ตอนที่ 127 ยุยงและปลุกปั่น

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 127 ยุยงและปลุกปั่น

อันอิงเฉิงพยายามชั่งน้ำหนักครู่หนึ่ง แน่นอนว่าท่าทางนั้นตกอยู่ในสายตาของจ้าวหลานหยู่ตลอดเวลา ทำให้เขายิ่งรู้สึกได้ใจเข้าไปใหญ่

“ท่านโหวคิดได้หรือยังว่าจักส่งตัวอันหลิงเกอให้ข้าหรือรอฟู่หวงตัดสินด้วยพระองค์เอง ? ”

บรรยากาศในห้องโถงค่อนข้างตึงเครียด จ้าวหลานหยู่บีบบังคับครั้งแล้วครั้งเล่า อันหลิงเกอก็มิยอมแพ้ส่วนอันอิงเฉิงก็ลำบากใจมิรู้จบ

“ไอหยา องค์ชายเจ็ดเสด็จมา เหตุใดมิส่งคนไปบอกหม่อมฉันเพคะ”

ทันใดนั้นหลี่ซื่อก็เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าของจ้าวหลานหยู่ นางก็แสร้งเผยสีหน้าตกใจราวกับคาดมิถึงว่าได้เจอจ้าวหลานหยู่ที่จวนโหวเช่นนี้

ในตอนนี้ ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องโถงมิพูดมิจา สุดท้ายมีเพียงจ้าวหลานหยู่เท่านั้นที่ขานรับว่า ‘อือ’ เบา ๆ

หลี่ซื่อเดินไปอยู่ด้านข้างของอันอิงเฉิงด้วยท่าทีนอบน้อมและกระซิบเบา ๆ ว่า “นายท่านเป็นอันใดเจ้าคะ ? ท่านขมวดคิ้วราวกับคิดมิตก ถ้าเยี่ยงไรกล่าวออกมาให้ข้าช่วยคิดดีหรือไม่เจ้าคะ”

จ้าวหลานหยู่เค้นเสียงดังฮึ “เรื่องนี้หลี่ซื่อคงช่วยท่านโหวมิได้หรอก”

“เรื่องร้ายแรงมากหรือเพคะ ? ” หลี่ซื่อทำท่าร้อนรน จากนั้นก็จับที่ชายเสื้อของอันอิงเฉิงแล้วกล่าวว่า “ถ้าเรื่องร้ายแรงนักก็ยิ่งต้องบอกข้าเจ้าค่ะ ให้ข้าได้ช่วยท่านโหวคิดแก้ไข แม้ตัวข้ามิได้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านโหว แต่ข้าก็อยู่กับท่านมานานถึงเพียงนี้ย่อมอยากร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายกับท่านเจ้าค่ะ”

คำสวยหรูของหลี่ซื่อฟังแล้วเปียมรักหวานซึ้งทำให้ใบหน้าของอันอิงเฉิงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ก็มีแต่เจ้าที่เข้าใจข้า”

หลังจากนั้นอันอิงเฉิงก็ถอนหายใจแล้วยอมเล่าเรื่องนี้ออกมา “องค์ชายเจ็ดได้รับข่าวว่าเกอเอ๋อกักตุนยาสมุนไพรจำนวนมากในเรือนเพราะสมคบคิดกับศัตรู ด้วยเหตุนี้จึงมาที่จวนเพื่อจับกุมเกอเอ๋อ”

“เกอเอ๋อกล้าทำเรื่องเยี่ยงนี้หรือ ! ” หลี่ซื่อกล่าวพร้อมจ้องมองอันหลิงเกอด้วยท่าทางตื่นตะลึง ใบหน้าแฝงไปด้วยความประหลาดใจและผิดหวัง “ท่านโหวสอนให้เจ้าจงรักภักดีต่อแผ่นดินตั้งแต่เด็ก เจ้ากลับทำเรื่องนี้ได้ลงคอ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าท่านโหวจักรู้สึกเสียใจเพียงใด ? ”

ชัดเจนว่าเป็นเพียงการบอกเล่าให้ฟัง ยังมิได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง แต่เมื่อมาถึงปากของหลี่ซื่อกลับดูเหมือนอันหลิงเกอกระทำจริง ๆ

อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่งามมองหลี่ซื่ออย่างเย็นชา “ท่านพ่อกำลังพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า แต่หลี่อี๋เหนียงกลับเข้ามาต่อว่าข้าที่มิได้ทำผิดอันใด ปากท่านบอกว่าคิดเพื่อท่านพ่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนท่านกำลังคิดคนละทางกับท่านพ่อ”

“เกอเอ๋อ ข้ามิได้ปรักปรำเจ้า” หลี่ซื่อเตรียมคำกล่าวไว้แล้ว “องค์ชายเจ็ดมีฐานะสูงส่ง คงมิมาถึงจวนโหวเพียงเพราะต้องการใส่ร้ายเจ้ากระมัง พระองค์ต้องมีหลักฐานจึงมาเอาผิดเจ้าเยี่ยงนี้”

“ข้าเพียงคิดมิถึงว่าเกอเอ๋อทำผิดต่อคำสอนของท่านโหวแล้วยังมิสำนัก คิดใช้ความสัมพันธ์พ่อลูกทำให้ท่านโหวใจอ่อน เจ้ากำลังลากคนทั้งจวนโหวไปลำบากด้วย!”

พลันใบหน้าของอันอิงเฉิงก็เปลี่ยนไป สายตาที่ใช้มองอันหลิงเกอก็แฝงไปด้วยการครุ่นคิดสับสน

หลี่ซื่อกล่าวถูก หากองค์ชายเจ็ดยืนกรานเอาผิดอันหลิงเกอให้ได้ แต่ตนยังปกป้องลูกมิปล่อย จักมิเหมือนเป็นศัตรูกับองค์ชายเจ็ด และยากรับประกันว่าพระองค์จักมินำเรื่องนี้ไปทูลต่อฮ่องเต้ เมื่อเป็นเช่นนั้นจวนโหวก็ต้องลำบากตามไปด้วยอย่างแน่นอน

ส่วนอันหลิงเกอยิ้มเยาะอยู่ในใจ ตอนที่อันหลิงอีทำร้ายนางก็รอดพ้นจากการลงโทษของฮูหยินผู้เฒ่าเพราะหน้าตาของจวนโหวแห่งนี้ไปแล้ว ตอนนี้หลี่อี๋เหนียงมีไหวพริบ ใช้ความปลอดภัยของจวนโหวมากล่อมให้บิดาชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสีย

“หม่อมฉันทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิกลัวองค์ชายเจ็ดสอบสวนหรอกเพคะ หรือองค์ชายเจ็ดสามารถกลับขาวเป็นดำทำให้คนที่ไร้ความผิดกลายเป็นคนผิดได้เพคะ ? ”

อันหลิงเกอมีท่าทางเยือกเย็น สายตาที่มองไปทางอันอิงเฉิงก็เต็มไปด้วยความจริงใจ “ท่านพ่อเจ้าคะ แต่ไหนแต่ไรลูกมิเคยทำเรื่องทรยศแผ่นดิน แม้แต่คิดก็ยังมิเคย ตอนนี้องค์ชายเจ็ดเสด็จมาที่จวนอย่างกะทันหันและกล่าวหาว่าการกักตุนยาสมุนไพรของลูกมีความผิดสถานหนัก แต่ลูกคิดว่าเรื่องนี้แปลกไปมากเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอไร้ท่าทีรีบร้อน นางค่อย ๆ กล่าวสิ่งที่คิดออกมา “ข้อแรก เรื่องซื้อยาสมุนไพรนี้ ลูกให้สาวใช้คนสนิทไปทำ แล้วองค์ชายเจ็ดทราบได้เยี่ยงไรว่าลูกกักตุนยาสมุนไพรไว้ในเรือน หรือองค์ชายเจ็ดเฝ้าจับตามองจวนโหวของเรามาโดยตลอด ? ข้อสอง เมื่อครู่ข้าก็อธิบายเหตุผลของการกักตุนยาสมุนไพรไปแล้ว ทว่าองค์ชายเจ็ดมิเชื่อ ทรงใช้เหตุผลไร้สาระมาตำหนิลูกและเพิกเฉยต่อความจริงมาโดยตลอด”

“แต่พอองค์ชายเจ็ดกล่าวโทษลูกมิได้ พระองค์ก็ดึงท่านพ่อมาเกี่ยวข้องด้วยเพราะพระองค์คิดว่าหากท่านพ่อเอ่ยปากว่าลูกมีความผิด พระองค์จักได้จับตัวลูกไปได้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ท่าทางของอันหลิงเกอก็ดุร้ายขึ้นมา ราวกับดวงตาคู่นั้นสามารถมองเห็นจุดที่มืดมิดที่สุดในใจคนได้ “หากบอกว่าผู้ใดมีพฤติกรรมผิดปกติ เยี่ยงนั้นองค์ชายเจ็ดคือผู้ที่ผิดปกติ หากมิได้มีใครทูลบางอย่างให้ทรงทราบ พระองค์ก็คงมิพุ่งเป้ามาที่จวนโหวของพวกเราและเริ่มจัดการที่ลูกก่อน”

ในเมื่อหลี่ซื่อสามารถใช้จวนโหวเป็นเครื่องมือได้ นางก็สามารถใช้จวนโหวมาเป็นเกราะคุ้มกายได้เช่นกัน

“เหลวไหล ! ” จ้าวหลานหยู่ตะโกนออกมาด้วยความโมโห สายตาหยุดอยู่ที่หลี่ซื่ออย่างมิได้ตั้งใจและยังแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ว่าทั้งสองรู้ดีแก่ใจ

หลี่ซื่อจึงรีบกล่าวออกมา “เกอเอ๋อ คำกล่าวของเจ้ากำลังปรักปรำองค์ชายเจ็ด จวนโหวของพวกเราถือเป็นญาติ แล้วพระองค์จักใส่ร้ายพวกเราเพื่ออันใด ? ”

“เรื่องนี้ก็กล่าวยากแล้ว” แววตาของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านพ่ออยู่ในราชสำนักมานานถึงเพียงนี้ย่อมเลี่ยงมิได้ที่จักมีใครสักคนริษยา หากคนผู้นั้นมีความแค้นต่อท่านพ่อและยังพึ่งพาบารมีขององค์ชายเจ็ด พระองค์ก็อาจลำเอียงเข้าข้างคนผู้นั้นก็ได้”

อันอิงเฉิงได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวก็ตกตะลึง เหงื่อไหลออกมาเต็มหลัง

เขาเริ่มนึกถึงความน่าสงสัยของเรื่องนี้ขึ้นมา เกอเอ๋อแค่ซื้อสมุนไพรจำนวนมาก ส่วนองค์ชายเจ็ดทราบเรื่องนี้มาจากปากผู้อื่น และคนผู้นั้นคือใคร ? จักเป็นศัตรูในราชสำนักของเขาหรือไม่ ?

หากวันนี้เขาถอยให้หนึ่งก้าว แล้วปล่อยให้องค์ชายเจ็ดลงโทษเกอเอ๋อในฐานะกบฏ ก็มิเท่ากับลากคนทั้งจวนโหวไปเกี่ยวข้องด้วยหรือ !

หลังจากที่อันอิงเฉิงตริตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน เขาก็พร้อมกลับมาเผชิญหน้ากับองค์ชายเจ็ดอีกครั้งและมิได้ลังเลอีกต่อไป “องค์ชายเจ็ด โทษของกบฏคือประหารเก้าชั่วโคตร ดังนั้นต้องขอให้พระองค์นำหลักฐานออกมา มิเช่นนั้นจวนโหวคงยอมรับโทษนี้มิได้พ่ะย่ะค่ะ”

จนถึงตอนนี้อันหลิงเกอจึงโล่งอกได้ ขอเพียงบิดาคิดว่าโทษนี้เกี่ยวข้องกับจวนโหวย่อมมิปล่อยให้องค์ชายเจ็ดปรักปรำนางโดยง่าย

จ้าวหลานหยู่คิดมิถึงว่าหลังจากหลี่ซื่อเติมเชื้อไฟแล้วยังมิทำให้อันอิงเฉิงยอมมอบตัวอันหลิงเกอ ตรงกันข้ามคือทำให้ตัดสินใจปกป้องอันหลิงเกอเสียได้

เขาแอบหันไปมองหลี่ซื่อแล้วยกยิ้มให้อย่างเย็นชา “ในเมื่อท่านโหวกล่าวถึงเพียงนี้ ข้าก็คงมิดึงดันอีกต่อไป ทว่าท่านโหวต้องถามคุณหนูใหญ่ให้ชัดเจน มิเช่นนี้ตัวท่านจักถูกหลอกเอาได้และยังกลายเป็นผู้สนับสนุนกบฏอีกด้วย”

เมื่อกล่าวคำเหล่านี้จบ จ้าวหลานหยู่ก็มิคิดอยู่ที่นี่อีกจึงพาคนของตนออกจากจวนโหวทันที