บทที่ 181 วิชากู่ฉิน

คู่ชะตาบันดาลรัก

เมื่อหมิงเวยเปิดประตูห้องเข้ามาทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่หมิงเวย

หมิงเวยเดินผ่านพวกนางไปการแสดงออกของคุณหนูทั้งหลายตกอยู่ในสายตาของนางพบว่าพวกนางแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม

กลุ่มแรกคือเหวินหรูและพรรคพวกของนางแววตาที่มองมามีแต่ความขุ่นเคือง อีกกลุ่มมีท่าทางเช่นเดียวกับซุนเว่ยที่หันหน้าไปไม่รู้ว่าไม่กล้ามองหรือไม่สนใจกันแน่ ส่วนกลุ่มสุดท้ายดูกระตือรือร้นเหมือนอยากเข้ามาคุยกับนาง

หมิงเวยไม่สนใจผู้ใดนางแค่กลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเองและรออาจารย์เข้ามาสอน ตามปกติแล้ววิชาในช่วงเช้าจะเป็นวิชาขงจื๊อ วิชาคำนวณหรือวิชาหลักคุณธรรม

หมิงเวยใจลอยไปเรียบร้อยแล้ว ช่วงบ่ายเป็นวิชาเลือกอยากเข้าเรียนวิชาอะไรก็ไปห้องของอาจารย์วิชานั้น

หมิงเวยแบกกู่ฉินไว้บนหลัง และเดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งร้องเรียก “เจ้าเข้าเรียนวิชาหลักดนตรีเหมือนกันหรือ”

หมิงเวยจำได้รางๆ ว่าเป็นนักเรียนห้องหลิงหานจึงพยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว!”

อีกฝ่ายยิ้ม “เหมือนกันเลยพวกเราก็เรียนวิชาหลักดนตรีเหมือนกัน!” หมิงเวยพยักหน้าเล็กน้อย

เด็กสาวนางนี้ดูเป็นกันเองนางโน้มตัวเข้ามากระซิบถามว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานเจ้าทำให้พวกเหวินหยิงโดนทำโทษงั้นหรือ”

เหวินหยิง หมายถึงพวกคุณหนูสามตระกูลเหวินหรือเปล่า

หมิงเวยตอบอย่างสบายๆ “คงจะใช่”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องระวังตัวนะพวกนางมาจากตระกูลเฉิงเอินโหว พวกนางอาศัยอำนาจของไท่จื่อจึงหยิ่งผยองมาก” หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ

เด็กสาวเห็นหมิงเวยมีท่าทีไม่สนใจก็รู้สึกน่าสนุก นางแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จัก “ข้าแซ่เว่ย นามเสี่ยวอัน ครอบครัวข้าได้รับตำแหน่งอันมีเกียรติหยินชิงกวงลวี่ต้าฟู ถึงห้องเรียนแล้วรีบเข้าไปกันเถอะ” พูดจบนางก็เข้าห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน

หยินชิงกวงลวี่ต้าฟูเป็นขุนนางอิสระ ไม่มีตำแหน่งประจำปกติมีไว้เพื่อรับรางวัล เว่ยเสี่ยวอันผู้นี้อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสในครอบครัวได้สร้างคุณงามความดีจึงได้รับยศข้าราชการเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่นางไม่ค่อยมีมาดของคุณหนูผู้สูงศักดิ์

อาจารย์ที่รับหน้าที่สอนวิชาหลักดนตรีเป็นหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบปี หมิงเวยเห็นเขาเดินออกมาจากด้านหลังก็ตกใจเพิ่งทราบว่าสถานศึกษาหมิงเฉิงไม่ได้มีแค่อาจารย์ที่เป็นหญิง

เมื่อเห็นเขาออกมาเหล่าเด็กสาวที่อยู่ในห้องนี้ก็ลุกขึ้นกล่าวทักทาย “คารวะอาจารย์หนิง!” ดวงตาของทุกคนเป็นประกายดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่หมิงเวยกลับเลิกคิ้ว ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบอาจารย์ที่เป็นชาย แต่นางรู้สึกคุ้นเคยกับบุรุษผู้นี้นัก

แต่เมื่อเห็นอาจารย์หนิงผู้นี้แต่งกายด้วยชุดฉางเผ่าของชาวเว่ยจิ้น อีกทั้งท่าทางที่ดูสง่างาม ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นดูเฉยเมยราวกับไม่ใส่ใจเรื่องราวบนโลกใบนี้

อายุของเขาน่าจะเกินยี่สิบห้าแต่ไม่ถึงสามสิบปีเป็นบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของผู้ใหญ่ แต่ก็มีความแข็งแรงกระฉับกระเฉงของบุรุษรุ่นเยาว์ รูปลักษณ์เช่นนี้ รูปงามเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เด็กสาวเหล่านี้ตื่นเต้นมาก

อาจารย์หนิงนั่งลงหลังโต๊ะวางกู่ฉินแล้วถาม “บทเพลงที่สอนเมื่อคาบเรียนที่แล้ว เล่นได้กันหรือยัง”

เด็กสาวตอบพร้อมกันว่า “ได้แล้วเจ้าค่ะ”

อาจารย์หนิงพยักหน้าแล้วชี้ไปยังเด็กสาวที่อยู่หน้าสุด “เล่นให้ข้าฟังหน่อย”

“เจ้าค่ะ” เด็กสาวหน้าแดงแล้ววางกู่ฉินของตนเองลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ดีดสองสามเสียงเพื่อลองมือจากนั้นก็เริ่มบรรเลงเพลงอย่างช้าๆ

เมื่อเสียงเพลงเริ่มขึ้นหมิงเวยใจเต้นแรง

นางรู้จักเพลงนี้

บทเพลงนี้มีชื่อว่า ตัดขาด เป็นบทเพลงที่ท่านอาจารย์ชื่นชอบมากที่สุด

เด็กสาวดีดกู่ฉินเสร็จก็เงยหน้าขึ้นอย่างอายๆ “เชิญอาจารย์ชี้แนะเจ้าค่ะ”

อาจารย์หนิงมีสีหน้าเฉยเมย “ฝึกมาดี แต่ตำแหน่งวางนิ้วผิดไปบางจุด” เขาอธิบายจุดที่ผิดและแสดงให้ดูอีกครั้ง อาจารย์หนิงท่านนี้ถึงจะดูเย็นชา แต่เขาก็ใส่ใจในการสอน

กล่าวจบเขาก็เรียกคนต่อไปให้คำแนะนำทีละคนแล้วก็มาถึงหมิงเวยที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด หมิงเวยลองดีดสายจากนั้นก็เริ่มบรรเลงเพลง

ช่วงแรก เพราะห่างเหินจากการเล่นไปนานฝีมือจึงตกไปเล็กน้อย แต่เนื่องจากคุ้นเคยกับบทเพลงนี้เป็นอย่างดีจึงบรรเลงได้คล่องแคล่วดั่งเมฆเหินน้ำไหล เปลี่ยนเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่นานเพลงก็จบลง

อาจารย์หนิงมองนาง แต่กลับไม่พูดอะไร

อาจารย์หนิงมองอยู่นานจนเด็กสาวในห้องมีสีหน้าไม่สบายใจจึงถามออกไปว่า “เจ้ามาเรียนวิชาหลักดนตรีเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่”

หมิงเวยย่อกายทำความเคารพ “ใช่เจ้าค่ะ”

“เจ้ารู้จักเพลงนี้งั้นหรือ”

หมิงเวยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินคนเล่นบทเพลงนี้เมื่อนานมาแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกไปเหล่านักเรียนหญิงในห้องเรียนแห่งนี้ต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ

หืม มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ

อาจารย์หนิงจ้องนางเขม็งคำพูดที่เปล่งออกมาในปากของเขานั้นไร้ความอ่อนโยน “หากเจ้าเข้าเรียนในคาบที่แล้วก็จะรู้ว่าบทเพลงนี้ข้าเป็นคนแต่งขึ้นมา”

รอยยิ้มค้างอยู่บนริมฝีปากของหมิงเวย

อาจารย์หนิงสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วเดินไปหาหมิงเวยช้าๆ “พูดมา เหตุใดเจ้าถึงเล่นเพลงนี้ได้”

หมิงเวยครุ่นคิด “บางทีผู้บรรเลงเพลงที่ข้าได้ยินนั้นอาจเป็นอาจารย์ก็ได้เจ้าค่ะ”

สีหน้าของอาจารย์หนิงเย็นชายิ่งขึ้น “ข้าสำเร็จการศึกษาตอนอายุยี่สิบจากนั้นก็ออกเดินทางทั่วทุกแห่งเพิ่งได้เข้าเมืองหลวงเมื่อปีก่อนนี้เอง”

หมิงเวยรีบตอบไปว่า “ข้าก็เพิ่งเข้าเมืองหลวงเหมือนกันเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าอาศัยอยู่ที่ตงหนิงมาตลอดไม่แน่ว่าอาจได้พบเจออาจารย์โดยบังเอิญก็เป็นได้”

“ข้าไม่เคยไปตงหนิง”

“….” จบแล้วโกหกต่อไม่ได้แล้ว อาจารย์หนิงไม่ยอมปล่อยนางไป เขามองลงมาที่หมิงเวยอย่างไรก็ต้องการคำตอบให้ได้

เมื่อเห็นว่าเด็กสาวในห้องเริ่มอยากรู้อยากเห็นนางจึงตอบไปว่า “ข้า…เป็นคนความจำดีเจ้าค่ะ เมื่อได้ยินเพลงที่ผู้อื่นบรรเลงเพลงข้าสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ฟังบทเพลงนี้ไปหลายรอบจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเล่นตามได้”

“แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่พูด”

หมิงเวยตอบ “ข้าน้อยเพิ่งเข้ามาใหม่ไม่อยากทำตัวเด่นเจ้าค่ะ”

อาจารย์หนิงจ้องมองนางเป็นเวลานานในที่สุดก็ถอนสายตาและเดินกลับไป

หมิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางพูดความจริงกลับไม่มีผู้ใดเชื่อพอพูดโกหกกลับเชื่อซะอย่างนั้น

อาจารย์หนิงก้มลงปรับเสียง และเมื่อเขากำลังเปิดปากพูด หมิงเวยก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “อาจารย์ ท่านยังไม่ได้ชี้แนะข้าเลยเจ้าค่ะ”

เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่ตอบกลับเสียงเรียบไปว่า “ทักษะของเจ้า จำเป็นต้องให้ข้าชี้แนะด้วยหรือ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้เหล่านักเรียนหญิงทั้งประหลาดใจทั้งสงสัย หมายความว่าอย่างไร หมายถึงทักษะดีดฉินของนางดีมากไม่จำเป็นต้องสอนงั้นหรือ

อาจารย์หนิงไม่ใส่ใจคำถามนี้เลย หลังเลิกเรียนหมิงเวยก็เก็บกู่ฉินแล้วเดินออกจากห้องไป

เว่ยเสี่ยวอันเดินตามมา “เจ้าเก่งมากจริงๆ น้อยนักที่อาจารย์หนิงจะเอ่ยชมผู้ใด!”

หมิงเวยสงสัย “อาจารย์ชมข้างั้นหรือ”

“แน่นอน บอกว่าไม่จำเป็นต้องชี้แนะหมายความว่าเจ้าดีดกู่ฉินได้ดีมาก ไม่ต้องให้สอนอะไรเพิ่มเติม! แล้วอีกอย่างข้าฟังก็รู้แล้วว่าเจ้าเก่งมาก”

หมิงเวยรู้ข้อบกพร่องของตนเองนางไม่ค่อยมีความสามารถในด้านดนตรี แต่เพราะฝึกฝนมานานหลายปีจึงเล่นได้ดีเช่นนี้

แต่นางอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของอาจารย์หนิงมากเมื่อเว่ยเสี่ยวอันเดินเข้ามาหา หมิงเวยจึงสอบถามนาง

เว่ยเสี่ยวอันกระตือรือร้นมาก “เจ้าหมายถึงอาจารย์หนิงหรือ อาจารย์มีนามว่าหนิงซิว ข้าไม่ค่อยรู้ภูมิหลังของอาจารย์หรอก ท่านเข้าเมืองหลวงเมื่อปีก่อน มีชื่อเสียงมากในเจ๋อกุ้ยโหลว จากนั้นเขาก็ได้รับเชิญจากจวนโป๋วหลิงโหวไม่นานเขาก็มาสอนที่สถานศึกษาแห่งนี้”

หมิงเวยคิด จวนโป๋วหลิงโหวงั้นหรือ หยางชูจะรู้ไหมนะ

ทั้งสองเดินกลับไปยังห้องเรียนเพื่อเก็บข้าวของเตรียมเลิกเรียน ตอนที่เดินออกไป ประจวบเหมาะกับซุนเว่ยที่เดินกลับเข้ามาพอดีนางมองหมิงเวยและก้มหัวให้

ยามเดินสวนกันหมิงเวยได้ยินเสียงแผ่วเบาราวกับยุง “ขอบคุณ”

หมิงเวยยิ้มบางๆ บนร่างกายของซุนเว่ยมีร่องรอยพลังของตนเป็นเพราะว่านางได้ใช้นกหวีดไปแล้ว

……………