจ้าได้อย่างไรล่ะ” องค์ชายบานาสรู้สึกชอบนิสัยแบบนี้ของหญิงสาวมาก แต่ถึงเขาจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจเขาก็แอบกังวล ศิษย์ของนิกายลี้ลับผู้นั้นคุยกับเขาไม่เกินสามประโยคเลยด้วยซ้ำ องค์ชายบานาสไม่พอใจศิษย์ของนิกายลี้ลับผู้นี้เลย สายตาเย่อหยิ่งของชายผู้นั้นทำให้องค์ชายบานาสรู้สึกว่ามีหนามทิ่มแทงใจอยู่ตลอด
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าที่รักจะต้องดีกับข้าที่สุด” หญิงสาวผู้นั้นกอดแขนองค์ชายบานาสแล้วเอาหน้าอกขนาดใหญ่ของตนเองถูไปถูมา องค์ชายบานาสดูมีความสุขขึ้นทันที ทำเอาหัวหน้าอัศวินที่อยู่ด้านหลังมองมาอย่างโมโห หญิงสาวผู้นั้นมองสายตาของหัวหน้าอัศวินอย่างใจเย็นแล้วยิ้มเยาะอยู่ในใจ
ตอนที่พวกเขามาถึงสุดทางของเทือกเขา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
“เอ๋ มีแสงไฟนี่” องค์ชายบานาสขมวดคิ้วมองไปที่ทิศทางของกองไฟแล้วพูด
“มีคนอยู่ทางนั้น” หญิงสาวประหลาดใจที่มีคนตั้งแคมป์อยู่ตรงนั้น
“ไปเถอะ ไปดูกัน” องค์ชายบานาสเดินไปข้างหน้า การที่หญิงสาวกอดแขนของเขาอยู่มันทำให้เขายิ่งอยากจะแสดงความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
หัวหน้าอัศวินขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่จะมาตั้งแคมป์ในพื้นที่นี้ได้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา เขาภาวนาขออย่าให้องค์ชายสมองกลวงของพวกเขาหาปัญหาอะไรเพิ่มเลย
พอกลุ่มขององค์ชายบานาสเดินเข้าไปใกล้แล้วได้เห็นภาพตรงหน้าก็พากันตะลึง
ตรงหน้านั้นเป็นภาพที่คนสองคนที่ดูธรรมดาสุดๆ กำลังนั่งอยู่หน้ากองไฟ คนผู้ชายกำลังย่างเนื้ออยู่ ส่วนผู้หญิงที่หน้าเป็นกระนั่นกำลังชงชางั้นหรือ?! ใช่แล้ว พวกเขามองไม่ผิด ผู้หญิงหน้าเป็นกระผู้นั้นกำลังชงชาอยู่ ที่ตรงหน้าของนางคือชุดชงชาราคาถูกที่ชีอ้าวชวางจงใจเลือกมาเพื่อจะได้ไม่ดึงดูสายตาผู้อื่น เวลานี้นางกำลังลุกขึ้นเพื่อดูว่าน้ำในกาที่อยู่บนกองไฟนั้นเดือดแล้วหรือไม่ คนกลุ่มนั้นกำลังคิดว่านี่คือคู่รักที่มาเดทกันงั้นหรือ? แต่แล้วก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไป จะมีใครที่ไหนมาเดทกันในที่แห่งนี้ล่ะ คิดว่าคนอื่นๆ จะเป็นเหมือนองค์ชายสมองกลวงของพวกเขาหรือไงที่จะมาที่เส้นเลือดมังกรเพราะคำยุยงของผู้หญิงเพื่อจะแสดงความกล้าหาญของตัวเอง?
“ที่รัก สองคนนี้คือใครกันคะ?” หญิงสาวทำเป็นแปลกใจไม่รู้เรื่องแล้วหันไปถามองค์ชายบานาสที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ
องค์ชายบานาสเองก็พูดออกไปไม่ได้ว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“คงจะเป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้หลงทางมาล่ะมั้ง” องค์ชายบานาสพูดออกไปเช่นนั้น เขาไม่สนใจอะไรกับคนที่ดูต่ำต้อยเช่นนี้หรอก
“แต่ว่าเทือกเขานี้เป็นเส้นทางตรงเดี่ยวๆ เลยนะ” หญิงสาวพูด
องค์ชายบานาสหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เขาจึงโอบไหล่ของหญิงสาวแล้วพูด “เจ้าจะไปสนใจพวกเขาทำไมล่ะ? เราไปทางนั้นกันดีกว่า” องค์ชายบานาสโอบหญิงสาวไปอีกทาง แม้ว่าองค์ชายจะไม่ได้สนใจคนสองคนที่ดูธรรมดานั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าคนที่จะอยู่สถานที่นี้ได้ด้วยสีหน้าสงบนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน ไม่ไปมีเรื่องกับพวกเขาจะดีกว่า
“อ้อ…” หญิงสาวทำหน้ามุ่ยไม่พอใจแล้วเดินไปกับองค์ชายบานาส องค์ชายบานาสสั่งให้คนของเขาเริ่มตั้งกระโจมส่วนเขาก็ไปนั่งหยอกล้อกับหญิงสาวอยู่อีกทาง
ศิษย์ของนิกายลี้ลับยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น แต่สายตาของเขามองไปที่ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋น สองคนนั้นจะต้องไม่ได้ธรรมดาแบบที่เห็นแน่ๆ
ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นรับรู้ได้อยู่แล้วว่ามีกลุ่มคนกำลังใกล้เข้ามา และตอนนี้ก็รับรู้ได้ถึงสายตาของคนๆ นั้นที่มองมาที่พวกเขาอยู่ตลอด ชีอ้าวชวางเหลือบมองด้วยหางตาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย บังเอิญจริงๆ นั่นมันคนที่เจอกันที่นอกเมืองเฟิงหัวนี่! ดูเหมือนจะชื่อกาดาร์อะไรนี่แหละ นางจำชื่อคนๆ นี้ได้เพราะชื่อเขาคล้ายกับชื่อคามิลล์ คนๆ นั้นยังคงแต่งกายด้วยชุดขาวเหมือนครั้งที่แล้วที่ชีอ้าวชวางรู้สึกว่าดูคุ้นตามาก ตอนนี้นางนึกออกแล้ว ชุดนั้นมันเหมือนกับชุดของผู้อาวุโสโถงไฟแห่งนิกายลี้ลับผู้นั้นไม่ใช่หรือ ที่แท้เขาก็เป็นศิษย์ของนิกายลี้ลับเองสินะ แต่ว่าทำไมเขาถึงมาตามคนกลุ่มนี้ได้ล่ะ? แถมยังดูเหมือนจะมาคุ้มกันชายที่แต่งตัวหรูหราผู้นั้นด้วย?
“เป็นอะไรไป?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นเห็นท่าทางแปลกๆ ของชีอ้าวชวางจึงถาม
“เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นมาทำอะไรที่นี่?” ชีอ้าวชวางถามเสียงต่ำ
“คนที่แต่งตัวหรูที่สุดผู้นั้นคือองค์ชายบานาสแห่งเบรุค เขานิสัยไม่ค่อยดีนักหรอก ผู้หญิงคนข้างๆ นั่นข้าไม่รู้จัก ที่พวกเขามาปรากฏตัวที่นี่ถือว่าแปลกมาก คงจะไม่ได้มายั่วยุเผ่ามังกรหรอกมั้ง” ตอนที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นเป็นบุตรแห่งแสง เขาได้ติดต่อกับราชวงศ์ประเทศต่างๆ อีกทั้งความจำของเขาดีมาก จึงจดจำรูปลักษณ์และนิสัยของคนเหล่านั้นได้
“เจ้าว่าหญิงผู้นั้นสวยหรือไม่?” จู่ๆ ชีอ้าวชวางก็ถามขึ้นมา
เหลิ่งหลิงยวิ๋นอึ้งแล้วมองชีอ้าวชวาง เขานิ่งไปสักพักแล้วพูด “ข้า ข้าว่าเจ้าดูดีกว่านาง”
ชีอ้าวชวางเองก็อึ้งแล้วมองเหลิ่งหลิงยวิ๋น จากนั้นพอได้สติกลับมาก็พูดอย่างเก้ๆ กังๆ “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายถึงว่าหญิงผู้นั้นดูเหมือนนางจะใช้ยาเสริมความงามนะ”
“ห๊ะ?” คราวนี้เหลิ่งหลิงยวิ๋นจึงได้สตินึกถึงสิ่งที่ชีอ้าวชวางพูด ประกายความอึดอัดเกิดขึ้นในแววตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋น เขาเหลือบตามองไปก็เห็นว่าหญิงผู้นั้นกำลังหยอกล้อกับองค์ชายบานาสอยู่ สีหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นเปลี่ยนไปทันที ถ้าหญิงผู้นั้นใช้ยาเสริมความงามเพื่อจะใกล้ชิดกับองค์ชายบานาส เช่นนั้นการที่คนเหล่านี้มาปรากฏตัวที่นี่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหญิงผู้นั้นอยู่มาก ถ้าหญิงผู้นั้นยุยงให้คนเหล่านี้มาทีนี่แล้วจุดหมายของนางคืออะไรกันแน่?
“ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่หรือไม่?” ชีอ้าวชวางยกกาน้ำชาจากกองไฟมารินเพื่อชงชา
“มีอะไรบางอย่างแปลกๆ จริงๆ ด้วย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้าแล้วกลับเนื้อย่างในมือเขา
ในตอนที่ทั้งสองกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ กาดาร์ที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็เคลื่อนไหวแล้วเดินตรงมาทางชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋น